ถ้าจะถามหาประเทศที่ภูมิใจในวัฒนธรรมของตนเองแล้วเชื่อได้เลยว่าประเทศอย่างญี่ปุ่นเองจะต้องติดอันดับเข้ามาเป็นต้นๆ โดยในหลายวัฒนธรรมนั้นก็ยังรวมไปถึงเรื่องของความบันเทิงอย่างภาพยนตร์ด้วย
เป็นที่รู้กันดีว่าญี่ปุ่นค่อนข้างจะให้ความสำคัญและส่งเสริมภาพยนตร์ "ภายใน" ของตัวเองเป็นหลัก นอกจากสนับสนุนในเรื่องของการสร้างแล้ว ก็คือการเปิดโอกาสให้ภาพยนตร์ของตนเองของตนเองได้ฉายก่อนหนังต่างประเทศ เพราะฉะนั้นโรงหนังที่ญี่ปุ่นเองจึงมีการจัดห้วงเวลาที่เหมาะสมในการฉาย จนทำให้บางครั้งหนังดังบางเรื่องของฮอลลีวูดจะเข้าฉายที่นั่นแทบจะช้ากว่าทุกประเทศทั่วโลกเลยก็ว่าได้
ขณะที่คนดูหนังเองก็ดูจะสนับสนุนผลงานของตนเองมากกว่า จนบางครั้งก็ทำเอาผู้สร้างหนังของฮออลลีวูดหลายเรื่องจึงไม่อยากจะไปเข้าไปฉายชนหนังฟอร์มใหญ่ของญี่ปุ่นกันเลยทีเดียว
แต่ถึงแบบนั้น ด้วยความเป็นตลาดใหญ่ ตลาดหนังญี่ปุ่นก็ยังสำคัญมากอยู่ดี หนึ่งในวิธีการที่ฮอลลีวูดมักใช้ในการเจาะตลาดหนังญี่ปุ่นก็คือการดึงเอาวัฒนธรรมญี่ปุ่นมาใส่ในหนังของตัวเองมันเสียเลย
แน่นอนว่าส่วนใหญ่มักจะออกมาล้มเหลว ไม่ค่อยได้เรื่องได้ราว บางเรื่องนำเสนอวัฒนธรรมญี่ปุ่นได้ออกมาอย่างน่าตลก หลายๆ เรื่องก็สร้างเสียงหัวเราะอย่างไม่ตั้งใจให้กับคนญี่ปุ่น โดยเฉพาะการเอาคนต่างชาติมาแสดงเป็นคนญี่ปุ่นนั่นเอง
ปัจจุบันมีหนังฮอลลีวูดหลายเรื่องที่ดัดแปลงมาจากการ์ตูนญี่ปุ่น, เล่าเรื่องอ้างอิงวัฒนธรรมญี่ปุ่น หรือกระทั่งเดินทางไปถ่ายทำที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งหลายเรื่องก็ทำออกมาดีแต่ก็มีหนังฟอร์มใหญ่จะนวนไม่น้อยที่นำเสนอความเป็นญี่ปุ่นออกมาได้อย่างอิหลักอิเหลื่อจนสร้างความรำคาญใจให้กับชาวญี่ปุ่นอยู่พอสมควร
หนังเรื่องแรกที่คนญี่ปุ่นรับไม่ค่อยจะได้ก็คือ Hachiko: A Dog’s Tale ภาพยนตร์ที่ดัดแปลงมาจากเรื่องราวเจ้าหมาซื่อสัตย์ที่จะไปคอยเจ้านายของมันที่สถานีรถไฟทุกๆ วัน แม้กระทั่งเจ้านายของมันเสียชีวิตไปแล้วแต่มันก็ยังคงไปทำหน้าที่ดังกล่าวจนมันเสียชีวิตตามไปในเวลาต่อมา
หนังได้ "ริชาร์ด เกียร์" มาเป็นตัวนำร่วมด้วยนักแสดงญี่ปุ่นอย่าง "แครี่ ฮิโรยูกิ ทากาวะ"
แม้จะทำออกมาดีสร้างความประทับใจและเป็นหนังที่เกี่ยวกับสัตว์ซึ่งไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่กลายเป็นว่าคนญี่ปุ่นเองกลับไม่ชอบเสียอย่างนั้น ด้วยเหตุผลที่ว่าหนังเองมีการเปลี่ยนตัวละครเป็นฝรั่งทั้งหมด จึงไม่น่าแปลกใจที่คนญี่ปุ่นแทบจะทั้งประเทศที่รู้จักเรื่องราวความจงรักภักดีของเจ้าหมาตัวนี้ดูจะไม่อินกับหนังสักเท่าไหร่
หนังเรื่องต่อมาที่คนญี่ปุ่นรู้สึกตะขิตตะขวงใจที่จะดูก็คือ Breakfast at Tiffany’s หนึ่งในหนังโรแมนติกสุดคลาสสิคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลของฮอลลีวูด
โดยนอกจากเนื้อหาภาพยนตร์ที่โดดเด่นแล้ว หนังเรื่องนี้ยังมีรอยด่างที่โด่งดังและเป็นที่พูดถึงและนับวันผู้ชมก็ดูจะรับฉากอันด่างพร้อยนี่ไม่ได้มากขึ้นเลยกับการที่หนังเลือกดาราฝรั่งอย่าง "มิกกี้ รูนี" มาแสดงเป็นคนญี่ปุ่นแถมเจ้าตัวยังแสดงออกมาดูเหยียดเชื้อชาติแบบสุดๆ
จะว่าไปแล้วไม่ใช่คนญี่ปุ่นเท่านั้น คนชาติตะวันตกหลายคนก็ยังอยากจะให้ตัดฉากเหล่านี้ออกไปทั้งหมดหนังคลาสสิกเรื่องนี้จะได้ไม่ด่างพร้อยอีกต่อไป
ขณะที่ตัวผู้กำกับ "เบลค เอ็ดเวิร์ด" และผู้เกี่ยวข้องกับหนังทั้งหมดก็ยังยอมรับว่าการใส่ฉากและตัวละครนี้เข้าไปเป็นความผิดพลาดที่ไม่น่าให้อภัยเอาเสียเลย
ความประสบความสำเร็จของสายลับ 007 ส่งผลให้ "เจมส์ บอนด์" เองไปกรากฏตัวในประเทศต่างๆ แน่นอนว่าบางครั้งการนำเสนอเรื่องราวและภาพในประเทศต่างๆ นั้นก็มีความเจือปนการล้อเลียนหรือไม่ให้เกียรติประเทศเหล่านั้นแต่อย่างใดอยู่บ้าง
โดยเฉพาะเรื่องของการเหยียดเพศที่มีอยู่ในหลายๆ ตอน หนึ่งในนั้นก็คือ You Only Live Twice ที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับญี่ปุ่นก็มีฉากสาวญี่ปุ่น แน่นอนว่าไม่ได้นำเสนอออกมาในแง่บวก
You Only Live Twice เป็นหนังที่ฉายไปเมื่อตั้งแต่ ครึ่งศตวรรษที่แล้ว เนื้อหาบางอย่างที่อาจจะดูไม่มีปัญหาอะไรในตอนนั้น แต่พอกลับมากลายเป็นปัญหาในตอนนี้ ทั้งการนำเสนอภาพผู้หญิงชาวญี่ปุ่นออกมาเป็นเพียงวัตถุทางเพศ การนำเสนอวัฒนธรรมญี่ปุ่นแบบเหมารวมก็ทำให้หนังถูกวิจารณ์ไม่น้อย
รวมถึงการที่หนังมีฉากที่ เจมส์ บอนด์ ที่รับบท โดย "ฌอน คอนเนอรี" ต้องปลอมตัวเป็นชายชาวญี่ปุ่น มาดูตอนนี้ก็ช่วยไม่ได้ที่จะต้องรู้สึก "ขนลุก" กับความไม่เหมาะสมและความผิดที่ผิดทางของฉากนี้
อันที่จริงหนัง เจมส์ บอนด์ ส่วนใหญ่มักจะมีอะไรที่ค่อนข้าง "ตกยุค" เป็นปกติอยู่แล้ว แต่ดูเหมือนว่า You Only Live Twice จะยิ่งหนักข้อกว่าหนังภาคอื่นไปมากเลยทีเดียว
The Last Samurai เป็นหนังแอ็กชันย้อนยุคอิงประวัติศาสตร์ ที่ประสบความสำเร็จอยู่พอสมควรในตอนที่ออกฉาย หนังเล่าเรื่องชายชาวต่างชาติที่มีส่วนเข้ามาสู้รบในสงครามความขัดแย้งระหว่างคนญี่ปุ่นเอง โดยมีพระเอกคนดังอย่าง "ทอม ครูซ" มารับบทดังกล่าว
ร่วมด้วยนักแสดงญี่ปุ่นชื่อดังทั้ง เคน วาตานาเบะ, ฮิโรยูกิ ซานาดะ, โคยูกิ ฯลฯ
ในตอนที่หนังเรื่องนี้ฉายก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ปัจจุบันคนญี่ปุ่นหลายคนเริ่มจะอึดอัดกับหนังเรื่องนี้แล้ว
ทั้งการนำเสนอผู้ชายผู้หญิงญี่ปุ่นในยุคนั้น คนญี่ปุ่นในรุ่นปัจจุบันรู้สึกว่าไม่ค่อยสมจริง แต่ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดก็น่าจะเป็นเรื่องราวที่หนัง ทำราวกับว่าคนต่างชาติผิวขาวเป็นผู้มีส่วนสำคัญในสงครามอันยิ่งใหญ่ของญี่ปุ่นที่เป็นการปิดฉากซามูไร แม้หนังจะพยายามทำออกมาให้เป็นงานอิงประวัติศาสตร์แต่คนญี่ปุ่นหลายคนก็รู้สึกแปลกๆ กับหนังเรื่องนี้อยู่ดี
โดยเฉพาะกับการเขียนบทให้ "คนผิวขาว" กลายมาเป็น "ผู้กอบกู้" จิตวิญญาณของญี่ปุ่นนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม หนังที่ว่าทำให้คนญี่ปุ่นเบือนหน้าหนีที่สุดก็คงจะเป็นเรื่องไหนไปไม่ได้นอกจาก Memoirs of a Geisha หนังอิงประวัติศาสตร์เล่าเรื่องเกี่ยวกับชีวิตของกลุ่มหญิงสาวชาวญี่ปุ่นที่เรียกว่าเกอิชา
เรื่องนี้เป็นที่ฮือฮามากตั้งแต่ที่มีการประกาศสร้าง เพราะเป็นเรื่องราวชาวญี่ปุ่นโดยเฉพาะ หลายคนจับตาดูว่าดาราญี่ปุ่นคนไหนจะมารับบทสำคัญๆ ในเรื่อง แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นว่าผู้สร้างหนังกลับไปเลือกดาราที่เป็นชาวต่างชาติมารับบทสำคัญที่ว่าซะอย่างนั้น
ไม่เพียงเท่านั้นบรรดาดาราต่างชาติที่มารับบทตัวละครที่สำคัญๆ ทั้ง จาง จื่ออี๋, กง ลี่, มิเชล โหย่ว แม้จะเป็นดาราเชื้อสายเอเชียที่มีชื่อเสียงในระดับโลก แต่ทั้งหมดก็ล้วนแล้วแต่เป็นดาราเชื้อสายจีนที่มีประวัติศาสตร์เป็นชาติศัตรูอันดับต้นๆ ของประเทศญี่ปุ่นนั่นเอง
ฉะนั้นจึงไม่น่าแปลกใจแต่อย่างใดที่ชาวอาทิตย์อุทัย หลายคนจะทนดูหนังเรื่องนี้ไม่ค่อยได้
