“อ๋อม สกาวใจ” ไม่ใจอ่อนให้กับน้ำตาเกรียนปากแจ๋ว ขู่ฆ่ายกครัว ฟ้องเรียกเงิน 2 ล้าน อัดทำเสียสุขภาพจิต ต้องจ้างบอดี้การ์ดประกบลูก ลั่นอยากเจอหน้า
วันนี้ (11 เม.ย.) เวลาประมาณ 10.00 น. นักแสดงสาว “อ๋อม สกาวใจ พูนสวัสดิ์” ได้เดินทางมาที่ศาลอาญามีนบุรีพร้อมด้วยทนายความ เพื่อทำการยื่นฟ้องเกรียนคีย์บอร์ดที่ได้ทำการหมิ่นประมาททางสื่อออนไลน์ โดยเรียกค่าสินไหมทดแทนเป็นจำนวนเงิน 2 ล้านบาท ซึ่งเจ้าตัวยืนยันว่าจะไม่มีการใจอ่อนยอมความ หรือลดค่าสินไหมให้แน่นอน
ทนาย : “วันนี้เราได้ประสานไปที่พนักงานอัยการจังหวัดมีนบุรี ได้รับแจ้งว่าวันนี้พนักงานอัยการนัดผู้ต้องหา เพื่อที่จะมายื่นฟ้องที่ศาล ดังนั้นแล้วเราก็มีความจำเป็นที่จะต้องมาขอเป็นโจทก์ร่วม และแล้วขอยื่นคำร้องให้ทางจำเลยชดใช้สินไหมทดแทน กรณีที่ทำให้คุณอ๋อมเสียหาย ก็เป็นไปตามกฎหมายครับ”
อ๋อม : “ยังไม่เคยเจอคู่กรณีเลยค่ะ แต่ก็มีติดต่อมาโทร.มาเขาก็ขอโทษอะไรแบบนี้ แต่ว่าไม่ได้คุยอะไร ก็บอกพอดีเรื่องมันส่งไปแล้ว ซึ่งวันนี้มีหนึ่งราย แต่ว่าที่โทร.มาก็หลายราย”
ทนาย : “วันนี้ยื่นฟ้องหนึ่งคน ส่วนที่เหลืออยู่ในระหว่างสืบสวนสอบสวนของพนักงานสอบสวนครับ ซึ่งที่อยู่ในขั้นสืบสวนจริงๆ จังๆ มีรายสำคัญอยู่อีกรายหนึ่ง ที่เหลือตอนนี้อยู่ในระหว่างแสวงหาพยานเพิ่มเติม เพื่อที่จะนำไปร้องทุกข์กล่าวโทษเพิ่มเติมต่อไป วันนี้เป็นอีกรายหนึ่งที่มีความสำคัญเช่นเดียวกัน เขายอมรับในชั้นพนักงานสอบสวนว่าเขาได้กระทำความผิดจริง”
บอกไม่ใจอ่อน เพราะถึงขั้นขู่ฆ่าตน และจะทำร้ายครอบครัวด้วย
อ๋อม : “คือรายนี้ในข้อความเขาขู่ฆ่าเรา จะทำร้ายครอบครัวเรา รายนี้เป็นผู้หญิง ส่วนคนที่ด่าว่าเราเป็นโสเภณี คนนั้นเป็นผู้ชาย คนนั้นก็ฟ้องด้วย ถามว่าถ้าเจอหน้าจะคุยอะไรไหม ก็ไม่ได้คุยค่ะ ให้เป็นตามขั้นตอนเลย ไม่รู้จะคุยอะไร ที่ผ่านมาเขาก็ขอโทษ บอกว่าผิดไปแล้ว แต่เราก็ไม่รู้จะคุยอะไร ก็แค่ฟังเขาเฉยๆ ตอนนี้ก็ต้องคุยกับพี่ทนายแล้วกันนะคะ
เขาพูดถึงเรื่องเงิน ไม่อยากให้ฟ้องเป็นเงิน เขาก็อ้างว่าเขาไม่ได้ร่ำรวยประมาณนี้ เราก็ไม่รู้นะแค่ฟังเฉยๆ ก็ไม่ได้อยากจะคุยด้วย ถามว่าจะใจอ่อนไหม ไม่ค่ะ บอกไปแล้วว่าทำผิดก็ต้องรับผิด เราให้โอกาสเขาหลายครั้งแล้ว หมายความว่า เมื่อครั้งแรกที่เขาว่าเรา เราก็เฉยๆ แต่ว่าหลายครั้งไง พอหลายครั้งก็เริ่มเยอะขึ้นๆ ก็ไม่ไหวแล้ว ก็เลยคุยกับพี่ทนาย สำหรับคนนี้ก็ 2 ล้านบาท จะประนีประนอมลดได้ไหม อันนี้ต้องรอพี่ทนายว่ายังไง รอดูเขาก่อนด้วย”
ทนาย : “มันเป็นสิทธิ์ข้อเรียกร้องครับ ทางคุณอ๋อมแจ้งความจำนงว่า เขาต้องการเรียกร้องให้ทางจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในกรณีที่ทำให้เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชังเรียกไป 2 ล้านบาท ส่วนจะได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับหนึ่งทางฝ่ายจำเลยจะยินยอมในการชดใช้ไหม สองถ้าเขาไม่ยินยอมก็ต้องมีการสืบพยานกันไป ศาลจะวินิจฉัยให้ทางจำเลยชดใช้สินไหมทดแทนเท่าไหร่อันนั้นก็อยู่ดุลยพินิจของท่านผู้พิพากษา"
อ๋อม : “สู้ค่ะ จะได้เป็นกรณีตัวอย่างนะคะ เวลาจะพูดว่าใครมันก็ไม่ควร มันอยู่ในพื้นที่ของเราด้วย แล้วอันนี้มันเป็นเรื่องของครอบครัวด้วย มาว่าครอบครัวเรา แล้วก็มาขู่ฆ่าเรา เรารู้สึกว่ามันจะอยู่ในโลกโซเชียลไปตลอด เราก็เสียหายค่ะ”
เผยตั้งแต่บอกว่าจะฟ้องร้อง ก็มีคนมาด่าน้อยลง
ทนาย : “วันนี้ฟ้องข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาครับ”
อ๋อม : “หลังจากที่มีข่าวว่าจะฟ้องคนก็ด่าน้อยลง แต่ก็ยังมีอยู่ มีแบบที่ลบโพสต์ไปเลยก็มี แต่เราแคปทันค่ะ เพราะพอมีแฟนคลับส่งมาให้เรา เราก็แคปๆ แล้วก็ส่งให้พี่ทนายเลย”
ทนาย : “ถามว่าถ้าเจอคู่กรณีมาแนวสติไม่สมประกอบ อันนี้มันก็ต้องนำสืบกันว่าในขณะที่เขาโพสต์เขามีสติสัมปชัญญะรับรู้เพียงพอในการที่จะไปใส่ข้อความหมิ่นประมาทนั้นหรือเปล่า ก็ต้องไปพิสูจน์กันครับ ซึ่งปกติโทษตามกฎหมายคือจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท หมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาโทษก็อาจจะหนักขึ้นนิดนึงก็คือ 3 ปี ไม่เกิน 6 หมื่นบาท”
เผยถึงขั้นต้องจ้างบอดี้การ์ดมาคอยประกบลูกด้วย
อ๋อม : “อยากบอกอะไรคู่กรณีเหรอ ไม่รู้จะพูดอะไรค่ะ ก็แค่ว่าก่อนที่จะทำอะไรหรือพูดว่าใครคิดก่อน เพราะว่ามันเป็นผลเสียต่อตัวเองด้วย มันเป็นหลักฐานไปแล้ว ในทุกกรณีนะ ไม่ว่าจะว่าอ๋อมหรือคนอื่นๆ สำหรับคนที่ชอบโลกโซเชียล มันสนุกมือหรือคิดจะว่าคนที่คุณไม่ชอบก็ได้แหละ แต่ว่าเวลาจะเขียนหรือพิมพ์อะไรมันเป็นหลักฐานมันไม่คุ้มเสียค่ะ
การที่เขามาข่มขู่จะฆ่าเรา เราก็กลัวว่าเขาจะทำจริงๆ เพราะเขาพูดถึงลูกเราด้วย พูดถึงสามีเรา มันก็ไม่ใช่แล้วนะ มันก็ทำให้เราไม่ว่าจะไปไหนเราก็กังวล ต้องคอยระมัดระวัง มันเป็นความกังวลของครอบครัว กลัวจะไม่ปลอดภัย เพราะเราก็ไม่รู้ว่าคนสมัยนี้เขาคิดอะไร เราก็กลัว แต่ถามว่าเคยมีคนแปลกๆ มาตามไหม ก็ยังค่ะ เพราะเวลาไปไหนมาไหนก็ไม่ได้ไปคนเดียวอยู่แล้ว เราก็ให้เขาคอยดูแลเรา ต้องให้คนคอยตามดูลูกด้วย มีคนคอยดูแลตลอด มันก็เลยกลายเป็นเสียกับเรา เพราะเราจะเสียสุขภาพจิต ไปไหนมาไหนเราก็ต้องระวังตัว
ส่วนเรื่องที่เขาบอกว่าสามีเราค้ายาเนี่ย (หัวเราะ) เขาก็งงนะ มันไม่ได้เป็นความจริงอยู่แล้ว ถ้าค้ายาคงโดนจับไปแล้วล่ะ (หัวเราะ) แต่อันนี้มันเป็นเรื่องราวที่อยู่ในโซเชียล แล้วเวลาใครเสิร์จหรือลูกเราโตขึ้นมา คือในอนาคตมันก็จะเจอข้อความเหล่านี้ มันก็จะกลายเป็นว่าทำให้เราเสียชื่อเสียง มันก็กระทบทางด้านจิตใจแหละ เรื่องความกังวล มันมีคนที่คิดกับเราขนาดนี้ ก็เป็นผลกระทบในเรื่องความรู้สึกเรา”
บอกจะเรียกมากกว่า 2 ล้านด้วย
ทนาย : “วันนี้ที่เราจำเป็นต้องมายื่นคำร้องขอเป็นโจทก์ร่วม และยื่นให้ฝ่ายจำเลยเขาชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เนื่องจากมันมีข้อจำกัดของกฎหมายนิดนึงว่าในกรณีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้อง ถ้าจำเลยรับสารภาพ ศาลจะมีคำพิพากษาในวันนี้เลย การที่เราไม่ได้ยื่นคำร้องขอให้เขาชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ก็ต้องไปฟ้องเป็นคดีใหม่ ดังนั้นแล้วทางคุณอ๋อมจึงจำเป็นต้องยื่นคำร้องขอให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในวันนี้ เพราะไม่เช่นนั้นถ้าจำเลยรับสารภาพแล้ว ศาลพิพากษาวันนี้ คุณอ๋อมต้องไปฟ้องเป็นคดีแพ่งอีกคดีหนึ่งต่างหากในการที่จะเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน ดังนั้นแล้วจึงมีความจำเป็นต้องมาขอเป็นโจทก์ร่วม และขอให้ทางฝ่ายจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนครับ
ส่วนถ้าเขามีการต่อรองขอลดหย่อน อันนั้นอยู่ที่คุณอ๋อมครับ ทางทนายไม่มีอำนาจตัดสินใจนอกจากตัวลูกความคือทางคุณอ๋อมให้ความยินยอม ว่าการที่เราเรียกร้องไปเท่านั้นแล้วเขาจะต่อรองมาเท่าไหร่ ก็สุดแล้วแต่คุณอ๋อม”
อ๋อม : “จริงๆ จะเรียกเพิ่มกว่านี้นะ (หัวเราะ) ไม่ได้จะลด เพราะว่ามันทำให้เราเสียชื่อ และทำให้เรามีความไม่ปลอดภัยในชีวิตและในครอบครัวของเรา คือการที่เขาพูดแบบนี้มันเป็นการข่มขู่ครอบครัวเรา ข่มขู่ลูกเรา พ่อแม่เราอีก มันกลายเป็นความไม่ปลอดภัยค่ะ จริงๆ ไม่ได้จะเรียกเท่านี้หรอก จะเรียกมากกว่านี้ด้วยซ้ำ ยังมีรายอื่นๆ อีกนะ เดี๋ยวรอดูต่อไปว่าจะมีเคสไหนอีก เพราะว่ามีมาเรื่อยๆ”
ซึ่งหลังจากที่ “อ๋อม” และทนายความได้เข้าไปยื่นเรื่องในชั้นศาล ก็ได้ออกมาให้สัมภาษณ์อีกครั้งว่าไม่ได้เจอตัวคู่กรณี เพราะถูกคุมขังอยู่ ไม่สามารถเจอหรือพูดคุยได้
อ๋อม : “เรียบร้อยแล้วค่ะ แต่ทางจำเลยเขาอยู่ในห้องขัง เราก็เข้าไปเจอไม่ได้ เขาถูกขังอยู่ มาถึงเขาก็ถูกขังเลยค่ะ เพราะว่าเขาให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนไปแล้ว”
ทนาย : “คือกระบวนการในวันที่พนักงานอัยการนำตัวจำเลยมายื่นฟ้องต่อศาลนั้น เขาต้องมีการควบคุมตัวไว้ก่อน ขั้นตอนต่อไปก็คือหลังจากยื่นฟ้องเสร็จ ทางจำเลยเขาต้องขอประกันตัว ส่วนอำนาจในการที่จะให้ประกันหรือปล่อยชั่วคราวหรือไม่ เป็นดุลยพินิจของศาล แต่ว่าคดีลักษณะนี้คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาในเรื่องการประกันตัว นั่นก็เป็นสิทธิของจำเลยตามกฎหมายครับ”
อ๋อม : “ยืนยันเหมือนเดิมว่าจะไม่ลด ก็ไม่ได้ตั้งใจจะลดอยู่แล้วค่ะ เพราะอย่างที่บอกว่าคงต้องเพิ่ม คือเขามาพูดว่าเราในพื้นที่ของเรา ว่าครอบครัวเรา ทำให้เราเสียหาย ลูกเราด้วย มันก็มีขั้นตอนหลายๆ อย่างที่เรารู้สึกว่าเราหวาดกลัว และต้องระมัดระวังตัวทั้งลูกเราและสามีเรา อย่างลูกเราเวลาไปโรงเรียนเราก็ต้องจ้างคนเพิ่มเพื่อไปส่งโรงเรียน มีบอดี้การ์ดเพิ่ม ตัวเราด้วย มันก็มีค่าใช้จ่ายเยอะแยะค่ะ
จริงๆ ต้องมากกว่านี้ด้วย (หัวเราะ) เพราะมันเป็นชื่อเสียงน่ะค่ะ แล้วที่เราพูดไปก็ไม่ได้พูดเกี่ยวกับตัวเขา ในการโพสต์ของเราพูดถึงเรื่องดีๆ อยากให้มันเกิดเรื่องดีๆ ขึ้นในประเทศนี้ แต่เขามาว่าในส่วนตัวเรา แต่จริงๆ ตั้งใจอยากจะไปเจอเขานะ แต่เผอิญเขาอยู่ในห้องขัง แค่อยากเจอหน้า ไม่ได้อยากพูดอะไร เพราะเขาโทร.มาบ่อยมากเลย เราก็บล็อกไปหลายเบอร์แล้ว แต่ก็ยังโทร.มาอีก เมื่อ 2 วันก็เพิ่งโทร.มา คือไม่อยากเห็นน้ำตาแล้ว เพราะตอนที่เขาว่าเราเขาก็ไม่ได้สลดหดหู่อะไรนี่คะ เขาก็ด่าเราเสียๆ หายๆ ว่าลูกเรา สามีเรา ครอบครัวเรา เราก็เจ็บมาเยอะ ให้โอกาสไปแล้วแต่ก็ยังทำซ้ำๆ
ก่อนหน้านี้เขาพยายามจะประนีประนอม เขาก็พยายามโทร.มา รู้สึกจะโทร.ไปหาพี่ทนายด้วย แต่พี่ทนายไม่ได้คุยมั้งคะ แต่พอศาลรับคำร้องแล้ว ก็โล่งค่ะ เพราะคนผิดก็ต้องได้รับผลกรรม ผิดมันก็ต้องว่าไปตามนั้น”
ทนาย : “ขั้นตอนหลังจากนี้การยื่นขอเป็นโจทก์ร่วม ยื่นขอให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน แล้วศาลก็จะสั่งว่ารับคำร้องหรือไม่รับคำร้องยังไง แต่ว่าโดยเนื้อหาของคำร้องโดยสิทธิขั้นพื้นฐานตามกฎหมาย ไม่น่าจะมีปัญหาเรื่องที่ท่านจะสั่งรับหรือไม่สั่งรับ พอเข้าสู่กระบวนการเมื่อศาลรับคำร้องขอเป็นโจทก์ร่วมก็ดี รับคำร้องขอให้จำเลยจ่ายค่าสินไหมทดแทนก็ตาม มันก็เข้าสู่กระบวนการศาลจะมีการนัดไกล่เกลี่ยอีกครั้งหนึ่งถ้าไกล่เกลี่ยกันได้ก็จบไป ถ้าไกล่เกลี่ยกันไม่ได้ก็เข้าสู่กระบวนการสืบพยาน ถามว่าอีกนานไหมกว่าจะมีการนัดไกล่เกลี่ย อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับศาล เพราะเรื่องวันนัดตรงนั้นเป็นเรื่องของทางศาล”
อ๋อม : “ก็อยากให้จบเร็วค่ะ ทำผิดก็ว่าไปตามนั้น จริงๆ ก็มูฟออนทุกวันอยู่แล้ว แต่ว่าตรงนี้จะได้เป็นเคสตัวอย่าง ของคนที่เก่งในโลกโซเชียลไปว่าคนอื่นจะได้เห็นว่ามันมีผลในสิ่งที่คุณทำนะ แล้วเราก็บอกไปตั้งแต่แรกแล้วว่าไม่รับกระเช้า ไม่รับคำขอโทษ รับเป็นเงิน บอกไปแล้วเตือนไปแล้วนะ ส่วนเงินที่รับมาส่วนนึงจะเอาบริจาค ไปช่วยเหลือคน เราไม่ได้อยากใช้เงินจากคนเหล่านี้ ก็เลยขอเอาไปใช้ในเรื่องราวที่เกิดประโยชน์
ตอนนี้มีแค่รายเดียว เดี๋ยวก็มีตามมาอีก ถ้ายังปากเก่งเขียนเก่งก็ไม่เป็นไรค่ะ พี่ทนายรับเรื่องไว้แล้ว ก็ไม่ต้องมาขอโทษ ก็รับเป็นเงินค่ะ ไม่ได้เดือดร้อน แต่จะเอาเงินไปช่วยคนอื่น ไม่ใจอ่อนค่ะ รอแต่งตัวมาศาลสวยๆ”