ข่าวคราวต่างๆ จากวงการหนังเกาหลี มักจะเป็นเรื่องของความสำเร็จ เป็นเรื่องของรายได้ และการทำลายสถิติ ซึ่งแสดงออกให้เห็นถึงความแม่นยำของคนทำหนังจากเกาหลี ที่มักจะประสบความสำเร็จในการทำหนัง ประเภทบล็อกบาสเตอร์ จนสามารถต่อสู้กับหนังจากต่างประเทศและครองใจคนดูหนังในเกาหลีเองมานาน
อย่างไรก็ตาม แต่กว่าจะมาถึงวันนี้ที่ได้รับการยอมรับจากคนส่วนใหญ่ คนทำหนังเกาหลีเองก็ต้องผ่านช่วงเวลาที่ล้มลุกคลุกคลานมาไใน้อย ที่สำคัญไม่ต่างอะไรไปจากประเทศอื่นๆ เพราะในความสำเร็จที่เกิดขึ้นนั้นวงการหนังเกาหลีก็มีผลงานที่ล้มเหลวชนิดที่ไม่เป็นท่าไม่น้อยเหมือนกัน
The Huntresses ภาพยนตร์เรื่องนี้คือหนังแอ๊คชันย้อนยุคฟอร์มใหญ่ที่เป็นที่จับตาอย่างมากเมื่อหนังถูกโปรโมตทำนองที่ว่าเป็นเหมือนนางฟ้าชาร์ลีฉบับ โชซอน ที่มีการรรวบรวมดาราสาวชื่อดังเอาไว้ถึงสามคน
ก่อนฉายหนังถูกคาดการณ์ว่าจะทำรายได้ถล่มทลายแต่สุดท้ายก็พลาดเป้าไปแบบไม่ใกล้เคียง เมื่อ The Huntresses ทำรายได้น้อยกว่าที่คาดมาก กลายเป็นงานที่ล้มเหลวเรื่องหนึ่งของวงการหนังเกาหลีไปโดยปริยาย
สำหรับ Resurrection of the Little Match Girl เรื่องนี้อาจจะเรียกได้ว่าเป็นหนังเจ๊งเรื่องแรกๆ ในยุคทองของหนังเกาหลีเฃยก็ว่าได้
Resurrection of the Little Match Girl เป็นหนังไซไฟไอเดียกระฉูดที่ผู้สร้างมีการหยิบเอานิทานเด็กสาวขายกล่องไม้ขีดไฟมาทำเป็นหนังไซไฟ ลงทุนระดับหมื่นล้านวอน ว่ากันว่าหนังต้อง ขายตั๋วให้ได้สี่ล้านใบถึงจะคืนทุน แต่สุดท้ายหนังกลับขายตั๋วได้แค่เจ็ดหมื่นใบ เข้าขั้นเจ๊งยับเยิน
อันที่จริง "จางซุนวู" ผู้กำกับ Resurrection of the Little Match Girl นั้นได้ชื่อว่าเป็นผู้กำกับที่มีผลงานภาพยนตร์มาตั้งแต่ยุค 80s และกลายเป็นผู้กำกับที่โดดเด่นในช่วงเริ่มต้นของ “ยุคทอง” หนังเกาหลีในช่วงปลายยุค 90s แต่หลังความล้มเหลวของผลงานชินนี้ ทำให้เขาที่ถือว่าเป็นผู้กำกับที่กำลังมาแรงในยุคนั้น ไม่ได้มีผลงานอีกเลยมาจนถึงปัจจุบันรวมยี่สิบปีแล้ว
หนังเรื่องต่อมาที่เข้าข่าย เป็นหนังฟอร์มใหญ่เจ๊งดังของเกาหลี ก็คือหนังไซไฟสัตว์ประหลาดที่ใช้ชื่อว่า Sector 7 โดยหนังได้ทั้งดาราดัง แถมเต็มไปด้วยเทคนิคพิเศษที่ถูกโฆษณาเป็นหนึ่งในจุดขาย ขณะที่เม็ดเงินลงทุนก็ใกล้ระดับเกินหมื่นล้านวอนเช่นเดียวกัน
นอกจากนี้ Sector 7 ยังเป็นหนังที่ผู้สร้างลงทุนในทุกด้าน หนังประกอบไปด้วยคัตถึง 1,800 คัต โดยมีถึง1,748 คัตที่ต้องทำเทคนิคพิเศษทางคอมพิวเตอร์
แต่สุดท้ายดูเหมือนว่าจะไม่สามารถดึงดูดผู้ชมให้มาชมหนังได้พอ โดยหนังขายตั๋วได้แค่สองล้านใบ หรือคิดเป็นแค่ครึ่งเดียวของเป้าหมายที่จะคืนทุนเท่านั้น
หนังฟอร์มใหญ่ผลงานของดาราดังอย่าง คิมซูฮยอน ที่ชื่อว่า Real เป็นผลงานที่เขามีส่วนร่วมอำนวยการสร้างเอง และเป็นหนังสั่งลาก่อนที่ คิมซูฮยอน จะเข้ากรม
ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นหนังเป็นแนวอาชญากรรม เน้นการหักเหลี่ยมเฉือนคม และเต็มไปด้วยโปรดักชันสุดตระการตา จนทำให้โครงสร้างบานปลาย และต้องขายตัวให้ระดับสามล้านใบถึงจะคืนทุน
แต่สุดท้ายเมื่อเขาใช้จริง หนังกลับได้รับเสียงวิจารณ์ที่ไม่ค่อยดี และขายตั๋วไปได้แค่ประมาณ 4 แสนกว่าใบเท่านั้น กลายเป็นงานที่ล้มเหลวเป็นรอยด่างในอาชีพของพระเอกคนดังไปโดยปริยาย
ไม่เพียงเท่านั้น Real ยังเจอปัญหา “คลิปหลุด” เมื่อฉากบางตอนของหนังถูกถ่ายจากโรงภาพยนตร์ และนำไปปล่อยในโลกออนไลน์ เป็นฉากแนว 18+ ของ คิมซูฮยอน และอดีตไอดอลสาวผู้ล่วงลับ ซอลลี ที่ว่ากันว่าสร้างความเครียดให้กับฝ่ายหญิงเป็นอย่างยิ่ง
น่าสังเกตว่าเมื่อใดที่วงการหนังเกาหลีจับงานแนวไซไฟ หรือหนังสัตว์ประหลาด ส่วนใหญ่โอกาสเจ๊งจะมากกว่าโอกาสรุ่ง
อย่างหนังสัตว์ประหลาดทุนสูงเรื่อง Monstrum ที่ขายดีในตลาดต่างประเทศพอสมควร กระทั่งถูกซื้อไปออกแผ่นและฉายโรงในหลายๆ ประเทศ แต่ในเกาหลีเองปรากฏว่าหนังเรื่องนี้กับเจ๊งยับเยิน เมื่อหนังต้องขายตั๋วให้ได้สามล้านใบถึงจะคืนทุน แต่พอได้ฉายจริงกลับขายตั๋วได้เพียงแค่เจ็ดแสนใบเท่านั้น
Monstrum เข้าฉายในเกาหลีด้วยกระแสวิจารณ์ที่ทั้งคำติ และคำชมรวม ๆ กัน ว่าหนังเต็มไปด้วยอะไรที่คาดเดาได้ แต่ก็ออกแบบตัวละคร “สัตว์ประหลาด” ได้น่าสนใจดี
อันที่จริงหนังเข้าฉายด้วยการทำเงินเป็นอันดับ 1 ในวันแรก เอาชนะหนังฮอลลีวูดได้หลายๆ เรื่อง ทว่าสุดท้ายรายได้ก็ตกลงมาเรื่อยๆ หลังกระแสคำวิจารณ์เริ่มจะไม่ค่อยสวย ชาวเกาหลีในตอนนั้นเลยหันไปดูหนังฮอลลีวูด Searching ที่นำแสดงโดยดาราเชื้อสายเกาหลี จอน โช ที่เข้าฉายพร้อมกันแทน
ตอนที่ปล่อยตัวอย่างหนังออกมา ภาพยนตร์เรื่อง Psychokinesis ได้สร้างความฮือฮาได้พอสมควร กับเรื่องราวของผู้มีพลังจิตแถมเป็นผลงานของผู้กำกับคนเดียวกับที่ทำ Train To Busan
แต่พอฉายจริงหนังกลับเงียบสนิท ขายตั๋วไปไม่ถึงหนึ่งล้านใบ ทั้ง ๆ ที่ถ้าจะคืนทุนก็ต้องขายตั๋วกันให้ได้ระดับสี่ล้านใบเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม อย่างน้อย Psychokinesis หนังไซไฟเรื่องนี้ที่ล้มเหลวในเรื่องรายได้ในบ้านตัวเองก็ไม่ต้องลุ้นเรื่องรายได้นอกประเทศอะไรมากนัก เพราะหนังได้ขายลิขสิทธิ์การจัดจำหน่ายนอกเกาหลีไปให้กับ Netflix ตั้งแต่ก่อนเข้าโรงฉายแล้วนั่นเอง
เห็นได้ชัดว่าชื่อของผู้กำกับไม่ได้จะเป็นสิ่งที่การันตีรายได้แต่อย่างใด ยืนยันได้จากหนังอีกเรื่องอย่าง Illang: The Wolf Brigade
หนังเรื่องนี้ดัดแปลงมาจากการ์ตูนญี่ปุ่นเป็นผลงานของผู้กำกับที่ดังที่สุดคนหนึ่งในเกาหลี คิมจีนฮุน และเป็นงานทุนยักษ์ ที่ใช้ทุนสร้างระดับเกินสองพันล้านวอน ถ้าจะคืนทุนก็ต้องขายตั๋วได้ระดับหกล้านใบกันเลยทีเดียว
แต่สุดท้ายเมื่อใช้จริงหนังกลับขายตัวมีผู้ชมเพียงแค่ 8 แสนใบเท่านั้น ห่างจากเป้าหมายไปไกล กลายเป็นการขาดทุนครั้งใหญ่
โดย Illang: The Wolf Brigade อ้างอิงเนื้อหามาจากการ์ตูนญี่ปุ่น Jin-Roh: The Wolf Brigade ที่เปลี่ยนเนื้อหาจากเรื่องราวใน “โลกคู่ขนาน” ที่ญี่ปุ่น และเยอรมันชนะสงครามโลก มาเป็นโลกอนาคตที่ จีน, ญี่ปุ่น และอเมริกา กำลังจับตามองสถานการณ์ในคาบสมุทรเกาหลี เมื่อมีโอกาสที่เกาหลีเหนือ และเกาหลีใต้จะตัดสินใจรวมเป็นประเทศเดียวกัน ถือว่าเป็นเนื้อหาที่น่าสนใจดีแต่อาจจะตึงเคลียดเกินกว่าที่ชาวเกาหลีจะอยากดู
แต่ที่เจ๊งระดับมโหฬารที่สุด ก็คือหนังที่เข้าฉายเมื่อสามปีก่อนที่ชื่อว่า Race to Freedom Um Bok Dong ผลงานของดาราซูเปอร์สตาร์อย่าง เรน ที่เล่าเรื่องของนักปั่นจักรยานระดับตำนานของเกาหลีใต้ พร้อมกับพูดถึงการต่อสู้ของชาวเกาหลีกับจักรวรรดินิยมของประเทศญี่ปุ่น
โดยหนังเรื่องนี้ใช้ทุนสร้างสูงถึงหนึ่งหมื่นห้าพันล้านวอน ต้องขายตัวให้ระดับสี่ล้านใบ แต่ผลที่ออกมากลับเลวร้ายอย่างรุนแรง เพราะเอาเข้าจริงๆ Race to Freedom Um Bok Dong กลับขายตั๋วไปได้ทั้งหมดแค่แสนใบเท่านั้น กลายเป็นความล้มเหลวครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์วงการภาพยนตร์เกาหลีเลยก็ว่าได้
