“เป้ย ปานวาด” เผยสานต่อบท “จันทร์” เพื่อ “แตงโม” ฉากแรกน้ำตาไหล เพราะกดดันตัวเองมากเกินไป ไม่ขอแตะเพื่อนมาหาหรือมาเข้าฝันรึเปล่า ซึ่งตนก็ได้ทำบุญตามความเชื่อทางศาสนาของตนเองให้แล้ว ลั่นยังติดตามข่าวทุกวัน ภาวนาขอให้ความยุติธรรมเกิดขึ้นกับแตงโม
หลังจากที่ “เป้ย ปานวาด บุญยรัตกลิน” ตัดสินใจสานต่อรับเล่นละครฟอร์มยักษ์เรื่อง “คุณชาย” ของทางช่องวันต่อจาก “แตงโม นิดา พัชรวีระพงษ์” ในบท “จันทร์” ที่ถ่ายไว้ได้เพียง 10 เปอร์เซ็นต์ก็มาเสียชีวิตไป ล่าสุดเป้ยได้มีการเปิดให้สัมภาษณ์ โดยเผยว่าถึงการตัดสินใจมารับเล่นเรื่องนี้ว่า...
“ณ วันแรกที่ผู้ใหญ่ติดต่อมา จำได้ตอนนั้นแพลนของเป้ยคือหลังจากจบละครเรื่องล่าสุดไปที่กลับมาเล่นละครอีกครั้งก็ตั้งใจว่าจะพักก่อนจะอยู่กับลูกก่อน แล้วก็อยู่ในช่วงระหว่างดูบทด้วยก็คิดว่าจะกลับมารับเล่นละครอีกทีช่วงพฤษภาคมเป็นต้นไป แต่พอผู้ใหญ่โทร.มาเรื่องนี้ คือ ณ ตอนนั้นก็ 70 เปอร์เซ็นต์แล้ว แล้วก็มีในใจอยู่แล้วว่าเราน่าจะเล่นแต่ว่ายังไม่ได้แจ้งผู้ใหญ่ไปเพราะว่าอยากจะขอดูบทก่อนว่าสามารถเล่นได้ไหม ขอทำการบ้านก่อนจะรับ
เพราะว่าถ้าอยู่ๆ รับปากไปเลยแล้วถ้าเกิดเราทำได้ไม่ดี มันก็คงไม่ดีเท่าไหร่กับการจะมาสานต่อแทนโม ก็เลยขออนุญาตทางผู้ใหญ่ทำการบ้านก่อนจะให้คำตอบดีกว่า พอทำการบ้านได้อ่านบทแล้ว ก็ต้องมานั่งคุยเรื่องคาแรกเตอร์กับผู้ใหญ่ พี่หวอ (วรวิทย์ ขัตติยโยธิน) ผู้กำกับด้วยว่าจะต้องเล่นให้ออกมาในรูปแบบไหนเพราะว่ามันค่อนข้างจะใกล้เคียงกับคาแรกเตอร์ละครก่อนหน้านี้เรื่อง วานวาสนา ก็จะต้องเล่นยังไงให้แตกต่างต้องทำการบ้านค่อนข้างเยอะ
สานต่อความตั้งใจของ “แตงโม” ในละครเรื่องนี้ทั้งคาแรกเตอร์และลุคตามความตั้งใจของแตงโม
“คือก่อนหน้านี้เป้ยต้องบอกตรงๆ ว่าเป้ยมีการคุยกับผู้ใหญ่อยู่แล้ว เป้ยกับโมกลับมาในช่วงเวลาใกล้เคียงกันมาก โมห่างหายจากการเล่นละครไป 2 ปีเหมือนกัน เป้ยก็ 10 ปี ในช่วงระหว่างที่รับละครมันเป็นช่วงที่ใกล้กันเลย ก็เลยถามผู้ใหญ่ โมเป็นยังไงบ้าง ได้ยินว่าเล่นเรื่องนี้ ดีจังๆ ก็เลยส่งกำลังใจฝากไป สู้ๆ นะ เป้ยเชื่อคือหลังจากที่ได้อ่านข้อความที่โมส่งหาผู้ใหญ่ ความรู้สึกของเรามันเหมือนตอนที่เรากลับมาก่อนที่จะเปิดกล้องเลย อยากวางคาแรกเตอร์แบบนี้ อยากทำแบบนี้เราก็เลยรู้สึกถึงความตั้งใจนั้นว่าโมอยากให้มันเป็นแบบนี้ โมวางบทของตัว จันทร์ เป็นแบบนี้พอมาสานต่อมีความรู้สึกอยากตั้งใจทำให้เหมือนที่โมวางไว้ก็คือ เล็บแดง ปากแดง เพื่อที่คนดูจะได้เพิ่มความอินแล้วก็ผมก็เป็นสีเข้ม เป้ยก็มีการไปตัดผมและย้อมสีผมให้เข้มขึ้น”
เล่าวันแรกที่เข้าฉากร้องไห้ เพราะกดดันตัวเองมากเกินไป
“ก่อนที่จะรับปากจะเล่นตอนเห็นบทก็นึกถึงโมแล้วก็บอกโม ขออนุญาตเขาก่อนนึกในใจ ถ้าโมอนุญาตให้เราเล่นก็ขอให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่นอะไรแบบนี้ คิดในใจแบบนั้นไป พอได้เล่นฉากแรกน้ำตาไหลเลย พอถ่ายเสร็จมันมีความรู้สึกกังวลหลายอย่าง กดดันหลายๆ อย่างคือเรากดดันตัวเราเองนะ ทุกๆ อย่างคือ พี่ๆ ทีมงานทุกคน ผู้กำกับนักแสดงทุกคนให้กำลังใจเราอย่างดีมาก แต่ด้วยอะไรหลายอย่างพอเรารับบทอยู่ในจุดๆ นี้แล้ว
พอเบื้องหลังมันจะมีความคิดมากมายที่มันต่อสู้กับเรามันจะมีคำถามว่า เราจะเล่นได้ไหม มันมีความกังวล มีความกลัวทุกอย่างเราจะเล่นได้ไหม เราจะทำได้ดีหรือเปล่า คนจะให้โอกาสเราไหม คือมันมีเข้ามาเยอะมาก แล้วความกังวลนั้นมันก็ทำให้เป้ยรู้สึกกดดันตัวเอง ทำให้เป้ยค่อนข้างจะเครียดในการทำการบ้าน พอเข้าฉากวันแรกเป้ยเล่นปุ๊บแล้วออกมาจากฉากเป้ยน้ำตาไหลเลย
แต่พอเรารู้ว่า เฮ้ย! เราถ่ายไปแล้วเรารู้สึกมันต้องไม่ใช่แบบนี้สิ เราต้องไม่กดดันตัวเอง คือเรารีบมาคุยกับตัวเองเลยว่าวันแรกที่เราคิดว่าเรารับ 70 เปอร์เซ็นต์ที่ไม่ได้บอกผู้ใหญ่แต่เราบอกว่าเรามีคำตอบแล้วว่าเรามีคำตอบ 70 เปอร์เซ็นต์ มันคืออะไร เราตั้งใจจะทำให้โมไม่ใช่เหรอ ทำไมไปกดดันตัวเองแบบนี้ มันไม่ดีเลย มันทำให้เราเล่นไม่ดีนะ ก็เลยต้องเปลี่ยนความคิดว่าเราจะต้องมีความสุขกับการเล่นแล้วเราได้ทำให้โมมากกว่ากดดันแล้วมาทำให้ตัวเองเครียด โชคดีที่ทีมงานรวมถึงนักแสดงทุกคนให้กำลังใจ มันก็เลยดีขึ้น”
ได้บทมาวันแรกไม่กล้าอ่าน
“ไม่กล้าอ่านเลย ไม่กล้าจับเลย เราอาจจะคิดเยอะด้วย เป้ยเป็นคนคิดเยอะ แต่เวลามันก็ทำให้ดีขึ้น และความตั้งใจ พอเราจับจุดได้ว่าเราเริ่มเครียด เริ่มกดดัน คนรอบข้าง สามี ลูกบอกทำไมแม่ดูเครียด กว่าเล่นละครเรื่องล่าสุดที่ห่างไป 10 ปี กลายเป็นว่าละครเรื่องนี้เป้ยเครียด เขาเลยถามว่าเป็นอะไรหรือเปล่า พอมีคนเริ่มทักเราก็เริ่มบอกตัวเองว่าเป้ย ไม่ได้นะ ภายใต้การแสดงถ้าเรามีความเครียด หรือความไม่มั่นใจ มันจะออกมาไม่ดี สิ่งที่เราตั้งเป้าว่าจะทำให้โม กลายเป็นว่าจะทำไม่ได้ แล้วก็ทำได้ไม่เต็มที่ เราต้องรีบปรับตัวเองให้ได้ทันที เป้ยจะบอกคนอื่นว่าพอมายืนอยู่จุดๆ นี้มันก็ยากนะที่จะทำให้ได้ดี และเต็มที่อย่างเราตั้งใจไว้”
ตั้งใจเล่นละครให้ “แตงโม” ไม่ได้จะมาเล่นแทน
“เป็นความคิดของเป้ย ไม่อยากให้คนมองว่าเป็นการมาเล่นแทน แต่เป็นการมาเล่นให้เพื่อโม เป็นการมาสานต่อให้โมในสิ่งที่โมทำทิ้งไว้ให้ไปได้ด้วยดี เป้ยเห็นความตั้งใจของโม เขาคงไม่สบายใจแน่ๆ ถ้ามีสิ่งอะไรที่เรายังทำค้างไว้อยู่ ก็อยากให้โมไม่ต้องเป็นห่วงตรงนี้ เป้ยจะทำให้ดีที่สุด
ตอนนี้ความกดดันลดลงแล้ว คือมันต้องรีบเปลี่ยน พอเรารู้แล้วว่าซีนแรกมันไม่ได้นะ เหมือนต้องเตือนตัวเองไม่อย่างนั้นมันจะกลายเป็นว่า 2-3-4 มันจะกลายเป็นไม่ดีไปเรื่อยๆ ฉะนั้นเราจะมาช่วยสานต่อตรงนี้ทำไม ให้คนอื่นเล่นไม่ดีกว่าเหรอ เราก็ต้องเตือนตัวเอง จะเป็นอย่างนี้ไม่ได้ ต้องขอบคุณทุกๆ คน นักแสดงทุกคนให้กำลังใจหลังจากที่เราได้เข้าฉากวันนั้นแค่ฉากเดียว น้องตงตงส่งข้อความมาหาว่าสู้ไปด้วยกัน เราก็ดีใจ”
ขอบคุณแฟนๆ ที่ส่งกำลังใจให้ตน ขอไม่แตะเรื่องที่ “แตงโม” มาหา มาเข้าฝัน
“เราก็ดูเฉพาะในไอจีเราเท่านั้นเอง แต่ก็จะมีเพื่อนๆ มาบอกบ้าง ต้องขอบคุณสำหรับกำลังใจ เป้ยเข้าใจคนที่รักและเป็นแฟนคลับของแตงโมก็จะเฝ้ารอ ติดตามว่าจะเป็นยังไงต่อไป เป้ยก็ขออนุญาตเป็นคนที่มาสานต่อตรงนี้แทนโม ขออนุญาตแล้วกัน ถามว่าเพื่อนมาเข้าฝันบ้างไหม เป้ยไม่รู้ว่าเป้ยคิดไปเองหรือเปล่า เป้ยไม่อยากจะแตะ เอาเป็นว่าเรารับรู้ได้ถึงสัญญาณที่มันดี ความรู้สึกที่มันดี ขออนุญาตเก็บไว้ดีกว่า”
ก่อนหน้านี้ได้ไปวางดอกไม้เพื่ออาลัย “แตงโม” ทำบุญตามรูปแบบศาสนาของตัวเอง
“มีไปวางค่ะ ก็เล่าให้คุณแม่ฟัง คุณแม่ก็ไปทำบุญให้ ก็ทำบุญที่เป้ยทำได้ ด้วยเป้ยนับถือศาสนาอิสลาม เป้ยก็ทำบุญในรูปแบบของเป้ย แล้วเป้ยก็ยังจะมีแพลนอีกหลายๆ แพลนที่เราอยากจะทำให้โมได้รับ มีการส่งข้อความไปหาแอนนา แต่ยังไม่ได้ซื้อ เป้ยถามแอนนาว่าน้องแมวทานอาหารยี่ห้ออะไร ถ้าทำอะไรได้เป้ยก็อยากจะทำ ในฐานะเพื่อนร่วมวงการคนนึง แล้วเราก็มาสานต่องานให้ด้วย
เราพยายามคิดว่าโมจะเป็นห่วงอะไรบ้าง ก็คือตรงนี้ และยังมีอีกหลายอย่าง คุยกับทีมงานอยู่ว่าจะไปทำอะไรให้โมกันบ้าง ก่อนหน้านี้เป้ยรวมตัวกับเพื่อนบริจาคถุงห่อศพมาแล้วด้วย”
เล่าความผูกพันกับ “แตงโม” แม้ไม่ได้เจอก็จะคอยส่งกำลังให้กันตลอด
“เรียกว่าเป็นเพื่อนร่วมวงการที่มันอยู่ในช่วง 10 กว่าปีที่แล้วที่มีอีเวนต์เยอะๆ ก็จะเจอกันตลอดเวลา เราก็จะพูดคุยกันตลอด ด้วยนิสัยเป้ยกับโมคล้ายกัน อารมณ์ช่างแต่งหน้าจะกลัวเราสองคน เพราะพอมาอยู่ด้วยกัน เขาบอกว่าสองคนนี้มารวมตัวกันไม่ได้ เดี๋ยวกะเทยจะกลับ กะเทยจะตายหมดจะประมาณนี้ พอเป้ยห่างไปมีครอบครัว เราก็เจอกันตามห้าง โมก็บอกว่าอยากไปเล่นกับพี่โปรด (ลูกชาย) แต่ก็ยังไม่มีโอกาสได้มาสักครั้ง จะเป็นแนวนี้มากกว่า ถึงช่วงหลังเราจะไม่ค่อยได้เจอกัน เราเป็นเพื่อนในลักษณะของเพื่อนร่วมงาน แต่ถ้าช่วงไหนชีวิตเป้ยมีปัญหา โมก็จะส่งข้อความมาให้กำลังใจ”
ยังติดตามข่าวทุกวัน ภาวนาขอให้ความยุติธรรมเกิดขึ้นกับ “แตงโม”
“ติดตามตลอดเวลา และภาวนาขอให้ความยุติธรรมเกิดกับโม ก็ลุ้นอยู่ตลอดเวลา บ่นกับทีมงานตลอดว่าทำไมต้องเกิดเรื่องแบบนี้ด้วย เรามีความรู้สึกลูกผู้หญิงเหมือนกัน ทำไมในช่วงชีวิตของโมก็เจออะไรมากมายในช่วงชีวิตของโม มันค่อนข้างจะโหดร้ายสำหรับโมเหมือนกัน ก็นั่งคิดโลกช่างไม่ยุติธรรมกับผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างโมเลย ตอนอยู่ก็ใจร้ายแล้ว ตอนไปยังจะใจร้ายอีก เป้ยก็คิดอย่างนี้ในฐานะคนๆ นึงที่รู้จักกับเขา เวลาที่เขาเจอปัญหาเราก็คอยส่งกำลังใจให้ตลอดเวลา ก็เลยภาวนาว่าอยากให้มีความยุติธรรมเกิดขึ้นกับโม เป้ยหวังตลอด หวังทุกวัน ติดตามข่าวทุกวัน เป้ยก็ขออนุญาตทุกคนมาสานต่อตรงนี้แทนโม เป้ยสัญญาว่าจะทำให้ดีที่สุดเท่าที่เป้ยจะทำได้ สัญญาค่ะ”
