ถ้าถามว่าโดยปกติแฟนหนังต้องรอกันกี่ปีถ้าจะดูหนังภาคต่อของหนังสักเรื่อง? คำตอบคือมาตรฐานก็สองถึงสาม นานหน่อยก็สี่ห้าปี ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขทั้งเรื่องรายได้กับเรื่องที่ว่าผู้สร้างเองมีการวางแผนเอาไว้อย่างไรตั้งแต่แรก
แต่ใครจะคิดกันว่าหนังชุด “ดาบมังกรหยก” ที่ภาคแรกมีการโฆษณาไว้เสียดิบดีว่าจะมีภาคสองออกมาจะต้องใช้เวลานานถึงนานถึง 27 ปี กว่าที่คนจะได้ดูภาคต่อของหนังเรื่องนี้...
ยุคทองหนังกำลังภายใน
ในยุค 90s เป็นยุคที่นิยายกำลังภายในกลับมาดังในวงการภาพยนตร์ฮ่องกงอีกครั้ง โดยเฉพาะหลังความสำเร็จของ “เดชคัมภีร์เทวดา” นิยายของ "กิมย้ง" และ "โกวเล้ง" ก็ถูกนำมาสร้างเป็นหนังมากมาย
แน่นอนว่าปัญหาหนึ่งของการนำเอานวนิยายเหล่านี้มาทำเป็นภาพยนตร์ก็เห็นจะเป็นเรื่องของการเล่าเรื่องยังไงให้จบ เนื่องจากเนื้อหาในตัวนวนิยายเองค่อนข้างจะมีขนาดยาว การจะดัดแปลงเอามาเล่าให้จบในช่วงเวลาสั้นๆ จึงไม่ใช่เรื่องง่าย แตกต่างไปจากละครโทรทัศน์ที่ค่อนข้างจะมีเวลาในการนำเสนอ
ทางออกทางหนึ่งของผู้สร้างหนังก็คือการดัดแปลงเนื้อหานวนิยายเสียใหม่ ซึ่งแน่นอนว่าย่อมเสี่ยงต่อการถูกแฟนนวนิยายวิพากษิวิจารณ์ เพราะแม้จะยังมีการดำเนินตามเรื่องของนิยาย แต่หากมีการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาไปมากก็อาจจะทำให้แฟนๆ นิยายหงุดหงิดใจ
หนึ่งวิธีที่คนทำหนังนำออกมาใช้ก็คือการแบ่งตัวหนังออกเป็นตอนๆ หรือเป็นภาคๆ ซึ่งเนื้อหาอาจจะดัดแปลงไปบ้างแต่ก็ สามารถเล่าเรื่องยาวแบบนิยายดีกว่าถ้าจะสร้างให้จบภาคในภาคเดียว
โดยหนึ่งในคนที่คิดเช่นนี้ก็คือทางด้านของ "หวังจริง" ที่เป็นคนสร้าง “ดาบมังกรหยก” ก็เลยอยากจะทำหนังออกมาเป็นหลายภาค เป็นสไตล์เดียวกับหนังฮ่องกงยุคโบราณ ตั้งแต่ยุค 60s จนมาถึงยุค 70s ของชอว์บราเดอร์ ที่โทรทัศน์ยังไม่แพร่หลายมาก
ภาคต่อหายไปไหน
ในปี 1993 "หวังจิง" ที่กำลังได้ชื่อว่าเป็นผู้กำกับมือขึ้นของฮ่องกงได้ตัดสินใจหยิบเอา “ดาบมังกรหยก” นิยายเรื่องที่สามจากไตรภาค “มังกรหยก” ของ "กิมย้ง" ซึ่งเล่าเหตุการณ์ห่างจากภาคสองเป็นร้อยๆ ปี พูดได้ว่าเนื้อหาไม่ได้ต่อกันโดยตรง แตกต่างจากเมื่อก่อนหนึ่งและสองที่เนื้อหาต่อเนื่องกันเลยมาสร้างเป็นหนัง
โดยในตอนนั้นเจ้าตัวมีความคิดที่จะสร้างให้หนังออกมาเป็นตำนานแบบหนังยุคชอว์บราเดอร์ขึ้นอีก พร้อมกับระดมดาราดังมามากมาย นำมาโดยดาราแอ๊คชั่นแห่งยุค "เจ็ท ลี" ที่มารับบทเป็น เตี้ยบ่อกี้
แน่นอนว่าเนื้อหามีการเปลี่ยนแปลงไปบ้างรวมถึงการเปลี่ยนแปลงบุคลิกตัวละครบางตัว แต่ก็เล่าเรื่องราวเป็นขั้นเป็นตอนแบบนิยาย ดาราในยุคนั้นก็ถือว่ามีเสน่ห์ดึงดูดกันพอสมควร "เจ็ท ลี" เองก็เคยเล่นหนังจากนิยายกิมย้งมาแล้วคือ "เดชคัมภีร์เทวดา" คราวนี้ก็ลองมาเป็น "เตี้ยบ่อกี้" ใน "ดาบมังกรหยก" ดูบ้าง
ส่วนนางเอกก็มีทั้ง จางเหมี่ยน ในบท เตียเมี่ยง หลีจือ เป็น จิวจี่เยียก ที่เวอร์ชั่นหนังนี้ “นางอิจฉา” ดีๆ นี่เอง และ ซิวซู่เจิน เด็กปั้นของผู้กำกับกับบทสาวใช้ เสี่ยวเจียว
หนังอาจจะไม่ได้เพอร์เฟ็กต์ อาจจะไม่ได้ดัดแปลงนิยายมาเป็นหนังได้แบบสมบูรณ์แบบ แต่ทำออกมาแล้วก็ดูสนุกดี มีทั้งความตลกแบบหนังฮ่องกงยุคนั้น ฉากแอ็คชันก็ถือว่าทำออกมาดีมากเพราะได้ผู้กำกับคิวบู๊ระดับปรมาจารย์อย่าง "หงจินเป่า" มาทั้งกำกับคิวบู๊และร่วมแสดงให้ในบท "จางซันฟง"
อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าก่อนที่หนัง "ดาบมังกรหยก" ตอน "ประมุขพรรคมาร" (The Kung Fu Cult Master) จะออกฉายนั้นแทยจะไม่มีข้อมูลอะไรออกมาเลย
คนที่ไปดูหนังเรื่องนี้หลายคนไปดูโดยไม่รู้ว่านี่คือหนังที่จะต้องมีภาคต่อกระทั่งมารู้ในตอนจบของหนังที่มีการทิ้งท้ายในตอนจบว่า "อย่าลืมรอดูภาคสองกันด้วย"
นั่นเองที่ทำเอาหลายคนเฝ้ารอ แต่รอแล้วรอเล่าภาคต่อก็ไม่มาสักที จะหาข้อมูลก็ไม่รู้จะไปหาตรงไหน ได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้นานหลายปีจนมีอินเตอร์เน็ตถึงรู้ว่า เหตุผลที่ทำให้ "ดาบมังกรหยก" ไม่มีภาคสองออกมาเสียทีก็ไม่ได้มีอะไรสลับซับซ้อนมากไปกว่าเหตุผลที่ว่าเป็นเพราะหนังไม่ค่อยได้เงิน
โดยหนัง "ดาบมังกรหยก" ได้เงินไปประมาณ 10 ล้านเหรียญฮ่องกงในยุคที่หนังทำเงินต้องได้สัก 30 ล้านนั่นเอง
ดาราสูงวัย
แต่ใครจะคิดว่าอีก 30 ปีต่อมา "หวังจิง" จะมาสานต่อผลงานของตัวเองกับการสร้าง “ดาบมังกรหยก” ภาคใหม่ ด้วยนักแสดงชุดใหม่ แต่ยังคงบรรยากาศความเป็นหนังฮ่องกงเอาไว้
อย่างไรก็ตาม หลังเปิดรายชื่อนักแสดงออกมาก็ทำเอาคนดูงงและสงสัยกันว่านี่จะเป็นการรีเมคหนังเรื่องเดิม หรือเป็นภาคต่อกันแน่(แต่กระนั้นตัวหนังที่ออกมาก็ถือว่าเล่าเรื่องต่อจากหนังภาคก่อนได้อยู่เหมือนกัน)
โดยหนัง ดาบมังกรหยก ฉบับนี้จะได้พระเอก 3 รุ่นมารับบทตัวละครสำคัญ 3 ตัว คือ หลินฟง จะเป็น เตียบ่อกี้, กู่เทียนเล่อ เป็น เตียชุ่ยซัว และ ดอนนี เยน จะเป็นปรมาจารย์ เตียซำฮง (จางซันฟง) แทนที่ หงจินเป่า ที่เคยแสดงเอาไว้ในหนังเรื่อง 20 กว่าปีก่อน ซึ่งคำวิจารณ์แรกที่หนังโดนมาตั้งแต่ประกาศรายชื่อนักแสดงแล้วก็คือเรื่องอายุของดารานำที่หลายคนรู้สึกว่า "แก่ไปมั้ย"
เฉพาะอย่างยิ่ง "หลินฟง" ในวัย 40 ดูจะสูงวัยเกินไปสำหรับการรับบทนี้ในสายตาของผู้ชมหลายๆ คน เพราะตัวละคร เตียบ่อกี้ น่าจะเป็นเด็กหนุ่มที่อย่างน้อยอายุก็น่าจะประมาณ 20 กว่าปีอะไรแบบนั้นมากกว่า
ขณะที "หวังจิง" เองก็อธิบายถึงเรื่องนี้ว่า ดาบมังกรหยก ของเขาจะเริ่มต้นขึ้นเมื่อตอนที่ เตียบ่อกี้ เป็นประมุขพรรคเม้งก้าแล้ว อายุก็จะอยู่ในวัยประมาณ 30 กว่าปี เพราะฉะนั้น หลินฟง ก็ถือว่าเหมาะสมกับบทบาทบาทแน่นอน
สาวๆ "พลาสติก" โปรดักชันตกยุค
ส่วนนักแสดงหญิงในเรื่องก็โดนไปไม่น้อยเช่นเดียวกัน กับข้อกล่าวหาว่าหนังเรื่องนี้เต็มไปด้วยดารา "หน้าพลาสติก" หลายคนดูเหมือน "เน็ตไอดอลเกรดรอง" มากกว่าจะดูมีออร่าเหมือนนางเอกซีรีส์จีนเรื่องอื่นๆ
โดยหนังได้ ชิวอี้หนง ที่เล่นเป็น จิวจี่เยียก, อวิ๋นเชียนเชียน เป็น เสี่ยวเจียว และ เหวินหย่งซาน เป็น เตี๋ยเมี่ยง ทั้งหมดไม่ได้เป็นนางเอกแถวหน้าของวงการซีรีส์ยุคนี้ โดย เหวินหย่งซาน นั้นเป็นนางแบบหน้าเก๋ชาวฮ่องกงที่มีผลงานในทางภาพยนตร์ซะส่วนใหญ่ แต่ถือว่าทั้งหมดคือเด็กปั้นของ หวังจิง นั่นเอง
นอกจากเรื่องอายุของนักแสดงแล้ว หนังก็ยังถูกวิจารณ์ว่าดูเชย ทั้งเรื่องเครื่องเเต่งกายและการออกแบบต่างๆ ดูเหมือนหลุดออกมาจากยุค 80 – 90 อย่างไรอย่างนั้น
โดยสื่อจีนบางสำนักนึงยังค่อนแคะหนังเรื่องนี้โดยการบอกว่านี่คือมาตรฐานของหนังฮ่องกงในยุคนี้ที่แทบไม่ต้องมาเทียบกับหนังจีนแผ่นดินใหญ่อีกแล้ว หรือแม้แต่จะเอามาเทียบกับซีรีส์จีนแผ่นดินใหญ่ก็ยังเทียบไม่ได้ด้วยซ้ำ
ผู้สร้างเหมือนรู้ตัว
สุดท้ายเหมือนผู้สร้างจะรู้ตัวเพราะมีการตัดสินใจที่จะถอนเรื่องนี้จากการฉายในโรงภาพยนตร์ ไปเน้นขายในรูปแบบออนไลน์ราคาถูกแทน
การตัดสินใจดังกล่าวเหมือนว่าจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องทีเดียว เพราะหนังก็ทำเงินไปได้ไม่น้อย เนื่องจากขายกันในราคาที่ไม่สูงนัก แต่คำวิจารณ์ก็ออกมาแย่สุดๆ ตามคาด หลายคนยกให้เป็นหนังยอดแย่
ยังมีบางคนบอกด้วยว่าเอาเข้าจริงๆ เมื่อเทียบกับฉบับปี 1993 ซึ่งแม้หนังจะไม่มีอะไร ต้นฉบับก็ไม่สนุกมากมายอะไร แต่หนังก็ยังออกมาดูสนุก มีแอ็กชันน่าสนใจ และมีอะไรตลกๆ ให้ได้หัวเราะกัน ส่วนเวอร์ชั่น 2022 นี้กลับแย่เสียจนถ้า "กิมย้ง" เจ้าของบทประพันธ์ยังอยู่ก็ไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะมีปฏิกิริยาอย่างไรเหมือนกัน