“นิ้ง ชัญญา” เปิดใจ ชีวิตเจอแจ็คพอตอีกแล้ว ตรวจพบเนื้องอกเต้านมระยะ 3 แต่ยันชิลแล้ว เพราะเคยผ่านเนื้องอกที่ก้านสมองมาก่อน สู้ไม่ถอย หยุดความฝันไม่ได้ ย้ำไม่ใช่คนไม่ดูแลสุขภาพ ที่ผ่านมากินดี กินคลีน และออกกำลังกายตลอด
หลังจากที่เคยเข้าผ่าตัดสมองไปเมื่อปี 63 เหตุตรวจพบว่าเป็นเนื้องอกที่ก้านสมอง ล่าสุดปี 65 “นิ้ง ชัญญา แม็คคลอรี่ย์” ก็ออกมาเผยว่าได้ตรวจพบว่าเป็นเนื้องอกที่เต้านมระยะ 3 อย่างไม่คาดคิดอีกครั้ง หลังพาคนในครอบครัวไปตรวจสุขภาพ โดยเจ้าตัวเผยระหว่างมาร่วมงาน “เนรมิตรหนัง ฟิล์ม” ร่วมกับ “เอ็ม พิคเจอร์ส” เปิดตัว “Line Up of “I Am Monster” ยอมรับว่ายังโชคดีที่เจอก่อน เพราะไม่อย่างนั้นตนอาจเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตก็ได้
“เมื่อไม่กี่วันเพิ่งไปตรวจสุขภาพมาค่ะ จริงๆ จะพาพ่อไปตรวจ แต่พ่อไม่ไปเลยบอกงั้นเดี๋ยวตรวจเป็นเพื่อน ก็เลยตรวจกันทั้งบ้าน แต่ปรากฎว่าทุกคนไม่เป็นอะไรเลย แต่เราเป็นอีกแล้ว เจอเนื้องอกที่เต้านมในระดับ 3 จากทั้งหมด 6 ระดับ เจอจากการเมโมแกรมและอัลตร้าซาวด์ สำหรับเราที่เคยเป็นเนื้องอกก้านสมองมาแล้วมันก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไรเท่ากับที่ก้านสมอง เพราะตรงนั้นจะเป็นอันตรายมากกว่าเยอะมาก มันคือตำแหน่งที่ถ้ามันโตแล้วเกิดการเบียด สามารถตายได้เลย
คือตรงก้านสมองมันควบคุมแม้กระทั่งอัตราการเต้นของหัวใจ มันควบคุมทุกอย่างในร่างกาย เรียกว่าเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดก็ว่าได้ วิธีการรักษาก็คือมีวิธีเดียวก็คือการผ่าออก นิ้งก็ผ่าไปเรียบร้อยแล้ว 1 รอบเมื่อ 1-2 ปีที่แล้ว แต่มันยังเหลือการผ่าอีก 2 ครั้ง เราวางแผนไว้ว่าจะผ่า 3 ครั้งแต่ครั้งที่แล้วที่ผ่าไปมันยังเหลือติ่งอยู่เลยต้องผ่าอีก 2 รอบ คือนิ้งเจอเนื้องอกก้านสมองครั้งแรก 3.1 ซม. 6 เดือนผ่านไป มันโตขึ้นมาเป็น 4 ซม.
การเป็นเนื้องอกก้านสมองของนิ้งเป็นชนิด 1 ในแสนคน ไม่มีใครหาคำตอบได้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง แต่สิ่งที่อันตรายคือการที่จะต้องผ่าตัดมากกว่า เพราะมันเป็นตำแหน่งที่สำคัญ ในตำแหน่งนั้นจะมีเส้นประสาทที่สำคัญอยู่ 3 เส้นพาดอยู่ วิธีการผ่าคือเราต้องค่อยๆ เลาะสิ่งนี้ออกไป การผ่ามันอันตรายมากตรงที่ผ่าเสร็จแล้วเราจะฟื้นหรือไม่ฟื้น มันเป็นสิ่งที่เราคาดเดาไม่ได้เลย เราเหมือนโดนบังคับให้ต้องตัดสินใจ
อยากบอกทุกคนให้รู้ไว้ว่าเนื้องอกชนิดที่นิ้งเป็นอยู่ ทุกคนจะรู้ได้ก็ตอนที่เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตแล้ว จะรู้ก็ต่อเมื่อตื่นขึ้นมาแล้วหน้าเบี้ยว ปากเบี้ยวไปแล้ว เพราะมันได้ทำลายเส้นประสาทไปแล้ว แต่เราโชคดีที่เจอก่อน จึงอยากขอย้ำกับทุกคนว่าอยากจะให้ทุกคนตรวจสุขภาพกันให้มากๆ ถ้าเรารู้แล้วเราก็รักษา รู้เร็วก็รักษาเร็ว เราก็รักษาไปตามกระบวนการ แต่ถ้าเราไม่รู้เกี่ยวกับร่างกายเราเลย แล้ววันนี้มันแย่ไปแล้วมันจะแก้ไม่ทัน”
ยังบอกไม่ได้เป็นเนื้อร้ายหรือไม่ ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
“ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ว่าเนื้องอกเป็นชนิดไหน แต่เลเวล 3 หมอก็บอกให้ติดตามอย่างใกล้ชิด มันจะต้องเจาะออกมาตรวจถึงจะรู้ว่าจะทำยังไงต่อไปดี ตอนนี้แค่ตรวจเจอ แต่ยังไม่รู้ว่าแค่ไหน ยังไง ไม่มีอาการอะไรบ่งบอกเลย แค่ไปตรวจสุขภาพแล้วเจอ ตอนที่เป็นเนื้องอกที่ก้านสมอง ตอนนั้นเรารู้สึกปวดหัว เราก็ปวดหัวมาก ก็คิดว่าไปโรงพยาบาลฉีดยาแล้วก็หาย ก็คงกลับมาใช้ชีวิตปกติได้แล้ว ปรากฎเข้า MRI แล้วเจอเนื้องอกที่ก้านสมองไปเลย
ถามว่ากำหนดผ่าเนื้องอกก้านสมองอีกทีเมื่อไหร่ ตอนนี้คิดว่าเราน่าจะกำหนดตัวเองได้ เนื้องอกเต้านมมันเป็นแพลนที่เพิ่งมา เลยรู้สึกว่างั้นโฟกัสแค่วันนี้ก่อน กับสิ่งที่เราจะต้องมาทำกับสิ่งที่เราวางแผนมาก่อนไว้แล้ว สิ่งที่แทรกเข้ามามันต้องรอสิ ก็คิดว่ารอไปก่อน ขอทำงานก่อน ด้วยเนื้องอกชนิดนี้มันไม่มีทางหาย มันแค่เอาออกไปให้ได้มากที่สุด ติดตามมันไปเรื่อยๆ ดีขึ้นก็ติดตามจาก 6 เดือนเป็น 1 ปี 3 ปี แต่สุดท้ายแล้วเราไม่มีทางหายจากมัน มันจะติดตัวเราไปตลอดเวลา อันตรายของมันคือถ้ามันติดตัวเราไปแล้วเราไม่ผ่า วันนึงถ้ามันไปเบียดเส้นประสาทตาเรา ตาเราอาจจะบอดได้”
สู้กับมัน หยุดความฝันไม่ได้
“ณ ตอนนี้นิ้งยังทำงานได้ปกติมาก การที่เราเป็นเนื้องอกไม่สามารถเอามาเป็นข้ออ้างในการดำเนินชีวิตอะไรได้เลย เราสู้กับมันมาก เข้าใจไหมว่าอยู่มาวันนึงเราก็กลายเป็นเด็กแจ็คพอต เจอเนื้องอก 1 ในแสน มันไม่ใช่สิ่งที่เกิดจากที่เราไปซน ไม่รักษาสุขภาพ ทุกวันนี้ก็กินดี กินคลีน ออกกำลังกาย เดือนก่อนที่จะเจอ เรายังวิ่งเกือบ 100 กิโล ฟิตเนสอาทิตย์ละ 3 วัน แล้วปรากฎว่าเจอมัน ก็รู้สึกว่าแค่นี้มันไม่สามารถหยุดความฝันของเราได้หรอก
ไม่ได้ตั้งคำถามกับมันเลยว่าในเมื่อเรากินดีอยู่ดี ใช้ชีวิตดี ทำไมยังเกิดขึ้นอีก รู้สึกว่าถ้ามันจะเป็นเรามันก็ต้องเป็นเรา บางครั้งเรื่องหลายๆ เรื่องที่เกิดในชีวิตเราบางครั้งมันก็ไม่มีเหตุผล 1 ในแสนเขาเลือกมาแล้วว่าจะต้องเป็นเราก็ต้องยอมรับ สุดท้ายแล้วคนที่เจอ หรือหมอ ก็ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่ามันเกิดจากอะไร อาหารไม่เกี่ยวเลย
ตอนนี้รอว่าต้องผ่าเมื่อไหร่ ถ้ามันโตมาระดับ 3 แล้ว พอ MRI ดูแล้วหมอบอกว่ามันแทบจะเบียดเส้นประสาทตาแล้วนะ หรือดูมีท่าทีที่จะอันตรายก็จะต้องผ่า คุณหมอแนะนำว่าจากประสบการณ์การผ่าทีเดียวไม่ดี หมอเขาก็พยายามทำให้มันออกมาดีที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ แล้วเราก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากเชื่อใจหมอ
ถามว่าต้องดูแลยังไงไม่ให้เนื้องอกมันโตไปมากกว่านี้ ไม่มีเลย ไม่มีอะไรบอกได้เลยว่าอะไรที่มันจะทำให้มันโตเร็วหรือโตช้า เหมือนที่ไม่มีใครบอกได้ว่า 1 ในแสนทำไมถึงต้องเป็นเรา นิ้งหยุดกับการตามหาทุกอย่างแล้ว เอาเวลาไปคิดว่าในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้วเราจะต้องทำยังไงต่อ เราจะทำอะไรได้บ้าง เรายังอยากทำงาน อยากจะเล่นหนัง อยากจะแสดง เราก็จะทำสิ่งนี้จนกว่าจะทำมันไม่ได้ การจมอยู่กับมัน มันไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นมาเลย มันกำลังจะเสียเวลาในอนาคตของเราไปด้วยซ้ำ ในขณะที่เราไม่รู้ว่าพรุ่งนี้เราจะได้ตื่นขึ้นมาไหม ฉะนั้นเราอยากทำอะไร ณ วันนี้เราก็ทำซะ วันนี้เรามีความสุข วันนี้เรามาทำงานที่เรารัก เรามีความสุขแค่วันนี้พอ เราโอเคแล้ว”
ไม่เครียด แค่ผ่าออก อย่างมากแค่นมเล็กลง
“มันไม่เครียดเพราะเราผ่านก้านสมองมาแล้วไง ตรงก้านสมองถ้าวันนึงมันอาจจะโตขึ้นมา 2 ซม. มันไปเบียดเส้นประสาทอื่น เราก็อาจจะต้องตุบได้ แต่ตรงเต้านมถ้ามันโตขึ้นมา 2 ซม. เราก็แค่ไปผ่าออกไง อย่างมากก็แค่นมที่เราไม่มีอยู่แล้วมันก็อาจจะเล็กไปอีก มองว่าเป็นเรื่องเล็ก คิดไปก็ไม่ได้อะไร ก็รอหมอนัด ให้มันเป็นกระบวนการของการ รักษากันไป ค่อยๆ คิดทีละอย่าง”
ผ่าก้านสมองอีกรอบ ตำแหน่งของรอบต่อไปหมอจะผ่าข้างตาขวา นิ้งก็ยังคิดไม่ออกเหมือนกันว่ามันจะเป็นยังไง เรายังไม่ได้จินตนาการถึงตรงนั้นเลย ต้องรอให้หมอเล่าให้ฟังอีกทีก่อน แต่ถ้ามันจะต้องโกนผมก็ไม่ติด เราค่อนข้างสนุกกับมันประมาณนึงเลยที่ได้เปลี่ยนผมไปเรื่อยๆ”