“ดวงเดือน” ภรรยา “สรพงศ์ ชาตรี” น้ำตาริน เปิดใจครั้งแรก เผยวาระสุดท้ายสรพงศ์หัวใจสู้ แต่ร่างกายไม่ไหว เป็นคู่ชีวิตกันมา 30 ปีไม่เคยห่างกัน สามีห่วงตนที่สุดเพราะอ่อนแอไม่สู้คน สัญญาจะเข้มแข็ง "ขอบคุณและรักพี่เอกมาก" เชื่อทำบุญมาตลอดชีวิตจะได้ไปอยู่ในที่ที่ดี
เป็นปีที่วงการบันเทิงต้องสูญเสียคนสำคัญไปหลายคน หลังเมื่อวันที่ 10 มี.ค. ที่ผ่านมา “เอก สรพงศ์ ชาตรี” นักแสดงชั้นครูและศิลปินแห่งชาติ เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอด ในวัย 73 ปี ท่ามกลางความเศร้าเสียใจของครอบครัว รวมถึงคนในวงการบันเทิงและแฟนคลับมากมาย โดยครอบครัวได้นำร่างมาประกอบพิธีทางศาสนา ณ ศาลากลางน้ำ วัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย และจะเก็บร่างไว้เพื่อรอพระราชทานเพลิงศพต่อไป
ล่าสุดวันนี้ (7 เม.ย. 2565) ได้มีพิธีเคลื่อนร่างของสรพงศ์ไปไว้ที่อุทยานมหาวิหารสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) บ้านโนนกุม ต.มิตรภาพ อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา ซึ่งเป็นผืนแผ่นดินที่เจ้าตัวรัก โดยกำหนดการสำคัญต่างๆ เริ่มขึ้นเวลา 07.30 น. พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ 10 รูป สวดพระพุทธมนต์ จากนั้นเวลา 09.20 น. เป็นการเคลื่อนสรีระร่างไปยังอุทยานมหาวิหารฯ ซึ่งในวันนี้ “ดวงเดือน จิไธสงค์”ภรรยาของสรพงศ์ ได้ออกมาเปิดใจเป็นครั้งแรกหลังสูญเสียสามีอันเป็นที่รัก แม้จะทำใจได้มากขึ้นกว่าวันแรกๆ แต่ความเสียใจไม่ลดน้อยลงแม้แต่น้อย ซึ่งก่อนที่จะให้สัมภาษณ์เจ้าตัวถึงกับน้ำตาไหลด้วยความอาลัยสุดหัวใจ
“เราจะไปที่มูลนิธินะคะ เป็นที่ที่พี่เอกเขาผูกพัน มีความรักกับแผ่นดินตรงนั้น เขาสร้างมาด้วยจิต ด้วยวิญญาณ (เสียงสั่น) ทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นตัวตนของเขาที่อยู่ตรงนั้นนะคะ แล้ววันนึงที่เขาไม่อยู่แล้ว เราก็อยากจะพาเขาเหมือนกลับบ้าน ไปอยู่ในสถานที่ที่เขารัก เขาผูกพันค่ะ ที่วัดเทพศิรินทร์ก็คือดีที่สุดนะตรงนี้ หลวงพ่อสมเด็จท่านก็เมตตาพี่เอกอย่างมาก พระทุกรูป พระผู้ใหญ่ รวมทั้งผู้ใหญ่หลายๆ คนก็เมตตา ท่านก็ดูแลอย่างดีที่สุด แต่พอวันนึงเราก็เรียนท่านว่าเราอยากจะพาพี่เอกกลับบ้าน ไปอยู่ในสถานที่ที่เขาสร้างมา (เสียงสั่น)
จริงๆ แล้วเขาคิดถึงตั้งแต่ป่วยแล้ว คิดถึงหลวงปู่ คิดถึงบ้าน แต่ยังไม่พร้อมที่จะไป พี่เอกจะพูดเสมอว่าคิดถึง เราก็บอกว่าไปไหม เขาบอกยังไม่พร้อม เพราะคิดว่าวันนึงพี่เอกจะต้องแข็งแรงขึ้น และไปได้ และพอมาจุดนี้เราว่าน่าจะเป็นสิ่งที่ (นิ่งน้ำตาคลอ) เป็นสิ่งที่เราต้องทำให้เขาค่ะ ซึ่งสถานที่ก็เตรียมแล้วค่ะ เจ้าหน้าที่และคนในอำเภอ คนในจังหวัดหลายๆ ฝ่ายก็มาช่วยกัน ก็จะบำเพ็ญกุศลไปเรื่อยๆ นะคะ จนกว่าที่องค์สมเด็จพระเทพฯ ท่านจะโปรดเกล้าฯ ลงมาว่าเมื่อไหร่ คือก็ทราบมาเบื้องต้น แต่ยังไม่ได้ใบนัดหมาย
ซึ่งสำหรับพิธีการวันนี้ก็จะมีทำบุญให้พี่เอก ก็นิมนต์พระผู้ใหญ่มา ท่านมาทำพิธีให้ก่อนที่จะเคลื่อนร่าง ตอน 07.30 น. พอ 8 โมง พระฉันเสร็จเรียบร้อย 09.00 น. เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวัง กระทรวงวัฒนธรรมส่วนหน้าก็จะมาทำพิธีเคลื่อนร่างให้ค่ะ 09.20 น.ออกจากตรงนี้ และคาดว่าจะไปถึงที่โคราชประมาณไม่น่าจะเกินบ่ายโมงค่ะ ทางนั้นก็จะมีพิธีบำเพ็ญกุศลต่อค่ะ ก็จะสวดพระอภิธรรมเหมือนที่อยู่ตรงนี้ ไปอยู่ตรงไหนก็คือเน้นการทำบุญเป็นหลักค่ะ”
บอกต้องใช้เวลาทำใจ เพราะ 30 กว่าปีที่ผ่านมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันตลอดไม่เคยห่าง
“(น้ำตาคลอ) มันก็เจ็บนะ (เสียงสั่น) 30 กว่าปีที่ใช้ชีวิตร่วมกัน ในวงการก็จะเห็นว่าเราทั้งคู่อยู่ด้วยกันตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นในกองถ่าย มันไม่ใช่ว่าใช้ชีวิตคู่แค่อยู่ที่บ้าน ข้างนอก กองถ่ายเราก็ไปด้วยกันทุกงาน และที่หลวงปู่โตก็จะอยู่ด้วยกันตลอดเสาร์-อาทิตย์ มันเหมือนตอนนี้มันขาดคนใดคนหนึ่งไปในร่างกาย แต่ใจ (นิ่ง) มันต้องใช้เวลา
เราจะบอกกันเสมอว่าพี่เอกไม่ต้องห่วงอะไร แม้กระทั่งตัวหนู พี่เอกไม่ต้องห่วงนะคะ หนูเข้มแข็ง คือเขาเป็นห่วงเรา เขารู้ว่าเราเป็นคน (นิ่ง) เป็นผู้หญิงน่ะค่ะ คือเป็นผู้หญิงจริงๆ ที่ไม่ได้เข้มแข็ง ไม่สู้คน อะไรอย่างนี้ พี่เอกเขาก็จะห่วงหลายๆ เรื่อง เราก็จะบอกเสมอว่าพี่เอกไม่ต้องห่วงนะ ไม่ต้องห่วงอะไร แม้กระทั่งวิหาร ซึ่งเขาห่วงว่ายังสร้างไม่เสร็จ พี่เอกห่วงมาก ทั้งๆ ที่ร่างกายป่วยนะคะ แต่เป็นคนที่มีจิตใจเข้มแข็ง
ถามทุกครั้งว่าพี่เอกปวดตรงไหนไหม ไม่เคยมีคำว่าปวด พี่เอกป่วยเหมือนไม่ป่วยน่ะค่ะ น่าจะต่อสู้ ก็ถามคุณหมอว่าจริงๆ แล้วพี่เอกต้องปวดไหม หมอก็บอกว่าเขาไม่เคยให้ยาแก้ปวด ก็ยิ้มปกติค่ะ พาสวดมนต์ทุกวันที่อยู่ในห้องไอซียู 31 วัน 24 ชม. ไม่เคยแสดงอาการเจ็บปวด เรายังบอกว่าถ้าพี่เอกปวดก็บอกนะ ไม่ ถ้าปวดจนกระทั่งพูดไม่ได้ ก็บอกว่าหลับตานะ ก็ไม่ กระพริบตานะ ก็ไม่ คุณหมอบอกเข้มแข็ง ร่างกายเท่านั้นที่ไม่ไหว”
ขอบคุณที่พาสร้างบุญกุศล เชื่อ “พี่เอก” ได้ไปอยู่ในที่ที่ดีที่สุดแน่นอน
“(เสียงสั่น) ก็ต้องขอขอบคุณแฟนหนัง แฟนละครของพี่เอก แม้กระทั่งกัลยาณมิตรสายบุญทุกๆ ท่าน ลูกศิษย์หลวงปู่โตทุกคนนะคะ คือที่เราไม่ได้ส่งข่าวว่าพี่เอกป่วย เพราะว่าช่วงโควิด และพี่เอกเองเขาไม่พร้อม เขาไม่อยากให้คนเป็นห่วงน่ะค่ะ เดี๋ยวรู้แล้วมาเยี่ยมไม่ได้ คือเขาคิดเยอะ
ขอบคุณพี่เอกมากที่ทำให้เรามีตัวตน ที่พาเราสร้างบุญกุศล (เสียงสั่น) เป็นสิ่งเดียวที่ติดตัวเราไป เขาจะพูดเสมอว่าบุญคือสิ่งเดียวที่จะติดตัวเราไป เป็นสิ่งเดียวที่ใครแย่งจากเราไปไม่ได้ คบกับพี่เอกมา 35 ปี ทำบุญด้วยกันมาตลอดนะคะนอกจากชีวิตทางโลกก็คือแสดงหนัง แสดงละคร ตอนหลังเราก็มาสร้างหลวงปู่โต เราก็จะอยู่วัดตลอด ก็ขอบคุณพี่เอก เชื่อว่าพี่เอกไปสบาย และไปอยู่ในที่ที่ดีที่สุดเท่าที่มนุษย์คนนึงที่ละสังขารแล้วจะไปอยู่ได้ค่ะ รักพี่เอกมากค่ะ”
