ประมาณสักห้า – หกปีที่แล้ว ผู้เขียนนั่งอยู่ในรถคู่กับอดีตกรรมการคัดเลือกศิลปินแห่งชาติท่านหนึ่ง คุยเรื่องนั้นเรื่องนี้สักพักใหญ่ จากนั้นจึงได้ยินคำถามจากท่านว่า “ทำไมสรพงศ์ได้เป็นศิลปินแห่งชาติ”
พูดตามตรงว่าผู้เขียนมีคำตอบซึ่งอธิบายสาเหตุได้ชัดเจนว่าเหตุไฉนไยเล่าสรพงศ์ ชาตรี จึงได้รับเกียรติอันสูงส่งในการทำงานและก็เป็นอาชีพที่เขารัก แต่ไม่ตอบออกไปในทันที รอจนท่านผู้ตั้งคำถามเฉลยจึงค้อมหัวยอมรับอย่างเงียบๆ
เพราะสิ่งที่อดีตคณะกรรมการพิจารณาผู้สมควรได้รับการยกย่องให้รางวัลศิลปินแห่งชาติแก่ผู้หนึ่งผู้ใดในสาขาอาชีพที่ตนคว่ำหวอดนั้น ตัวท่านเองก็ได้รับเกียรติสูงสุดในชีวิตมาแล้วด้วย และคำอธิบายของท่านตรงกับความรู้สึกนึกคิดของผู้เขียนอย่างชนิดเรียกได้ว่าเกือบจะเปะร้อยเปอร์เซ็นต์
เคยได้ยินมาเหมือนกันว่า ในวงสนทนาบางวงมีการโยนคำถามทำนองทำไมดาราคนนี้ พระเอกคนนั้น เหมารวมถึงดาราหญิงระดับตำนานจึงยังไม่ได้เป็นศิลปินแห่งชาติ ซึ่งอันนี้ผู้เขียนขอละไว้ก่อน
ละไว้ในการแสดงทัศนะว่าทำไมใครบางคนจึงไม่ได้เป็นศิลปินแห่งชาติ ทว่าจะอธิบายสาเหตุว่าทำไมผู้เขียนจึงมีความคิดเห็นเช่นเดียวกันกับท่านผู้ตั้งคำถาม
นั่นคือ สรพงศ์ ชาตรี เล่นหนังทุกเรื่องไม่ได้เหมือนสรพงศ์ ชาตรี แต่เขาเล่นเป็นตัวละครนั้นๆ ที่สำคัญคือ ‘เข้าถึง’ บทบาทการแสดงจนไม่เหลือเงาของสรพงศ์ ชาตรี
เรื่องแบบนี้ไม่ใช่ทำกันได้ง่ายๆ แต่สรพงศ์ ชาตรี ทำให้เห็นมาตลอดชีวิต
ผู้เขียนดูหนังที่เขาเล่นมาเกินห้าสิบปี รู้ข่าวว่าเป็นมะเร็งจึงใจหาย ต่อมารู้ว่าเขาจากโลกนี้ไปแล้ว
ธรรมดาของชีวิตสำหรับเกิด แก่ เจ็บตาย
เพียงแต่สรพงศ์ ชาตรีไม่ธรรมดาเอาเสียเลยต่อการมีชีวิต