ไม่น่าเชื่อว่าถึงวันนี้ คอหนังทั่วโลกจดจ่อรอคอยการกลับมาของภาพยนตร์อเมริกันแนวมหากาพย์บันเทิงคดีวิทยาศาสตร์ฟอร์มยักษ์อย่าง "Avatar ภาค 2" มานานกว่า 1 ทศวรรษเต็มๆ
หลังจากกวาดความสำเร็จในภาคแรก อย่างล้นหลาม จากการฉายในปี 2009 สามารถโกยรายได้ทั่วโลกไปได้ถึง 2,845 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 93,000 ล้านบาท ครองสถิติภาพยนตร์ที่ทำรายได้ทั่วโลกสูงสุดตลอดกาลมาจนถึงทุกวันนี้ และหมายรวมถึงการมีชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์มากถึง 9 สาขา และคว้ามาได้ 3 สาขา คือ กำกับภาพยอดเยี่ยม, วิชวลเอฟเฟกต์ยอดเยี่ยม และกำกับศิลป์ยอดเยี่ยม
ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว ตามแผนเดิม Avatar จะต้องเข้าฉายอีก 4 ภาค ทุกๆ 2 ปี นับตั้งแต่ปี 2021 – 2027
แต่ก็ด้วยเหตุแห่งการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด – 19 ที่วิกฤตไปทั่วโลก และส่งผลกระทบถึงโปรเจ็กต์การถ่ายทำภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์มีเหตุให้ต้องชะงักไปตามๆ กัน
ไม่เว้นแม้แต่ Avatar ที่ดำเนินการถ่ายทำไปพร้อมกันหลายภาค ด้วยทุนสร้างกว่า 1 พันล้านเหรียญ ก็โดนผลกระทบดังกล่าวเข้าอย่างจัง
แต่มาถึงวันนี้ดูเหมือนการรอคอยอันแสนยาวนานจะสิ้นสุดลงแล้ว
ทั้งนี้จากการเปิดเผยของ “สตีฟ แอสเบลล์” (Steve Asbell) ประธานของ 20th Century Studios ที่ให้ข้อมูลแก่เว็บไซต์ The Hollywood Reporter เกี่ยวกับโปรเจ็กต์ต่างๆ ของบริษัท ยืนยันว่าโปรเจ็กต์ Avatar ภาค 2 The Way of Water
และ 3 The Seed Bearer ที่ถูกเลื่อนกำหนดการเข้าฉายมาหลายครั้งหลายครา มีกำหนดเข้าฉายอย่างแน่นอนแล้วในวันที่ 16 ธันวาคม 2022 และ 20 ธันวาคม 2024 ตามลำดับ
ขณะที่ ภาค 4 The Tulkun Rider และ ภาค 5 The Quest for Eywa ก็น่าจะเข้าฉายถัดออกไปภาคละ 2 ปี ตามแผนการเดิมที่วางไว้ตั้งแต่แรก
เหตุผลที่ภาคต่อของ Avatar ต้องใช้เวลานานกว่า 1 ทศวรรษนั้น ก็เนื่องมาจากผู้กำกับ อย่าง “เจมส์ คาเมรอน” ที่ตั้งใจจะพัฒนาโปรเจ็กต์ให้มีความสมบูรณ์พร้อมที่สุด โดยเฉพาะในภาคของเทคโนโลยี ที่จะต้องสามารถโชว์ในเรื่องของเทคนิคต่างๆ ที่ตอบสนองการสร้างสรรค์จินตนาการอันไร้ขอบเขต เพื่อเป็นการยกระดับ และเปิดประสบการณ์การรับชมขึ้นไปอีก
โดยทางผู้กำกับ ได้เคยให้สัมภาษณ์ไว้ตั้งแต่ในปี 2010 หรือถัดจากที่ภาคแรกเข้าฉายไปเพียงหนึ่งปี ว่า
“สิ่งที่ผมโฟกัสในภาคต่อคือการสร้างสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปจากภาคแรก รกรากที่ต่างกันออกไปบนดาวแพนโดร่า. ผมอยากโฟกัสไปยังมหาสมุทรของแพนโดร่า ซึ่งมันน่าจะเป็นจินตนาการที่บ้ามากๆจ ะเป็นสถานที่ที่อุดมไปด้วยความหลากหลาย. ผมจะไม่พูดว่าเราจะไม่ได้เห็นสิ่งที่เราเคยเห็นมาแล้ว แต่ผมจะบอกว่า เราจะได้เห็นอะไรที่เปิดโลกมากขึ้น”
อย่างไรก็ตาม การที่ Avatar ภาค 2 ใช้ชื่อ (อย่างยังไม่เป็นทางการ) ว่า The Way of Water นั้น ก็ดูเหมือนจะสอดคล้องกับเทคนิคการถ่ายทำด้วยเทคโนโลยีบันทึกภาพเคลื่อนไหวใต้น้ำ อันเป็นเป้าหมายหลักที่ เจมส์ ตั้งใจอย่างยิ่งยวดที่จะนำเสนอในภาคนี้
ขณะที่อีกหนึ่งภาพยนตร์ที่ทุกคนรอคอยยาวนานเกือบ 3 ทศวรรษ ก็คือ “The Crow” ฉบับรีเมก ซึ่งทาง “เอ็ดเวิร์ด เพรสส์แมน” (Ed Pressman) ผู้อำนวยการสร้างเวอร์ชันต้นฉบับเมื่อปี 1994 รวมถึงยังเป็นผู้ครอบครองสิทธิ์ของ “The Crow” เตรียมจะเปิดเผยถึงรายชื่อของผู้กำกับ และนักแสดงนำเร็วๆ นี้
“The Crow” หรือในชื่อไทยว่า “อีกาพญายม” เวอร์ชันต้นฉบับ เป็นผลงานการกำกับของ “อเลกซ์ โพรแยส” (Alex Proyas) ที่ต้องถือว่าหนึ่งในตำนานของภาพยนตร์ที่เป็นที่จดจำไม่รู้ลืมของคอหนัง โดยเฉพาะในเรื่องของโศกนาฏกรรม ที่เกิดขึ้นกับ “แบรนดอน ลี” (Brandon Lee) ลูกชายของ “บรูซ ลี” (Bruce Lee) ที่เสียชีวิตอุบัติเหตุปืนลั่นกลางกองถ่ายขณะถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้
อย่างไรก็ตาม ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา มีการสร้างภาคต่อของภาพยนตร์ “The Crow” ตามมาอีกหลายภาค ทว่าก็ไม่ประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของรายได้ หรือการได้รับกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในเชิงลบ
ขณะเดียวกัน ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีการพยายามที่จะพัฒยาโปรเจ็กต์ “The Crow” ฉบับรีเมกขึ้นมาหลายครั้งหลายคราว โดยมีผู้กำกับ และนักแสดงหลายคน ที่เคยถูกทาบทามให้มาร่วมในโปรเจ็กต์ดังกล่าว อาทิเช่นสตูดิโอ Relativity Media ที่มอบหมายหน้าที่ผู้กำกับให้ “ฟรานซิสโก ฆาเวียร์ กูเตียร์เรซ” (Francisco Javier Gutiérrez) จาก “28 Weeks Later” พร้อมทั้งมีการเจรจาติดต่อนักแสดง อย่าง “แบรดลีย์ คูเปอร์” (Bradley Cooper) และ “มาร์ก วาห์ลเบิร์ก” (Mark Wahlberg) มารับบทนำ แต่สุดท้ายโปรเจ็กต์ก็ถูกพับไป แม้กระทั่ง “เจสัน โมโมอา”(Jason Momoa) ที่มีการต้องการจะรีเมกภาพยนตร์เรื่องนี้ แต่ท้ายที่สุดก็มีเหตุให้ต้องถอนตัวออกไปในปี 2018
ก็ได้แต่หวังว่า ครั้งนี้ อีกาพญายม คงมีโอกาสได้กลับมาโลดแล่นในจอภายนตร์สมกับที่คอหนังตั้งตารอคอยจริงๆ เสียที
ผู้จัดการ 360 องศาสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ /12-18 มีนาคม 2565