xs
xsm
sm
md
lg

(ชมคลิป) คุณแม่เปลี๊ยนไป๋! ไม่โกรธ “กระติก” ให้อภัย “ฮิปโป - แอนนา” โต้หน้าเงิน - แม่ปลอม - ฉกแบรนด์เนมลูก โอดทัวร์ลงเพราะถูก “กรรชัย” ถามจี้

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“แม่แตงโม” เปิดใจหมดเปลือก โบ้ยถูก “หนุ่ม กรรชัย” ถามจี้เรื่องเงิน กรมธรรม์จนมีอารมณ์ ยันเรียกค่าเยียวยา 30 ล้านแค่เรื่องสมมติ แต่หนุ่มไม่บอกว่าสมมติจนคนเข้าใจผิดโดนทัวร์ลง แต่ไม่โกรธอีกฝ่าย จี้ตามหน้าที่ เฉยๆ ถูกด่าหน้าเงิน ที่ผ่านมาแจกเงินคน ทำทานเยอะ ฝึกจิตไม่อ่านคนด่า ยินดีรับผิดชอบหนี้แทนแตงโม ให้อภัย “ฮิปโป” แล้ว 100 เปอร์เซ็นต์ ส่วน “แอนนา” น่ารัก ไม่โกรธ “กระติก” รับหนาวเหมือนกัน ถ้า “อั้ม-เอ” ถอนตัว โวย “แพท ณปภา” เอาข่าวมาจากไหนเข้าบ้านแตงโมหยิบของแบรนด์เนม โต้ข่าวเป็นแม่ปลอม ยันคลอดออกมาเอง ร้องไห้ทุกวัน แตงโมมาหาและปลุกทุกเช้า



รถทัวร์เปลี่ยนท่ามาจอดที่ “แม่ภนิดา ศิระยุทธโยธิน”คุณแม่ของนางเอกสาวผู้ล่วงลับ “แตงโม นิดา พัชรวีระพงษ์” หลังไปออกรายการโหนกระแส ระบุว่าให้อภัย “ปอ ตนุภัทร เลิศทวีวิทย์” และ “โรเบิร์ต ไพบูลย์ ตรีกาญจนานันท์” 100 เปอร์เซ็นต์ รวมทั้งเผยถึงข้อเสนอเกี่ยวกับเงินปลงศพลูกสาว ที่ฝ่ายปอเปิดโอกาสให้แม่เรียกค่าเยียวยา โดยคุณแม่คิดแล้วว่าเบื้องต้นน่าจะ 30 ล้านบาท รวมไปถึงเรื่องที่มีปัญหากับ “แอนนา-ฮิปโป” เพื่อนสนิทแตงโม ถึงขั้นตำหนิขอให้หยุดวุ่นวายเรื่องสถานที่จัดพิธีไว้อาลัยแตงโม และกรณีเป็นผู้จัดการมรดก ต้องมีสิทธิ์จัดการกรมธรรม์ที่ลูกสาวทำให้ไว้ “น้องอีสเตอร์” ลูกสาว “กระติก” ซึ่งเป็นลูกบุญธรรมจำนวน 1 ล้านบาทด้วย ภายหลังโดนทัวร์ลง ด่ากันทั้งประเทศ ล่าสุดวันนี้ (5 มี.ค.) แม่ภนิดา ได้ออกมาเปิดใจอย่างละเอียดทุกข้อสงสัยของชาวเน็ตที่ถาโถมเข้ามามากมายอีกครั้ง

“คือตอนที่คุณแม่อธิบายคุณแม่ใช้คำว่า สมมติว่า ตรงนี้ไม่ควรหล่นไปจากโซเชียลเลย แต่มันไม่มี คุณแม่พูดกับพี่หนุ่ม (กรรชัย กำเนิดพลอย) สมมติว่าน้องโมมีรายได้ต่อปี สมมติละครปีละ 2 เรื่อง เรื่องละ 8 แสน - 1 ล้านบาท ก็เป็นเงินเท่าไหร่ ตีซะปีละ 2 ล้าน ก็คูณไป ถ้าน้องโมมีชีวิตอยู่อีกสมมติ 30 ปี ก็คูณ 2 ล้าน ก็เท่ากับ 60 ล้าน นี่ยังไม่รวมค่าถ่ายแบบ ถ่ายอะไรนะ คุณแม่หมายความว่าอย่างนี้ อธิบายให้ฟังว่าตัวเลขมันออกมายังงี้เท่านั้นเอง ไม่ได้มีเจตนาที่จะไปเอาเงินลูกหรือเอาเงินใครทั้งสิ้น เจตนาเป็นอย่างนี้ค่ะ ทีนี้คนอ่านคนที่ฟังเขาไม่เข้าใจ เพราะมันไม่มีคำว่า สมมติว่า คำนี้สำคัญ

เงินจำนวนนี้ยังไม่ได้คุยกับใครเลย มันยังไม่ถึงขั้นตอน เขาเรียกเป็นเงินสินไหมที่น้องโมเสียชีวิต ต้องรอให้สำนวนนี้จบก่อน แล้วจะไปยื่นศาลถึงจะคุยได้ จะไปพูดกับใครล่ะ เพราะเราก็ไม่รู้นะว่าคดีมันจะไปถึงไหน มันต้องรู้ข้อมูลของคดีก่อนว่ามันจะจบสิ้นยังไงด้วยถึงจะเรียกเขาได้นะเงินตรงนี้ ก็ต้องไปเรียกในศาลด้วย ไม่ใช่เรียกในโรงพัก

เรื่องเงินเยียวยาคุณแม่ก็ยังไม่เคยได้ไปคุยกับใครเลย ก็คุณพี่หนุ่มนั่นแหละเชิญ คุณแม่ขา คุณแม่ขาทุกวัน มาออกรายการหนุ่มหน่อยนะ เหลือคุณแม่คนเดียว คนอื่นมาออกหมดแล้ว เรื่องเงินนี่ตำรวจก็เป็นคนแนะนำ ว่าเรื่องเงินของน้องโมที่จะต้องได้ในคดี ซึ่งมันต้องได้อยู่แล้วล่ะที่เขาจะต้องจ่ายให้เรา ยังไม่ได้เคยคุยกับใครเลย ก็คุยกับพี่หนุ่ม พอถามมาคุณแม่ก็บอกว่าคุณแม่มีเอกสารนะ คุณแม่เป็นผู้จัดการมรดก ใบมรณบัตรคุณแม่ก็ได้มาแล้ว แต่งตั้งมาแล้ว และใบสำคัญๆ ที่ต้องแสดงต่อที่ราชการมีทุกใบ คุณแม่ก็เอาให้ดู”

ยอมรับอารมณ์ขึ้นตอนถูก “หนุ่ม กรรชัย” จี้ถามในรายการ
“ทีนี้ก็มีกรมธรรม์ของน้องอีสเตอร์ พี่หนุ่มเขาก็พูดมาเลย พี่หนุ่มนี่เป็นคนถามอะไรเร็วนะ เป็นสุดยอดนักถามเลย ถามเร็วและคือเหมือนกับเราเหนื่อยนะ เวลาเขาถามแล้วก็มีเปลี่ยนเรื่องไป เดี๋ยวมีโฟนอินแอนนาโทร.เข้ามา ก็เปลี่ยนเรื่องไปอีก คุณแม่ก็เหนื่อยเหมือนกันนะ และยอมรับว่ามีอารมณ์ตอนนั้นนะ คือมันต้องเคลียร์เรื่องเสร็จจากคุณแม่ แม่ก็สูงวัยแล้วนะ จะปุ๊บปั๊บเรื่องนั้นเรื่องนี้ไม่ได้ คุณแม่ก็อารมณ์ออก ก็เลยเล่าไปไม่ได้เล่าละเอียด แต่คุณแม่พูดว่าสมมติว่าเป็นอย่างนี้ๆ เงินน้องจะได้รับประมาณนี้ ถ้าคุณปอเขายินยอมมันก็จบที่ศาลนั่นแหละ แต่ถ้าจะมีการต่อรองก็แล้วแต่คุณแม่ว่าจะยอมต่อรองแค่ไหน

บอกตรงๆ ว่ามีอารมณ์ พี่หนุ่มจะว่าคุณแม่ก็ช่างเถอะ ไม่เป็นไร คือพี่หนุ่มบอกก่อนเข้ารายการว่าคุณแม่เต็มที่เลยนะ คุณแม่ก็เต็มที่ไง คุณแม่ไม่เคยเป็นคนมีอารมณ์ต่อพวกคุณ (ผายมือไปที่นักข่าว) ใช่ไหมคะ พอคุณหนุ่มบอกว่าคุณแม่เต็มที่เลยนะ คุณแม่ก็มีอารมณ์เต็มที่เหมือนกัน คือมันมีหลายเรื่องปนกัน มันมีเรื่องของแอนนา มีเรื่องฮิปโปปนเข้ามาด้วย คุณแม่ก็โกรธที่เขาไม่ขออนุญาตคุณแม่ก่อนในเรื่องที่เขาจะไปเปลี่ยนสถานที่งานศพของน้องโม ให้สัมภาษณ์โดยพลการ เขาควรจะแจ้งคุณแม่ก่อน ถูกไหมคะ มันงานใหญ่นะ มันไม่ใช่งานเล็กๆ นะคะ งานน้องโมได้รับพระราชทานพวงมาลานะคะ”

บอกเมื่อวานที่ดูเหมือนหนีนักข่าว เพราะทีมงานของ “หนุ่ม กรรชัย” รีบดันให้ขึ้นรถ
“ที่คุณแม่ไม่ได้พูดเรื่องความสัมพันธ์กับน้องโม เพราะพี่หนุ่มต้องการทราบแค่นี้ไง เน้นเรื่องเงิน เรื่องกรมธรรม์ แต่สังคมว่าแม่หน้าเงินใช่ไหม แม่เฉยๆ นะ มันไม่ใช่ เราเป็นคนให้เงินคนด้วยซ้ำไป ถ้าเงินที่คุณแม่ให้ไปรวมๆ แล้ว คุณแม่ว่าเป็นล้านเหมือนกันที่คุณแม่แจกเงินคนไปหลายๆ ประเภทด้วย เรื่อง 30 ล้านนี่คือสมมติ คุณคิดเหรอว่าเขาจะให้คุณแม่ 30 ล้านเนี่ย พูดกันตรงๆ แต่คุณแม่ไม่โกรธพี่หนุ่มหรอก มันเป็นหน้าที่ของเขาในการที่เขาต้องจี้ พี่หนุ่มก็มาจี้คุณแม่ไง ไม่โกรธ เขาทำหน้าที่ของเขา และเขาก็คุณแม่จ๋านี่หลายวัน (หัวเราะ) ให้ไปออกรายการ

เมื่อวานที่คุณแม่ไม่ได้ให้สัมภาษณ์สื่อที่มารอน่ะ เพราะคุณหนุ่มเขาไม่ให้คุย เขาเอารถมารับ มาส่งถึงที่ รถก็มารอ คุณแม่ก็ยังคุยอยู่เลย โบกไม่โบกมือ แต่คุยได้นิดหน่อย เพราะรถเขาคอยจะเคลื่อนไปเรื่อยๆ เพราะลูกน้องพี่หนุ่มก็ลงมาส่งคุณแม่เห็นไหม จูงมา ถ้าปล่อยให้คุณแม่ยืนอยู่กลางแดด คุณแม่ก็ยืนให้สัมภาษณ์ แต่นี่เขาดันเข้ารถไปเลย เพื่อนก็บอกว่าเธอโดนนักข่าวรุมขนาดนั้น คุณแม่ก็บอกว่าโดนรุมทุกวันแหละ ไม่เป็นไร แม่ไม่เคยหนีนักข่าว ถือว่าเราอาชีพเดียวกันนะ”

เผยเรื่องเงินกรมธรรม์จะให้ศาลเยาวชนเป็นคนดำเนินการ
“ตั้งใจตั้งแต่คืนที่จะไปออกรายการอีก ว่าให้น้องไปเป็นทุนการศึกษาดีกว่า จริงๆ คุณแม่มีใบแต่งตั้งเป็นผู้จัดการมรดกอยู่แล้ว ทีนี้เงื่อนไขของทางทนายก็แนะนำว่าให้ไปที่ศาลเยาวชน เพราะมันเป็นส่วนของอีสเตอร์เขาจริงๆ เพราะแม่เขาระบุให้อย่างนี้คุณแม่ไม่มีสิทธิ คุณแม่มีสิทธิในมรดกของน้องโมเท่านั้น ก็จะเอากรมธรรม์ใบนี้ไปแจ้งศาล และส่งให้ศาลเยาวชนดูแลว่าจะคุ้มครองให้ได้ยังไง โดยแม่เขาก็ไม่มีสิทธินะ ทีนี้น้องยัง 6 ขวบเอง ก็ให้ศาลเยาวชนตัดสินว่าเขาจะชำระให้น้องเป็นค่าเทอมอะไรยังไง ก็แล้วแต่เขา แล้วแต่ดุลยพินิจของศาล เรื่องมันก็เป็นอย่างนี้

ทีนี้คุณแม่เองที่อธิบายไม่ละเอียด เพราะว่าคุณเคยเข้าห้องส่งแล้วอัดรายการไหม มันฮอตเนอะ มันทั้งไฟ ทั้งแสง ทั้งคน เราโดนแสงด้วย และเราต้องให้คำตอบด้วย คือแม่ไม่มีเจตนาที่จะเอาเงิน คุณแม่จะบอกให้ว่าคุณแม่เป็นคนแจกเงินคนด้วยซ้ำไป คุณแม่ทำทานเยอะมาก ให้เงินคนเยอะมาก เพราะฉะนั้นเจตนาจะไปเอาเงินตรงนี้ ซึ่งมันเป็นยอดที่ไม่แน่นอนด้วยซ้ำไป คุณแม่จะเอามาทำอะไร ถูกมั้ยคะ ไม่ต้องมีเงินก้อนนี้คุณแม่ก็อยู่ได้”

ไม่โกรธและไม่สนใจกระแสโซเชียล เพราะไม่ได้อ่าน
“คุณแม่ไม่ได้ดู ไม่ได้อ่านเชื่อไหมคะ มีแต่เพื่อนส่งมา คุณแม่ก็อ่านผ่านๆ คือเขาไม่เข้าใจแหละ เพราะพี่หนุ่มไม่ได้พูดคำว่าสมมติว่า ถ้าพี่หนุ่มพูดและคนพวกนี้ได้อ่าน เขาจะไม่เข้าใจผิด คุณแม่ขอโทษ ถ้าเข้าใจคุณแม่ผิดก็ขอให้เข้าใจคุณแม่ใหม่นะคะ ว่ามันไม่ใช่ คุณแม่ไม่สามารถจะไปเอาเงิน 30 ล้านจากคุณปอหรือจากใครได้เดี๋ยวนี้ ไม่มีสิทธิเลย ไม่รู้จะไปเอาตรงไหน ใครจะมาให้คุณแม่ล่ะ จะมาให้เรื่องอะไร อย่าเข้าใจผิด ให้เข้าใจตามครรลองของคดีดีกว่า ขั้นตอนของคดีมันต้องตรงไหนก่อน ตรงไหนหลัง สุดท้ายมันจะเป็นยังไงคุณแม่อยากรู้ตรงนี้มากกว่า

ส่วนเรื่องจิ๊บๆ จ้อยๆ คุณแม่ไม่ได้อ่าน เพราะธรรมดาแหละบางวันเขาก็รักเรา บางวันเขาก็เกลียดเรา คุณแม่ไม่ได้รู้สึกอะไร อ่านแล้วก็ผ่าน ถ้าเรามัวไปรู้สึกตรงนี้มันจะบั่นทอนให้เราทำงานไม่ได้ ไม่ว่าข่าวอะไรที่ผ่านมาคุณแม่ไม่ได้ใส่ใจ อ่านแล้วก็ผ่าน เพราะเราฝึกจิตใจให้เข้มแข็ง ไม่ยึดติดกับอะไรที่ไม่ได้เรื่อง ไม่ได้ความ เราผ่านเพื่อเราจะเดินหน้าทำงานสำคัญกว่านั้น จะด่าคุณแม่หยาบๆ แค่ไหนก็ด่ามา ถ้าอยากด่า เพราะคุณแม่ไม่ได้อ่านอยู่แล้ว ไม่ใช่ไม่แคร์ แต่คุณแม่ไม่ได้อ่าน เลยไม่รู้ว่ามันเป็นยังไง

แล้วคำว่าเจอ จ่าย จบ นี่เขาพูดถึงคุณแม่เหรอ คุณแม่นึกว่าเขาพูดถึงคุณปอ คุณแม่ไม่รู้ด้วยว่ามันคืออะไร คือถ้าเขาจ่ายแล้วต่อเมื่อคดีต้องจบนะคะ ก็อยู่ที่ว่าเขาจะต่อรองไหมในตัวเลขที่เราเสนอไป ถามว่าจะจบยังไง เราต้องไปเคลียร์กันในศาลค่ะ จบที่ศาล ศาลท่านก็จะเป็นคนไกล่เกลี่ยให้ว่าโอเคไหม ยินดีไหมแค่นี้ ฝ่ายนี้จะเสนอมาแค่นี้ คุณแม่โอเคไหม เราก็จบกันอย่างนั้น ถ้าคุณแม่ไม่โอเคคุณแม่ก็ต้องไปยื่นฟ้องเพิ่ม ถ้าโอเคก็จบกันแค่นี้ และตัวเขาก็เป็นเรื่องของตำรวจล่ะ

คุณแม่อธิบายแล้วนะว่าคุณแม่สมมติ อยากเรียนให้ทราบอย่างนี้นะคะ ทุกท่านเลยที่ติดตามข่าวน้องโมตอนนี้ รวมถึงเมื่อวานนี้ที่คุณแม่ไปออกรายการโหนกระแส ที่คุยเรื่องเงิน 30 ล้าน คุณแม่ได้พูดว่าสมมติ เรื่องกรมธรรม์ก็ได้คุยไปแล้วว่ามันเป็นยังไง ต้องมอบให้เจ้าของชื่อคือน้องอีสเตอร์ เรียนให้ทราบว่ามันไม่ใช่ความจริงขั้นตอนมันมี คุณแม่จะได้เงินค่าปลงศพน้องโมก็ต่อเมื่อคดีนี้จบ พิสูจน์ได้ว่าคนนี้ๆ ผิด และส่งฟ้องศาล และคุณแม่ถึงจะไปฟ้องร่วมเรียกค่าปลงศพน้องโมได้ ซึ่งมันก็อีกยาวแหละ

ถ้าสมมติคุณแม่เรียก 15 ล้าน เขามีจ่ายก็โอเคจบกัน แล้วศาลก็จะเป็นคนสั่งว่าให้เขาไปทำอะไร ขังกี่เดือนกี่ปีก็ว่าไป หรือไปพัฒนาตรงไหนก็ว่ากันไป ลดโทษในฐานะที่เขามาปฏิบัติดูแลคุณแม่ อุปการะดูแลคุณแม่ ซึ่งเงิน 15 ล้านนี่ถ้าเขาให้คุณแม่ก็ต้องรับ เพราะน้องโมเสียชีวิต ก็เป็นสิทธิที่เขาต้องให้คุณแม่ แต่ถ้าคุณแม่เรียกสูงเกินไป เขาจะไม่ให้ก็ไปต่อรองกันได้ จะต่อรองกันเอง หรือจะไปฟ้องศาลต่อรองกันอีกก็ได้”

บอกใจอ่อนกับ “ปอ” และ “โรเบิร์ต” เพราะโทร.มาหาทุกวัน สวดมนต์ร่วมกันทางโทรศัพท์ 2 ชม.
“คุณปอโทร.หาคุณแม่ทุกวัน มีทั้งทำบุญร่วมกัน สวดมนต์ร่วมกันทางโทรศัพท์ 2 ชม. เขาไปทำบุญถวายผ้าไตร ถวายอะไรให้น้องโมทุกวัน และคุณโรเบิร์ตก็อยู่ด้วย เขาก็โทร.มา คุณแม่สวดมนต์นะครับ กำลังนะสวดคุณแม่พูดตามนะ พอกรวดน้ำก็บอกคุณแม่กรวดน้ำนะครับ แล้วเขาก็ส่งรูปมาให้ดู มีตอนช่วงที่พระอาทิตย์ทรงกลดนะ เขาถวายผ้าไตร คุณแม่ก็ประหลาดใจ เขาใส่ชุดขาวทั้งชุด มี 2 คนนี้ที่ติดต่อคุณแม่ตลอด

ส่วนกระติก แซน จ๊อบนี่คือไม่รู้จัก คือหลังจากเป็นกระแสนี่คุณปอก็ยังโทร.มา ปอขออนุญาตเป็นลูกอยู่แล้ว ทั้งโรเบิร์ตด้วย ขอเป็นลูกคุณแม่อีกคนนะครับ คือเขาสม่ำเสมอมาก คือคุณแม่ไม่ได้ยกยอใครหรอกนะ เพียงแต่ว่าการปฏิบัติของเขามันสม่ำเสมอ แล้วเขาโทร.มาบอกว่าอยากเจอคุณแม่หลายครั้งมาก อยากกราบเท้าขอโทษคุณแม่ที่ทำให้ลูกคุณแม่ต้องเสียชีวิต ถามว่าเขาแสดงหรือเขาจริงใจที่จะขอโทษจริงๆ คุณแม่จะเล่าให้ฟังว่าคุณแม่ก็รู้จักผู้ชายมาเยอะนะ พอวันรุ่งขึ้นจากที่น้องโมเสียเขาก็โทร.หาคุณแม่เลยนะ แต่คุณแม่ไม่ยอมพูดกับเขา เขาก็โทร.มาอีก โทร.มาทุกวันเลย แม่ก็ไม่รับสาย

จนเมื่อ 2 วันที่แล้วก่อนที่จะไปออกรายการพี่หนุ่ม คุณแม่ถึงยอม เขาบอกว่าคุณแม่ครับ ปอมาทำบุญ คุณแม่สวดมนต์ตามปอนะ พอเอาเรื่องพระเข้ามามันก็ทำให้เราใจอ่อน เขาทำบุญให้ และให้คุณแม่สวดด้วย แต่การขอขมาเนี่ย คุณแม่ก็สงสารนะ สงสารทั้งตำรวจทั้งพี่ปอแหละ ท่านก็บอกว่านัดพี่ปอมา พี่ปออยากกราบเท้าขอโทษคุณแม่ คุณแม่ก็บอกว่าที่โรงพักได้ไหมล่ะ ต่อหน้าตำรวจเลย เขาก็บอกว่าได้ครับคุณแม่ ด้วยเสียงหนักแน่นมาก แล้วทีนี้ท่านตำรวจก็บอกว่าให้คุณแม่นั่งรอ จะไปจัดสถานที่ให้ดีๆ เลย จะได้ไหว้กันสวยๆ แล้วอย่างนี้มันไม่ใช่โกหกแล้วนะ เขาก็เตรียมพวงมาลัยมาอย่างสวยเลย และเข้ามาทีละคน คือตั้งแต่เห็นสถานที่คุณแม่ก็ประทับใจแล้วล่ะ เพราะทุกคนคงไม่ได้รับแบบที่คุณแม่ได้รับ

ถามว่าการกระทำแบบนี้เพื่อเป็นการบรรเทาโทษที่จะมีในชั้นศาลไหม อันนี้คุณแม่ทราบค่ะ คุยกันแล้ว คือเราคุยกันทุกวันนะ คุณแม่ก็บอกเขาว่าแยกนะ คดีกับเรื่องส่วนตัวที่เราจะทำบุญด้วยกันเนี่ย เขาก็บอก ครับ ผมทราบ ไม่เกี่ยวกัน ไม่ใช่ใจอ่อนเพราะเขามาโน้มน้าว มาพูดเพราะๆ ไม่ใช่ๆ เขามีเจตนา มีความตั้งใจที่จะกราบเท้าเรา แล้วคุณแม่ไม่อยากให้ผู้ชายมากราบเท้าเลย มันดูไม่ดี ก็ถึงต้องไปจับหลังเขาให้ขึ้นมา เขาทำด้วยความบริสุทธิ์ใจนะ เราดูออก เรารู้จักผู้ชายมาเยอะ ถ้าพูดก็คือเขาเป็นผู้ชายที่ดี เพียงแต่เขามาประสบอุบัติเหตุหรือวิถีชีวิตติดกรรมอะไรของเขาตอนนี้แหละแค่นั้นเอง”

บอกยังคาใจกับ “กระติก” ส่วน “แซน-จ๊อบ” ยังไม่เคยเจอหน้า
“คุณแม่ก็ถามเขานะเรื่องเหตุการณ์ เขาบอกว่าเขาไม่เห็นจริงๆ เพราะเขาขับเรืออยู่กับโรเบิร์ต เขาหันหลังให้น้องโม เขาตอบอย่างนี้ทั้งคู่ เขาบอกผมไม่เห็นจริงๆ ถ้าผมเห็นผมคงบอกแล้ว และเสียงเรือก็ดัง อาจจะเป็นไปได้ที่น้องโมเดินไปหลังเรือแหละ แต่คนที่เห็นคือกระติกแน่นอน ทางเดินมีแค่นี้ คนเดินผ่านจะไม่เห็นเลยเหรอ ใช้สายตาปลายตามองก็ได้ แต่กระติกบอกว่าไม่เห็นว่าน้องโมเดินผ่านด้วยซ้ำ

เรื่องการทำร้ายร่างกายที่คุณแม่สงสัยตอนแรก มันมาจากนิทานเรื่องนั้นน่ะ แต่พอคุยกับปอและโรเบิร์ตถามว่าข้อสงสัยมันหายไปไหม ข้อนี้ตอบลำบากนะ มันไวรัลไปแล้ว ทุกคนในประเทศอ่านไปหมดแล้ว มันมีคนสร้างเรื่องขึ้นมาเป็นนิทาน พอไปถึงจุดพิสูจน์เรือ ปอก็โดนจับไปแล้ว โรเบิร์ตก็โดนจับไปแล้ว ด้วยเรื่องประมาทและประกันตัวออกมา จะสู้คดีหรือไม่สู้คดีอะไรก็ตาม เหตุในเรือที่สงสัยน่ะมีแน่นอน น้องโมไม่ไปปัสสาวะตรงนั้น เพราะมันทำไม่ได้ ชุดเขาฟิต มันถอดไม่ได้ ประเด็นที่คุณแม่สงสัยอยู่ว่าอาจจะมีการผลัก ยื้อยุดฉุดกระชากอะไรแบบนั้น แต่เชื่อว่า 2 คนนี้ไม่ได้ทำ เขาอยู่อีกด้านนึง คุณแม่ก็ถาม เขาก็ตอบว่า ผมไม่ทราบเลย

แต่ถามว่าคุณแม่ให้อภัย 2 คนนี้ แล้วไม่ติดใจอะไรแล้วเหรอ คืออย่างนี้ค่ะ 2 คนนี้เป็นคนติดต่อคุณแม่มา แต่อีก 2 คนแม่ไม่รู้จักคือจ๊อบกับแซน แล้วคุณแม่ก็ไม่เห็นว่าตำรวจจะเรียกสอบตรงไหนตอนไหน เขาก็ยังไม่ได้มีความผิดอะไร เขาก็ไม่ต้องขอโทษคุณแม่ ไอ้เรื่องให้อภัยส่วนตัวเนี่ย เป็นเรื่องในใจของคุณแม่นะ ไม่เกี่ยวกับคดีนะ เป็นความรู้สึกของความเป็นคนด้วยกันที่มีความสม่ำเสมอ ขอเป็นลูก ขอดูแลแทนน้องโม ให้ไม่น้อยไปกว่าน้องโมดูแลคุณแม่เลย

คือคุณแม่ร้องไห้เลยนะ ถ้าเขาทำลูกเราเสียขนาดนี้ แล้วเขายังมาขออภัย กราบเท้า โอ้ย เป็นภาพที่คุณแม่จริงๆ ไม่อยากให้เกิด ผู้ชายมีฐานะ หน้าตาดีมากราบเท้าคุณแม่เนี่ย อื้อหือ คุณแม่ก็สะท้อนใจนะ แต่เขาก็ยินดีทำต่อหน้าตำรวจ ความบริสุทธิ์ใจที่เขาต้องการแสดงให้คุณแม่เห็นว่าเขาบริสุทธิ์ใจจริงๆ เขาไม่ได้ทำ และเขาก็ได้ไปทำบุญให้ตลอด มันทำให้คุณแม่ใจอ่อน จะมาบอกว่าตามข่าวว่าเจอคนหล่อ เจอหนุ่มๆ แล้วคุณแม่ใจอ่อน ไม่ใช่ คุณต้องรู้จักเขาว่าคุณปอเป็นคนนิสัยดี ความรู้สึกคุณแม่นะ คิดว่าเขาเป็นคนดีนะ”

ยินดีรับผิดชอบหนี้สินแทน “แตงโม” ทุกอย่าง
“ใช่ค่ะ น้องมีหนี้สินบ้าน หนี้สินรถ บ้าน 2 หลัง 2 ห้องติดกันที่เขาอยู่คนละห้องกับคุณพ่อนะคะ แล้วก็รถของเขาที่ยังผ่อนส่งอยู่ มูลค่าบ้าน 7 ล้าน ส่วนรถก็ส่งไป 2 ปีแล้ว ตอนนี้เท่าที่คุณแม่ทราบ เพราะว่ายังไม่ได้ไปที่แบงก์เลย ก็คือถ้าเจ้าของทรัพย์สินนี้เสียชีวิต ถ้าน้องโมทำประกันไว้กับแบงก์ ประกันอัคคีภัยบ้าน เขาจะยกประโยชน์ให้ผู้รับมรดก รวมถึงรถด้วย ถ้าน้องโมทำประกันรถ เขาก็จะยกประโยชน์ให้คุณแม่ผู้รับมรดก

เรื่องการแต่งตั้งผู้จัดการมรดกต้องไปยื่นต่อศาลค่ะ ตอนนี้ขั้นตอนก็คือคุณแม่มีทนายแล้ว ก็ให้ทนายไปดำเนินการที่ศาล เราก็รอใบนี้แหละ ก็จะเรียกว่าตอนนี้คุณแม่ยังไม่ได้เป็นผู้จัดการมรดกโดยเต็มตัวก็ได้ แต่ยังไงแม่ก็ต้องเป็นผู้จัดการมรดก ทั้งรายรับ ทั้งหนี้สินทั้งหมดของน้องโม”

บอกตอนนี้ให้อภัย “ฮิปโป” 100% แล้ว ส่วน “แอนนา” น่ารัก
“แอนนาขอโทษคุณแม่ทางทีวีแล้วเมื่อวันนั้น และบอกว่าน้องโมรักคุณแม่มาก เพราะฉะนั้นแอนนาก็รักคุณแม่ด้วย ขอโทษคุณแม่ ด้วยความที่ไม่คิดก่อนว่าต้องบอกคุณแม่ เพราะเรื่องการย้ายสถานที่มันเรื่องใหญ่ ส่วนฮิปโปเมื่อกี้คุยกันแล้ว คุณแม่ก็ให้อภัยเขาไป 100% แล้วที่ค้างไว้ 50% น่ะ (หัวเราะ) เขาโทร.มาร้องไห้ ขอโทษคุณแม่ บอกว่าฮิปโปไม่ได้ตั้งใจ พอดีมีนักข่าวมาถามฮิปโปก็ตอบไปตามที่เขาถาม คุณแม่ก็บอกว่าคุณแม่เข้าใจ แต่ทีหลังจะทำอะไรเกี่ยวกับน้องโมบอกคุณแม่นิดนึง ปรึกษาคุณแม่นิดนึงดีกว่า เพราะไม่เช่นนั้นข่าวมันสับสน

อย่างข่าวเปลี่ยนสถานที่เนี่ย ฮิปโปกับแอนนาต้องการให้ไปโบสถ์มหาไถ่ ส่วนอาจารย์ธงชัย บอกเป็นอีกโบสถ์นึง ไม่ใช่โบสถ์มหาไถ่ เป็นโบสถ์ที่สร้างใหม่สวยงามหรูหรา สะดวกกับทุกคนเลย เพราะฉะนั้นถ้าแอนนากับฮิปโปไปชิงพูดก่อนมันก็ผิดแล้วเห็นไหม คนละโบสถ์ละ ถึงต้องปรึกษาคุณแม่ไง ตอนนี้ก็ให้อภัยไปแล้วค่ะ ส่วนแอนนาก็ให้เขาไปแล้ว เพราะเขาขอโทษไปวันนั้นไง คุณแม่ไม่ได้ติดใจอะไรเขา เขาพูดจาเรียบร้อยนะแอนนาเนี่ย พูดจาดีมากเลย

แอบตกใจข่าวว่า “เอ ศุภชัย” และ “อั้ม พัชราภา” จะถอนตัวไม่ช่วยงานศพ
“แต่เรื่องงานศพเปลี่ยนสถานที่นะคะ แล้วเดี๋ยวคุณแม่จะแจ้งให้ทราบ มันจะเป็นโบสถ์ที่ใหญ่ จุคนได้ 1,400 คน เป็นโบสถ์สร้างใหม่ แต่คุณแม่จำไม่ได้ว่าอยู่ที่ไหน มีลิฟต์ มีบันไดเลื่อน มีที่จอดรถพร้อม มีระบบเครื่องเสียงอย่างดีเลย รับนักข่าวได้เต็มที่เลย 200 คน เจ้าภาพก็ยังเป็นคุณเอ ศุภชัย กับ คุณอั้ม พัชราภาค่ะ แต่มันก็มีข่าวนะว่ายกเลิก แต่คุณแม่ก็ฝากบอกฮิปโปไปแล้วว่าช่วยแจ้งด้วยว่า อาจารย์ธงชัยได้คุยกับคุณแม่ว่าขอเปลี่ยนสถานที่ เพื่อรองรับนักข่าว รองรับเพื่อนได้เต็มที่ เพราะถ้าโบสถ์ซอย 36 น่ะมันเล็ก ที่จอดรถก็ไม่มี นักข่าวก็เข้าไม่ได้ ก็เปลี่ยนเอาให้มันใหญ่ๆ ไปเลย

ส่วนที่คุณแม่บอกว่าต่อไปนี้ห้ามพูดเรื่องน้องแตงโมเนี่ย คือให้เขาสำนึกว่าแม่ยังเป็นแม่อยู่ ไม่ใช่คุณให้ข่าวไปโดยพลการ และพูดตรงๆ ว่าสองคนนี้ไม่ได้มีตำแหน่งใดๆ ในโบสถ์ที่เขาจัดงานให้น้องโม อาจารย์ธงชัยไม่รู้จักแอนนากับฮิปโป เพราะฉะนั้นคุณมาช่วยในฐานะอะไร แม่ก็ยังไม่ทราบเลยนะ คือถ้าตอนนี้เพื่อนๆ ของน้องแตงโมจะมาช่วยงาน ก็ต้องมาคุยกับคุณแม่ก่อน

งานศพตอนนี้ฮิปโปยืนยันกับแม่ว่าพี่เอกับพี่อั้มยังไม่ได้ถอนตัว แต่มันมีข่าว แม่ก็หนาวเหมือนกันนะถ้าสองท่านนี้ถอนคุณแม่จะทำยังไง ค่าเช่าโบสถ์วันละ 5 แสนนะ 3 วัน เป็นเงินเท่าไหร่ ที่เรายอมเพราะว่าพี่เอเขารักน้องโมมาก เขายินดีที่จะร่วม และพี่อั้มก็รักน้องโม เพราะฉะนั้นเราจะมีสปอนเซอร์คือพี่เอ พี่อั้ม และท่านธงชัยที่อยู่ที่โบสถ์ 3 ท่านนี้ รายจ่ายทุกอย่างอยู่ที่ 3 ท่านนี้ทั้งหมด”

เผยสงสาร “เบิร์ด” แฟน “แตงโม” ตอนนี้ยังเก็บตัวอยู่
“อย่างคุณเบิร์ดแฟนน้องโม ก็มาบอกว่าคุณแม่ น้องโมชอบลูกโป่ง ขอเอาลูกโป่งไปวางข้างศพน้องโมได้ไหม คุณแม่ก็บอกว่าโอเค เพราะว่าเบิร์ดนี่น่าสงสารมากเลย ขอหมอนที่นอนด้วยกัน ขอหมอนข้าง ขอตุ๊กตา ขอรูปที่เขาชอบ ที่เขาใช้กับน้องโม และเขาก็ไม่ยอมให้สัมภาษณ์ เขาน่าสงสารมาก เขาบอกว่ารอน้องโมมา 7 ปี เขาเพิ่งได้ใช้ชีวิตกับน้องโมไม่ถึงปีเลย เขาก็เลยเก็บตัว ไม่อยากให้สัมภาษณ์ เพราะฉะนั้นใครจะทำอะไรต้องเห็นใจผู้สูญเสีย โดยเฉพาะคุณแม่เนี่ย คุณแม่ร้องไห้ทุกวัน ไม่รู้จะเลิกเมื่อไหร่ คิดถึงลูก บางทีมองอะไรไปก็ร้องไห้ นึกถึงหน้าเขา ไม่เป็นใครก็ไม่รู้หรอกว่าความรู้สึกตรงนี้เป็นยังไง”

ปัดข่าวที่ “แพท ณปภา ตันตระกูล” ออกมาบอกว่าตนเคยเข้าไปหยิบของแบรนด์เนมจากในบ้านแตงโมไม่เป็นความจริง
“แล้วแพทไปเอาข่าวมาจากไหน ที่หยิบมาคือโทรศัพท์น้องโม กุญแจรถน้องโม แต่อย่างอื่นยังไม่หยิบ ทรัพย์สินน้องโมเยอะ หยิบไม่ได้ ไม่มีการเปลี่ยนรหัสค่ะ รหัสบ้านน้องโมผู้คนสามารถเข้าได้ 20 คน ในช่วงที่คุณพ่อเสียมีเพื่อนมาแสดงความเสียใจ มาอยู่เป็นเพื่อนกับน้องโมประมาณ 20 คน เขาก็เข้าได้ ส่วนบ้านคุณพ่อก็ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนรหัส เพราะคุณพ่อก็ไม่อยู่แล้ว ตอนนี้ทางนิติบุคคลเขาดูแล ถ้าคนแปลกหน้าเข้าไปเขาไม่ให้เข้าหมู่บ้านแล้ว ยกเว้นคุณแม่คนเดียวที่เข้าได้ ตั้งแต่มีคนเอากรมธรรม์นี้ไปฉีกอ่าน ก่อนที่คุณแม่จะเห็น เอาคัตเตอร์ตัดอ่านแล้วเก็บไว้ที่เดิมคือตู้จดหมาย แต่ไม่ทราบว่าใคร แต่ไม่ควรไปทำ

ที่บอกมีพวกสมุดธนาคารเนี่ย เจ้าหน้าที่ที่ดูแลเรื่องน้องโม ขอ 1 เล่ม คุณแม่ก็ไปหาแล้วไม่เจอ แล้วก็กระเป๋าแบรนด์เนมกุชชี่ ของคุณแม่เอง เพิ่งเอาไป น้องโมยังไม่ทันได้หิ้ว แล้วกุญแจรถก็เพิ่งเอามา เพื่อป้องกันไม่ให้ใครเอารถน้องไป ซึ่งถามว่าได้เข้าไปเอาอะไรตอนที่น้องโมยังอยู่ไหม คือแม่ไม่อยากเข้า เพราะเขาอยู่กับเพื่อน เราเข้าไปก็คุยกันคนละเรื่อง ก็ปล่อยให้เขาสนุกกัน เขาดูแลกันไป เขาก็พูดมึงกูกันไป คุณแม่ก็แค่แอบย่องๆ ไปดูว่าเขามีเพื่อนอยู่แค่นั้นก็ลงมา ตอนนี้บ้านนั้นจะยังไงต่อก็ยังคิดไม่ออกเลยค่ะ เพราะเราเป็นหนี้จะต้องจ่ายหรือไม่ ก็ปิดไว้”

เผยยังไม่ได้คุยกับลูกชายที่โพสต์หัวใจสลาย ยืนยันลบไอจีไม่เป็น
“ที่พี่ชายน้องโมโพสต์หัวใจสลายใช่ไหม คุณแม่ยังไม่ได้ถามเขาเลย คือเขาเป็นผู้ชายที่ชอบโพสต์ โพสต์ลูก โพสต์เมีย โพสต์อะไรประจำ แต่เขาไม่ทราบว่าคุณแม่ได้ว่าจ้างทนายความแล้ว อยากจะโพสต์อะไรก็โพสต์ไป คุณแม่ไม่ได้คิดมาก แต่ที่เขาโพสต์ทันทีหลังจบรายการโหนกระแส เขาก็บอกว่าแล้วแต่คุณแม่นะ แต่อย่าไปโทษคุณแม่เลย เขาพูดอย่างนี้นะ คุณแม่น่าจะมีความคิดอ่านอย่างอื่น ซึ่งพอออกมาจากรายการพี่หนุ่ม คุณแม่ก็นัดทนายความเลย แต่คุณแม่ไม่ได้บอกเขา บอกแต่ว่าคุณแม่มีทนายความแล้วนะ ไม่ต้องห่วง และเลิกร้องไห้ได้แล้ว เขาชอบร้องไห้ อ่อนไหวง่าย

เบื้องต้นคุยกันทางไลน์ค่ะ เขาทำงาน คุยกันไม่ได้ ก็มีที่เขาแนะนำทนายให้ แต่คุณแม่ก็ถามว่ารู้จักเขาเหรอ เคยคุยกันเหรอ ไว้ใจได้แค่ไหน แต่ลูกเราก็ไม่รู้จักทนาย แต่มีคนแนะนำมาให้ คุณแม่ก็บอกเอาไว้ก่อน คุณแม่มีคนอื่นอีก 2-3 คนเป็นเพื่อนกัน ส่วนเรื่องลบไอจี ไปเปิดดูได้เลย คือเมื่อก่อนนี้เล่น แต่พอคุณพ่อเสีย คุณแม่ก็ไม่มีอารมณ์แล้ว ไม่ได้โพสต์อะไรเลย รูปสุดท้ายคือวันแม่ที่น้องโมติดดอกมะลิให้ที่หน้าอก

แล้วคุณแม่จะไปลบโพสต์ลูกเนี่ย คุณแม่ทำไม่เป็น ไอ้เครื่องสมัยใหม่เนี่ย เห็นแต่หน้าตาว่ามันน่ารักดี เล็กๆ แต่ไม่รู้วิธีการใช้เลย ก็เอาไปให้ตำรวจ ก็ได้มาตั้งแต่วันที่กระติกเอากลับมาที่บ้าน ที่เขากลับมานอนบ้านคุณพ่อ แล้วเอาโทรศัพท์มาใส่ไว้ในลิ้นชักที่คุณแม่เคยบอกพี่เลี้ยงไว้ เขาก็เอามาใส่ไว้ให้เรียบร้อยแค่นั้น แล้วคุณแม่ก็เอาไปให้ตำรวจ เขาก็กู้ไฟล์อะไรเรียบร้อย แต่ยังไม่คืนโทรศัพท์มาเลย สร้อยน้องโมก็ยังไม่คืน แต่ไม่เป็นไร ปล่อยไว้ให้ตำรวจ”

บอกตอนนี้ไม่โกรธ “กระติก” แล้ว
“เรื่องกระติกให้เป็นเรื่องของตำรวจก่อนได้ไหม แล้วคุณแม่จะรับคำขอโทษหรือไม่ เพราะเดี๋ยวเขาอาจจะมีคดี เราจะไปรับคำขอโทษไม่ได้ แต่ถ้าเขาจะไปร่วมงานศพก็โอเค แต่ในขณะที่เอาศพน้องโมไปนิติเวชเนี่ย เขาไปก่อนคุณแม่แล้ว แต่เขาไม่เข้ามาดูศพน้องโม เขานั่งอยู่ข้างนอก คุณแม่ก็ไม่เข้าใจ มาปฏิบัติแบบนี้กับคุณแม่อีก ก็คุณแม่อยู่ทำไมไม่เข้ามา มีอยู่ไม่กี่คน เพื่อนๆ สนิททั้งนั้น แต่ไม่เข้ามาคุย ไม่ทักทายอะไรทั้งสิ้น ไม่เข้ามาดูหน้าน้องโม เป็นเพื่อนรักกันจริงๆ หรือเปล่า ทำไมไม่เข้ามาดูเพื่อนรักที่ดูแลคุณมา ดูแลลูกคุณมาสิ แต่คุณไม่เข้ามา

คือถ้าเขาไปลามาไหว้เหมือนคนอื่น แม่ก็จะไม่โกรธขนาดนี้ คือถ้าเข้ามาดูศพน้องโม คุณแม่ก็ยกโทษให้แล้วล่ะ นี่ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้กระติกมีปัญหากับคุณแม่ตลอด ไม่ยอมเผชิญหน้า แล้วจะให้คุณแม่อภัยให้ได้ยังไง แต่ถามว่ายังโกรธไหม เอาจริงๆ ตอนนี้แม่ก็ไม่ได้โกรธกระติกแล้ว จริงๆ แม่ไม่เคยโกรธใครนะ ด่าคำหยาบก็ไม่เป็น”

โต้ข่าวเป็นแม่เลี้ยง ยืนยันเป็นแม่แท้ๆ คลอดออกมาเอง
“ถ้าคุณแม่เป็นแม่เลี้ยง แล้วคุณพ่อเขาคือ (หัวเราะ) หน้าคุณแม่ก็เหมือนหน้าน้องโมนะ เปิดหน้าให้ดูก็ได้ (เปิดมาสก์) หน้าเดียวกันเนี่ยถึงเขาจะศัลยกรรมแล้วน่ะ แม่คือแม่ที่แท้จริงของน้องโม คลอดมาด้วยตัวคุณแม่เองเลย ก็ได้ข่าวว่ามีขุดไปตั้งแต่สมัยเป็นเด็กเลย ว่าแม่ไปเอาน้องแตงโมมาเลี้ยง สร้างเรื่องได้ยังไงหนอ ลูกคุณแม่จริงๆ เลย เกิดมาเนี่ย 2,400 กรัม นะ ตัวเล็กจิ๋วเท่าลูกแมว กลัวเขาไม่รอด คุณแม่ก็เลี้ยงจนเขารอด เลี้ยงมากับมือ ไม่มีพี่เลี้ยงด้วย คุณแม่ควรจะทำยังไงกับข่าวพวกนี้ดี แต่ไม่ฟ้องหรอกค่ะ เดี๋ยวใครคิดไม่ดีกับเราเขาก็ได้รับผลกรรมเอง

คุณแม่เป็นแม่ที่แท้จริงของน้องโมนะคะ ไม่ได้เป็นแม่เลี้ยง คุณพ่อก็คือคุณพ่อโสภณ พัชรวีระพงษ์ ซึ่งเสียชีวิตไปปีเศษแล้ว คุณแม่ก็เป็นคุณแม่ของน้องโมซึ่งชีวิตตามคุณพ่อไปเลย เพราะฉะนั้นอย่าเข้าใจผิดเลย ถามว่ารักลูกเหมือนแม่ทั่วไปไหม ก็เรากอด เราจูบกันตั้งแต่เล็กจนโต เจอกันตอนโตนี่ก็ต้องจูบกันก่อนนะ ไม่สนใจใครจะมองด้วย หอมแก้มเสร็จ หอมหน้าผาก หอมปาก ถ้าหอมไม่ครบไม่ไป เขาจะให้คุณแม่หอมให้ครบ ทำอย่างนี้ตั้งแต่เกิดเลยค่ะ ตั้งแต่เป็นเด็ก พี่ต่อย (พี่แตงโม) ก็เหมือนกัน พี่ต่อยก็โดนคุณแม่หอม คุณแม่ทำเพราะอยากให้ลูกรู้ว่าเรารักเขา การแสดงออกของเราไม่จำเป็นต้องไปแอบทำ ต่อหน้าฝูงชนเราก็ทำได้ เพราะเรารักลูก”

ยืนยันจะสู้เพื่อลูกต่อแน่นอน
“คุณแม่ยืนยันว่าจะสู้เพื่อลูกค่ะ มันคนละเรื่องกันเนอะ คดีก็คือคดี ตำรวจทำอย่างเต็มที่อยู่แล้ว ตำรวจที่นั่นน่ารักนะ เก่งทุกคน ฝีมือระดับเซียนทั้งนั้นเลย แต่ถามว่าเชื่อว่าเป็นอุบัติเหตุ หรือถูกทำให้เชื่อว่าเป็นอุบัติเหตุ อันนี้ไปๆ มาๆ คุณแม่ตอบไม่ได้แล้ว เพราะได้ข่าวว่าคุณแซนเขาโดนเรียกไปสอบ เขาอยู่ใกล้ชิดน้องโมที่สุด ก็เลยตอบไม่ได้ ถามว่าติดใจอะไรแซนมั้ย เอาตรงๆ คุณแม่ไม่รู้จักเขา เขาก็ไม่เคยแนะนำตัวกับเรา คุณแม่ไปพูดถึงไม่ได้หรอก ถ้ารู้จักแบบปอมาแนะนำตัว หรืออย่างโรเบิร์ตเนี่ย คุณแม่ยังให้การได้ แต่นี่เราไม่รู้จัก เราพูดไม่ได้ ไม่รู้จะออกมาในแง่ไหน พูดได้แต่ว่าเขาสวยแค่นั้นแหละ (หัวเราะ)”

เผยรู้สึกว่า “แตงโม” อยู่ด้วยตลอดเวลา
“ตอนนี้เวลาดูรูปน้องโม คุณแม่ก็ยังร้องไห้ทุกเช้า มันมีเรื่องแปลกนะคะ ตื่นมาคุณแม่ร้องไห้เองโดยอัตโนมัติ ทุกเช้าเลย มันเหมือนน้องโมมาปลุก คุณแม่ไปทำงาน ไปเดินเอกสาร ทุกเช้าเลย ที่บ้านก็มีรูปน้องโมใหญ่ๆ เลยที่คุณแม่ขอไว้ มันเหมือนเป็นลางนะ เขาแต่งตัวสวยมาก เหมือนนางฟ้าเลย จะเอาไปติดในงานด้วย น้องโมนี่ลูกรัก ลูกคนโปรดเลย แล้วเวลาเขาอ้อนนี่ไม่ธรรมดานะ

แม่มีรูปน้องโมใส่ชุดไทย รายการคุยแซ่บโชว์เขาทำให้ รูปใหญ่เลย คุณแม่ขอมาติดหน้าประตูห้องนอน จะเข้านอนก็ต้องบอกเขา คุณแม่นอนนะ น้องมานอนกับคุณแม่ บอกเขาตลอด บางวันก็เหมือนมีเงาๆ อยู่ข้างหลัง บางวันมีกลิ่น เขามาหาคุณแม่ เขาคงคิดว่าคุณแม่จะกลัวมาก ก็เลยมาน้อยๆ หน่อย ออกไปไหนก็ได้กลิ่นเขาตามมาตลอด เพราะคุณแม่ชวนเขาตลอด ไม่ว่าคุณแม่จะไปทำงานที่ไหน จะไปทำเอกสารที่ไหน คุณแม่จะชวนน้องไปกับคุณแม่ ไปด้วยกัน ไปช่วยคุณแม่นะ อย่าทิ้งคุณแม่ เพราะคุณแม่ทำงานให้น้องนะ พอกลับก็ต้องบอกว่ากลับบ้านกัน มันเป็นลางเหมือนกันนะที่ทำไมคุณแม่ต้องไปขอรูปใหญ่ๆ เขามา”

เผยยังไม่เคยถูกใครคุกคามเหมือนที่ “โบ ทีเค” สุรัตนาวี สุวิพร ออกมาพูดว่าโดน
“คุณแม่ไม่กังวลอะไรนะ คือลูกคุณแม่เสียนะ ใครจะมาทำร้ายคุณแม่ก็เอาสิ ก็ทำให้ตายตามน้องไปเลยแล้วกัน ก็ยังไม่มีการคุกคามอะไรนะคะ ไม่มีใครมาแทรกแซงคดีหรอก คิดกันไปขนาดนั้นเลยเหรอ ตำรวจทำงานหนักมากนะคดีนี้ ไม่มีหรอกค่ะ”







กำลังโหลดความคิดเห็น