“แอนนา-ฮิปโป-พุดเดิล” ยืนยัน “แตงโม” ทำประกันอุบัติเหตุไว้จริง “ลูกกระติก” เป็นผู้รับผลประโยชน์ 1 ล้านบาท บอกตอนนี้อยากนั่งคุยต่อหน้ากับ “กระติก” จะได้ถามให้คลายสงสัย ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกลัวอะไรถึงไม่พูดความจริง เผยเรื่องแปลก คาด “แตงโม” อาจมาหา ส่วน “เบิร์ด” ยังร้องไห้ทุก 5 นาที ยังทำใจไม่ได้
ยังคงมีปริศนาหลายๆ เรื่องที่ยังแคลงใจประชาชนทั้งประเทศ เกี่ยวกับสาเหตุการเสียชีวิตของนางเอกสาว “แตงโม ภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์” ซึ่งล่าสุดก็มีเรื่องประกันอุบัติเหตุที่นางเอกสาวเคยทำไว้ในรายการ และลงชื่อผู้รับผลประโยชน์คือ “น้องอีสเตอร์” ลูกสาวบุญธรรม ซึ่งก็คือลูกสาวของผู้จัดการส่วนตัว “กระติก อิจศรินทร์ จุฑาสุขสวัสดิ์” โดย 3 สาวเพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยเรียนของแตงโมอย่าง แอนนา ทีวีพูล, ฮิปโป ทีวีพูล และ พุดเดิล ทีวีพูล ได้ออกมาเปิดเผยถึงเรื่องนี้ว่าเป็นเรื่องจริง หากคุณแม่ของนางเอกสาวจะถอนประกันก็คงต้องคุยกับบริษัทประกันอีกที
ฮิปโป : “ต้องเล่าว่าการทำประกันตัวนี้เป็นประกันฟรีจากรายการ ซึ่งในสมัยนั้นฮิปโปทำรายการซุป’ตาร์พาฟินของพี่ธัญญ่า ธัญญาเรศค่ะ เป็นครีเอทีฟ ยังไม่ได้ดูแลพี่โม พี่โมได้เป็นแขกรับเชิญในรายการ กลางเบรกรายการจะมีการมอบประกันเกิดขึ้น เป็นประกันอุบัติเหตุ กรมธรรม์สูงสุด 1 ล้านบาทในกรณีเสียชีวิต ของทิพยประกันภัย ตอนแรกจำไม่ได้แล้ว ลืมไปเลยว่ามีประกันตัวนี้อยู่ จนพี่ธัญญ่าโทร.มาเตือนว่าฮิปโปอย่าลืมแจ้งแม่นะว่าเรามีประกันอุบัติเหตุให้คุณแม่ด้วย 1 ล้านบาทในกรณีแตงโมเสียชีวิต เดี๋ยวเขาจะต้องติดต่อกันมา เราก็ตกใจว่าเออว่ะ จริง มีประกันตัวนี้อยู่ เพราะเป็นประกันฟรีเราก็จำไม่ได้
แม้กระทั่งล่าสุดทราบข่าวเหมือนกันว่าทางพี่กระติกเองก็จำไม่ได้ว่ามีประกันตัวนี้อยู่ ซึ่งในข้อการเขียนผู้รับผลประโยชน์ถ้าในกรณีเสียชีวิตเป็นใคร ซึ่งเขาลงชื่อเป็นน้องอีสเตอร์ ซึ่งเป็นลูกบุญธรรมของพี่แตงโม ก็ตามนั้น แล้วเรื่องของกระบวนการว่าน้องจะจดทะเบียนเป็นบุตรบุญธรรมจริงไหม ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ อันนี้ฮิปโปยังไม่ทราบ แต่เท่าที่คุยกับทางป้าแม่บ้านก็บอกว่าน่าจะยังไม่ได้เซ็นแบบถูกต้องตามกฎหมายว่าเป็นบุตรบุญธรรม ดังนั้นตอนนี้ก็ต้องรอต่อไป เพราะว่าฮิปโปให้เบอร์ของคนที่เป็นคนดูแลประกันชิ้นนี้อยู่ให้ทางพี่ยศ พี่ชายพี่แตงโมไปแล้วค่ะ เพราะตอนนี้แม่ไม่รับสายฮิปโปเลย
คือยังไม่ได้คุยกับแม่แค่เรื่องประกัน แม่รู้ในรายการพร้อมกัน แม่เขาก็ถามฮิปโปว่าทำไมตอนแรกบอกว่าไม่มี แล้วทำไมตอนนี้มี คือเราจำไม่ได้จริงๆ เพราะประกันตัวนี้ทำตั้งแต่เดือนเมษายนปีที่แล้วตอนถ่ายรายการ เราก็ลืมไปเลย เพราะเรามอบประกันให้กับทุกคน ดาราเป็น 10-20 คน แล้วบางคนไม่รับ ก็ต้องเป็นคนเจ้าของอาชีพ ก็เลยกลายเป็นว่าฉันจำไม่ได้จริงๆ ฉันลืมไปแล้วด้วยว่ามีตัวนี้ และฉันก็ไม่รู้ว่าตอนนี้เอกสารตัวกรมธรรม์เล่มจริงอยู่ที่ใคร ส่วนเรื่องการสอบถามทางทิพยประกันภัย เราให้ทางคุณพี่ชายกับคุณแม่โทร.สอบถามเลย เพราะอันนี้มันเป็นเรื่องลึกแล้ว เขาต้องสอบถามเรื่องเพิ่มเติม แต่เรื่องประกันนี่ในรายการทุกคนรู้หมดค่ะ”
บอก “กระติก” เซ็นเป็นพยาน เชื่อไม่น่าเกี่ยวเรื่องฆาตกรรม
ฮิปโป : “คนที่เซ็นเป็นพยานน่าจะเป็นพี่กระติก เพราะว่าเขาต้องเซ็น แต่เหมือนรายการมันชุลมุนมาก ถ้าใครเคยทำรายการทีวีจะรู้ว่ามันจะมีส่วนต่างๆ ก็มีคนเดินผ่านไปผ่านมา แต่ถ้าคนที่เซ็นเป็นพยานน่าจะเป็นพี่กระติก”
แอนนา : “ซึ่งกระติกก็รู้”
ฮิปโป : “รู้ แต่น่าจะจำไม่ได้ เพราะพี่กระติกให้เหตุผลว่าคอนเทนต์รายการ”
แอนนา : “เมื่อวานนี้พี่หนุ่ม (กรรชัย กำเนิดพลอย) โทร.มา แอนนาบอกว่าอยากออกรายการ ถ้าจะออกอีกรอบนึงก็คือออกกับกระติก เพราะเรามีคำถามแค่กับกระติกคนเดียว แล้วเหมือนกระติกบอกว่าเรื่องประกัน กระติกคิดว่าเป็นคอนเทนต์ แต่กระติกเซ็นเป็นพยานนะคะ”
ฮิปโป : “น่าจะเป็นพี่กระติกเซ็นเป็นพยานถ้าจำไม่ผิด แล้วสุดท้ายเหตุการณ์นี้เราไม่รู้ว่ามันจะเป็นอย่างไรต่อ เพราะตอนนั้นมันเป็นกรมธรรม์ฟรีที่เขาคุ้มครอง 1 ปี ใครจะคิดว่ามันจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ก่อนหนึ่งปี ทางกรมธรรม์เขาติดต่อมาทางพี่ธัญญ่า แล้วเขาก็ส่งเบอร์มา เราได้ส่งต่อให้พี่ยศกับแม่ต่อเลยให้เขาดำเนินการต่อเลย แต่เท่าที่ทราบจากคนขายประกันเขาบอกว่าถ้าเกิดไม่ได้เซ็นถูกต้องตามกฎหมายว่ารับเป็นบุตรบุญธรรม ประกันตัวนี้ก็น่าจะไม่ได้ ดังนั้นเงินประกันน่าจะตกที่อยู่ที่คุณแม่คนเดียวเท่านั้น ซึ่งที่คุณแม่จะทำเรื่องถอนประกัน อันนี้ไม่แน่ใจว่าจะถอนได้ไหม เรื่องของประกันฮิปโปไม่ทราบจริงๆ ต้องถามทางทิพยประกันภัยเลย แล้วพอมีประเด็นนี้ขึ้นมาหลายคนก็จะสงสัยว่าจะเกี่ยวกับคดีฆาตกรรมหรือเปล่า จริงๆ ฮิปโปว่าไม่น่าเกี่ยว เพราะตอนนั้นพี่โมเขาเป็นคนพูดเองว่าเซ็นให้อีสเตอร์แล้วกัน”
แอนนา : “คือโมเป็นคนที่รักลูกมาก โดยไม่คิดว่าแม่ของลูกเป็นใครเป็นยังไง เขาแยกส่วน ในส่วนของลูกโมเขาดูแลเต็มที่ อะไรก็ตามจะอีสเตอร์ตลอด ถ้าพูดถึงคนที่เขาห่วงที่สุดน่าจะเป็นอีสเตอร์ ซึ่งตอนนี้สังคมต้องแยกกันระหว่างอีสเตอร์กับตัวแม่ เพราะว่าอีสเตอร์อยู่ภายใต้การดูแลของโมตลอด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียนหนังสือ การเรียนออนไลน์ การเอาเข้าโรงเรียน ตอนนี้น้องจะเข้าป.1 เลยเหมือนกับต้องดำเนินการทุกอย่างโดยผ่านแตงโม คือโมเป็นคนจ่ายค่าเทอม จ่ายทุกอย่างหมด และดูแลประดุจลูกแท้ๆ”
ฮิปโป : “แต่คิดว่าเงินประกันก้อนนี้ไม่น่าจะมีส่วนในเรื่องของคดี เพราะตัวเขาเองยังคิดว่าเป็นคอนเทนต์รายการ แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าเอกสารตัวจริงที่ส่งมาที่บ้านใครเป็นคนเก็บไว้ คิดว่าน่าจะอยู่ที่บ้าน แต่เรื่องเอกสารต่างๆ ในบ้านเราไม่ยุ่ง ที่เข้าบ้านล่าสุดเพราะเป็นห่วงแค่น้องแมว 4 ตัวว่าจะอยู่ยังไง เพราะว่าโมเป็นคนรักแมวมาก อย่างที่ทราบว่า 3 ตัวอยู่ที่พี่แอนนา อีก 1 ตัวอยู่กับคุณเบิร์ดแฟนของพี่โม”
ปัดไม่รู้ “แตงโม” มีปัญหาอะไรกับ “กระติก” ถึงอยากเปลี่ยนผู้จัดการ
แอนนา : “เรื่องมันเกิดขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งทางฝ่ายอดีตผู้จัดการให้สัมภาษณ์มันก็จะตีออกมาเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นที่บอกว่าไปสถาบันนิติเวชไม่ทัน ซึ่งแอนนาไปหลังเขาด้วยนะ เจอเขาและยังเข้าไปเคลียร์กับเขาวันนั้น แต่เราไม่เข้าใจว่าทำไมเขาไม่พูดตรงๆ ว่าไม่กล้าสู้หน้าแม่ หรือไม่พร้อมที่จะเห็นโม แต่เขาเลือกที่จะบอกว่าไปไม่ทัน เราพูดตรงๆ ว่าปฏิกิริยาเขาผิดแปลกจากมนุษย์ทั่วไปหลายอย่างมาก การพูดมันไม่ปกติ
วันที่บอกว่าได้เคลียร์ใจกับเขา แอนนาอยากเล่านะ แต่อยากให้เขายืนอยู่ตรงนี้เพื่อที่จะได้ถามแต่ละข้อเลย ทุกคนจะได้เข้าใจ ไม่อยากพูดออกไปแล้วเขาเตรียมคำตอบได้ อยากให้มาเจอกันต่อหน้า ถ้าเกิดมีงานไหนจะจ้างหรือให้ไปฟรีก็ได้ คือให้ไปนั่งคู่กันแล้วถามแบบนี้เอา แต่ถ้าเกิดให้เราออกมาพูดอย่างนี้เราไม่อยากพูด เพราะมันจะกลายเป็นว่าเราพูดอยู่ฝ่ายเดียว แล้วเขาก็นิ่ง แล้วเรื่องก็เงียบ มันมีคำถามเยอะมากในวันที่คุยกัน อย่างเรื่องที่เขาบอกว่าวันนั้นเขาไปในฐานะเพื่อน ไม่ได้ไปในฐานะผู้จัดการ เราไม่รู้ว่ามันคือตรรกะไหนของการคิด แต่เรามองว่าในฐานะของเพื่อนที่ดูแลกันมันสำคัญกว่าด้วยซ้ำ เพราะเพื่อนต้องดูแลเพื่อน”
ฮิปโป : “ถ้าพูดในฐานะเพื่อนสนิท เขาบอกเขาสนิทที่สุดของเพื่อนคนนี้ ดังนั้นเขาต้องดูแลเพื่อนด้วยกันหรือเปล่า หรือในฐานะของผู้จัดการดาราสอบตกตั้งแต่ครั้งแรกเลย ต้องรู้สิว่าดาราไปไหนทำอะไรอยู่ตลอด แต่ทำไมเขาไม่ถาม”
แอนนา : “จริงๆ ช่วงหลังมาตัวโมเองพยายามเฟดเขาออก แต่เขาพยายามที่จะเข้ามา เพราะเขาบอกว่าเขาต้องมีรายได้”
ฮิปโป : “เมื่อ 2 อาทิตย์ก่อน ตอนนั้นได้เจอกับน้องปิงปอง (ธงชัย ทองกันทม) ที่ไปออกรายการแฉด้วยกัน แล้วโมก็พูดขึ้นมาว่าฉันถูกชะตากับพี่ผจก.ของปิงปองจังเลย เขาก็จำได้ว่าคนนี้เคยดูแลดาราหลายคน ฉันอยากจะให้พี่คนนี้มาดูแลได้ไหม เราก็เลยถามว่าเธอทะเลาะอะไรกับพี่กระติกหรือเปล่า เธอลองไปถามเขาสิ เธอเคลียร์กันก่อน เพราะฉันก็ไม่กล้าไปถามให้ว่าเขาดูแลใคร เขาสะดวกอยากดูเธอหรือเปล่า”
แอนนา : “พูดเหมือนกัน โมก็พูดกับแอนนาแบบนี้ว่าเธอมาดูแลคิวฉันไหม ดูคิวทุกอย่างของฉันหมดเลย แต่เราก็บอกว่าฉันไม่มีเวลา เธอมีพุดเดิ้ล เธอมีฮิปโป แต่ก็เลยเอามาดูในช่วงแรกก่อน เราเริ่มเข้ามาตั้งแต่เดือนต.ค.- พ.ย. ปีที่แล้ว ส่วนฮิปโปเข้ามาดูช่วงเดือนธันวาคม แต่เราไม่รู้เหตุผลว่าทำไมโมถึงอยากเปลี่ยนผู้จัดการ อันนี้น่าจะเป็นเหตุผลที่เขาสองคนน่าจะรู้กันเองว่าทำไมถึงอยากเปลี่ยนผู้จัดการ เขาพูดหลายครั้งว่าเธอมีใครแนะนำไหม หรือมีใครที่จะดูแลฉันไหม ครั้งแรกมีการถกเถียงกันเล็กน้อยว่ากระติกจะทำอย่างไรต่อล่ะ ฉันก็ได้เงินเดือนจากเธอแค่นี้เองนะน้อยมาก หลังจากนี้ฉันจะทำอย่างไรต่อ โมก็ได้โทร.ปรึกษาแอนนา เราก็บอกว่าฉันไม่ได้หักเปอร์เซ็นต์เธอนะ เธอก็แบ่งให้กระติกสิ ซึ่งตอนนั้นเราไม่รู้ว่ากระติกเขาเป็นทรงนี้ ถ้าเรารู้เราถอดเขาตั้งแต่ตอนแรก แล้วฉันดูแลเอง”
ฮิปโป : “ส่วนหลังๆ เรื่องการทำงาน จะไปรับไปส่ง กินข้าว ดูแล หรือว่าจะให้ดีลรายการก็จะเป็นทางเรา ถ้าพี่ๆ เห็นคือเราจะอยู่ตัวติดกันตลอด คือพี่โมอยากให้เราอยู่ด้วยตลอด เพราะว่าเวลาเจอพี่ๆ สื่อ คือโมอยากทำงานกับเราแค่นั้นเลย เขาบอกมาแค่นี้”
แอนนา : “คือต้องเล่าอย่างนี้ว่าโมรับน้องเป็นลูก แล้วแม่ก็คือกระติก เราก็พยายามที่จะไม่แทรกแซง เขาเคยทะเลาะกันค่อนข้างแรง ตอนนั้นคนที่บอกก็ช่วยมาเคลียร์ให้คืนดีกัน โมเป็นคนที่เชื่อในพระเจ้า เชื่อในโบสถ์ เชื่อในอะไรแบบนี้ ดังนั้นเราก็เลยไม่กล้าที่จะเข้าไปแทรกแซงมาก แต่ถ้าเรารู้ว่าเขาจะมาทรงนี้ตั้งแต่แรก เราจะไม่ปล่อยให้เขาดูแลแม้แต่วันเดียว เพราะเราจะรู้ทันทีว่าไม่ปกติ และมีอีกประเด็นนึงนะที่ว่าสรุปแล้วกระติกไปรับเงินมาหรือเปล่า อันนี้เราขอพูดออกตัวเลยนะ ว่าเราไม่รู้ ต้องเช็กสเตทเมนต์ของกระติกดูว่ามีเงินเข้าแปลกๆ ไหม ถ้ามันมีเงินเข้าแบบเป็นก้อน อันนั้นค่อยไปถามดูว่านี่เงินค่าอะไร คือถ้ามาถามเราว่าอันนี้เป็นงานหรือเปล่า หรือว่าไปกินข้าวเปล่าๆ เราตอบไม่ได้”
ฮิปโป : “ใช่ เพราะว่าเราทั้งสามคนอยู่ในส่วนของการทำงานในวงการบันเทิงแค่นี้เลย ส่วนงานอะไรไม่รู้อื่นๆ ขึ้นอยู่ที่พี่กระติกทั้งนั้น”
แอนนา : “ลองเช็กสเตทเมนต์กระติกดู เราว่าเห็น แต่อยู่ที่ว่าเขาจะเช็กกันตอนไหน หรือเช็กเมื่อไหร่ เพราะสเตทเมนต์มันลบออกไปไม่ได้”
เชื่อ “กระติก” พูดความจริงไม่หมด
ฮิปโป : “ถูกค่ะ ยังคงเชื่อเหมือนที่พี่หนุ่ม กรรชัยพูดในรายการโหนกระแสนะว่าเหมือนให้การพิเรนทร์จนเป็นพิรุธ คือไม่รู้ว่าเขากลัวอะไรกันอยู่”
แอนนา : “แอนนามองว่าทางฝั่งคุณปอเขาพูดเหมือนคนปกติ แต่พอฝั่งกระติกพูดอย่างเมื่อวานที่พูดกับแม่ ว่ายน้ำไม่เป็น แม่ (เสียงสูง) แล้วก็เถียง เขาเสียใจจริงๆ เหรอ ถ้าเขาเสียใจแล้วทำไมเขาแสดงกับแม่แบบนั้นนั่นคือแม่นะ แม่คือคนที่เป็นแม่โมนะ เรายังไม่กล้าเลย”
ฮิปโป : “และอีกหลายต่อหลายอย่างมาก เช่น ต้องหันไปถามพี่ปอว่าไหว้แม่สิ คือเรื่องบางเรื่องคนปกติมันน่าจะคิดเป็นตั้งนานแล้ว แต่ทำไมถึงต้องหันไปถามคนโน้นคนนี้”
แอนนา : “มีอะไรหรือเปล่าที่กระติกอยากบอกเราแล้วยังไม่ได้บอก พูดได้ กระซิบได้ บอกพี่หนุ่ม กรรชัยก็ได้ หรือบอกใครมาก็ได้ บอกมาว่าเกิดอะไร ก็พร้อมจะรับฟัง ถามว่าถ้าเราเป็นคนในครอบครัวโม จะรับคำขอโทษเขาไหม ทรงนั้นใครรับได้ล่ะ รับไม่ได้หรอก ให้เล่าเหตุการณ์ก็บอกให้ถามตำรวจ จะให้ถามอะไรนักหนากับตำรวจ คือรู้ว่าเล่าให้ตำรวจฟังไปแล้ว แต่ทำไมล่ะ จะเล่าความจริงมันเล่ากี่รอบก็ได้ มันก็จะเหมือนเดิม แต่กลัวการเล่าต่อหน้าสื่อหรือเปล่า อย่างนั้นก็ลองไปเล่าต่อหน้าใครสักคนนึง นักข่าวทีละคนก็ได้ เล่าไปเลย 10 รอบ ดูสินักข่าวจะได้ข่าวเหมือนเดิมไหม ก็ไม่แปลกที่แม่จะไม่รับคำขอโทษ ในขณะที่ทุกคนเขาเล่าได้หมดเหมือนเดิม ทำไมมีอยู่คนเดียวเนี่ยเล่าไม่ได้ พูดออกมาไม่ได้เป็นเพราะอะไร”
ตอนนี้สังคมมองว่าที่กระติกพูดออกมาแต่ละคำเป็นการฆ่าตัวเอง
แอนนา : “เขาต้องมีกระจกส่อง แล้วบอกกับเขาว่าสิ่งที่เขาพูดมันไม่ได้มีความจริงใจออกมามากพอที่เราจะเห็นน่ะ ถ้ามันมากพอเราเชื่อว่าประชาชนจะเห็น วันนั้นที่เราเคลียร์ใจกันน่ะ แอนนาพูดเลยนะ คุยแค่ประมาณ 15 นาที แอนนาเคลียร์แล้วว่าไม่ปกติ คือฉันเคยคิดว่ากระติกเป็นคนในแบบที่ฉันคิดมาตลอด ที่โมไว้วางใจ ที่เอาลูกเขามาเลี้ยง แต่พอวันนั้นได้คุย 15 นาทีฉันเคลียร์หมดเลยว่าไม่ปกติ ถึงได้บอกว่าถ้ากระติกพร้อม เราพร้อมนะ ไปตรงไหนก็ได้ที่คนเยอะๆ สื่อเยอะๆ ที่เธอจะสามารถพูดออกมาได้
เราจะถามเธอทีละจุด จะถามเธอทีละข้อว่าทำไมเธอพูดแบบนี้ ทำไมเรื่องนี้เธอให้เหตุผลแบบนี้ เธอเสียใจแบบนี้จริงเหรอ เธอไล่เรากลับทำไม เหตุผลมันใช่หรือเปล่าที่เธอบอกว่าเราเป็นนักข่าว เราเป็นเพื่อนโมนะ ถึงเราจะเป็นนักข่าว ถ้าเราเป็นอาชีพอื่นที่ไม่เกี่ยวกับการดำน้ำหรืออะไรก็ตาม เราไม่สามารถมาได้เลยใช่ไหม ณ ที่เกิดเหตุ และอยากรู้เหมือนกันว่าที่เธอบอกว่ากลับไปดูที่บ้าน แล้วป้าแม่บ้านก็อยู่บ้าน ทำไมเธอไม่โทร คือมันย้อนแย้งไปหมด มันมีเหตุการณ์หลายเรื่องที่รู้สึกว่าเขาไม่ได้เตรียมมาเหรอ อุตส่าห์ไปเตรียมตั้งหลายชั่วโมงนะกว่าจะมาให้สัมภาษณ์อีกรอบนึงน่ะ”
ฮิปโป : “หายไปเกือบ 2 วันเลยเนอะ”
แอนนา : “วันที่โทร.คุยกับแอนนาเขาก็ไม่ร้องไห้ คือเขาก็ร้องแบบที่พี่ๆ เห็นกันน่ะ ร้อง 3 วิ เสียงปกติ 3 วิ เท่าที่รู้จักเขามา เราก็ไม่เคยเห็น เรายังคิดอยู่เลยว่ายังมีอาการมึนไวน์ค้างอยู่หรือเปล่า หรือเสียใจจริงๆ คือเราไม่อยากไปตอกย้ำอะไรมาก แต่เราอยากแค่ว่ากระติกมาเจอเราก็ได้ เราสัมภาษณ์เลย เดี๋ยวเราจะถามทีละข้อ สิ่งที่เราคาใจอยู่เดี๋ยวเราจะถามให้ คือตอนนี้เราไม่ได้คาใจคนอื่นเลย นอกจากกระติกคนเดียว เพราะคนอื่นเราไม่สนิท และเรามองว่าถ้าคนอื่นจะพูดในบริบทไหนก็ตามเขาไม่ได้สนิทกับโมมาก ดังนั้นเขาพูดได้หมดแหละ แต่มันก็อยู่ในคำให้การไป แต่กับกระติกเรามองว่าเขาเป็นแม่ของน้อง ซึ่งโมรับเป็นลูก ซึ่งมันมีความเชื่อมโยงที่มากพอสมควร ถ้าพูดถึงน่าจะสนิทกว่าแอนนา น่าจะสนิทกว่าฮิปโป น่าจะสนิทกว่าทุกคน ถึงขั้นใส่เสื้อผ้า คือเสื้อผ้าชุดไหนสวยก็เห็นอยู่ที่กระติกทุกชุดอยู่เหมือนกัน ดังนั้นมันก็ต้องมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งต่อกัน
เมื่อคืนแอนนาก็ได้ดูที่แซน (วิศาพัช มโนมัยรัตน์) ไลฟ์ กับแซน แอนนาก็ไม่ได้ติดใจอะไรมาก แต่แอนนาก็คิดว่าแซนไลฟ์ก็ดีนะ เพราะอย่างน้อยคนได้ออกมาเห็นว่าเขาออกมาพูด แล้วคนจะจับเองว่าใช่ไม่ใช่ แต่กระติกเงียบเลย ถามว่าในฐานะเพื่อนแตงโม พอดูแซนไลฟ์แล้วรู้สึกยังไงเหรอ (พยักหน้าพร้อมกับฮิปโป) ประมาณนี้ค่ะ”
บอกสงสัย “กระติก” จะรับคำต่อว่าแรงๆ ไม่ได้จึงออกจากกรุ๊ปไลน์
แอนนา : “อาจจะไปพูดแทงใจดำเขาแหละ ทั้งชีวิตเขาคงไม่เคยเจออะไรแรงๆ”
พุดเดิล : “คือตอนที่เรารู้ข่าว คนก็บอกว่าลองโทร.หาพี่กระติกหน่อย เพราะมันมีเรื่องแบบนี้มาในเพจๆ นึง”
แอนนา : “พุดเดิลเขาเห็นเพจก่อน แล้วเขาบอกว่าแอนนาเช็กสิ แตงโมตกน้ำจริงไหม ก็เลยโทร.หากระติก กระติกก็โทรกลับมาว่าเธอรู้ได้ยังไง คำถามแรกแทนที่จะบอกว่าจริง มาช่วยหน่อย แต่บอกเธอรู้ได้ยังไง”
พุดเดิล : “พอจากนั้นมาก็ไม่มีการคุยอะไรกันในกรุ๊ปเลยนะคะ พอวันเสาร์เราเจอศพพี่แตงโมตอนบ่ายโมง พอเสร็จบ่ายสองปุ๊บหนูก็ทักไปหาเลยว่าพี่กระติกไม่สงสารเพื่อนพี่เลยเหรอ เขาก็ยังไม่ตอบนะคะ จนหนูแท็กชื่อเขาไปอีกรอบนึง บอกว่าพี่ใจดำมากเลยนะไม่มาดูเพื่อนพี่เลย พอวันรุ่งขึ้นพี่กระติกก็ออกจากกรุ๊ปทันที พอวันที่มาเจอเขาที่โรงพยาบาลตำรวจ เขาก็มาเจอพี่แอนนา เขาก็ฝากบอกว่ามาพูดแบบนี้ได้ยังไง คนกำลังเสียใจอยู่ มาว่าทำไม เขาฝากมาด่า ความรู้สึกคือเราโกรธแทน คือพวกเรามารอกันที่ท่าน้ำทุกวันเลย พฤหัสบดีถึงวันเสาร์มานอนรอกันถึงตี5”
แอนนา : “3-4 คนเนี่ย มีโม อมีนา มีฮิปโป มีแอนนา มีพุดเดิล มีเบิร์ดแฟนโม แล้วก็เพื่อนอีก 13 คน สมมติโมหายตอนประมาณ 5 ทุ่มกว่า แอนนาไปถึงที่เกิดเหตุกับฮิปโปเที่ยงคืน แล้วก็อยู่ลากกันมาจนถึงเช้า แล้วกลับไปแยกย้ายทำงาน และกลับมาใหม่ อันนี้คือเพื่อนนะคะ เพื่อนที่ไม่ได้สนิทขนาดกระติก แต่เพื่อนอย่างกระติกที่สนิทมากๆ กลับบอกว่าดูหาแล้วเต็มที่ หนูถามจริงๆ เลยนะ ให้ประชาชนช่วยกันคิด เอาเวลาบอกหน่อยว่าวนเรือกันนานเท่าไหร่ แล้วทำไมถึงเข้าฝั่งกันมา หนูถามพี่ๆ ทุกคนเลยถ้าเพื่อนพี่สนิทพี่หาย หรือคนหายไปคนนึงลงไปในน้ำ พี่จะวนแค่ชั่วโมงเดียวหรือสองชั่วโมงไหม เป็นหนูวนถึงเช้านะจนกว่าจะเจอ หนูอยู่ไม่ได้ เพราะมันคือชีวิตคนๆ นึง เราคิดตามหลักของมนุษย์ทั่วไป เขาจะบอกว่านักประดาน้ำมาแล้วช่วยได้ แต่นักประดาน้ำไม่ได้รู้จุดที่หาย”
เผยอาจจะว่ายน้ำเป็น แต่ไม่เก่ง
แอนนา : “เมื่อวานเขาบอกว่าว่ายน้ำไม่เป็นเหรอ ชูชีพมี แซนบอกมีบนเรือ ไม่ต้องว่ายน้ำเป็นก็ได้ ใส่ชูชีพแล้วโดดลงไปเลย เธอต้องรู้สิ เกิดมาทั้งชีวิตต้องรู้ว่าชูชีพมันช่วยให้เธอไม่ตายได้ อย่างน้อยลงไปจะได้รู้ว่าควานเจอไหม ไม่เจอหรือยังไง ส่วนที่มีคลิปว่าเขาว่ายน้ำได้ คือการว่ายน้ำของเขาถ้าว่ายเล่นๆ อาจจะว่ายได้ แต่ถ้าว่ายจริงจังเพื่อช่วยเพื่อนอาจจะไม่ได้”
ฮิปโป : “ตอนไปที่ท่าครั้งแรก รีแอ็กคือไม่มีร้องไห้ แต่หน้าตาเหมือนตื่นตกใจ หรือเครียด หรือกลัวอะไรสักอย่าง”
แอนนา : “เสียงเขาก็กังวลอยู่”
ฮิปโป : “เขาบอกว่า ฉันไม่รู้ฮิปโป ฉันไม่เห็นว่ามันตกอีท่าไหน ฉันไม่รู้ แบบนี้เลย แล้วให้ทำความรู้สึกยังไงล่ะ หนูใจร่วงไปตาตุ่มแล้วนะ จะรอดไหมๆ แล้วอยู่ตรงไหน เป็นยังไง เราวิ่งเหมือนคนบ้า หนูวิ่งไปทุกโป๊ะ แต่ทำไมเขาอยู่ที่โป๊ะเดียวหนูก็ไม่เข้าใจ พอเจอเฟกนิวส์ว่าเขาอยู่ตรงนี้ พี่เบิร์ดก็วิ่งไป พวกเราวิ่งไปดูสิว่าเป็นยังไง วิ่งแบบนี้เหมือนคนบ้า วิ่งวน”
แอนนา : “จุดธูป จุดอะไรเราทำหมดเลยนะ แต่ไม่รู้ว่าทางนั้นเขาทำอะไรบ้าง”
บอกยังสงสัยเรื่องโทรศัพท์และเรื่องการไปปัสสาวะท้ายเรือ
แอนนา : “ภาพเงาสะท้อนในแว่นตาแตงโมมีคนใส่ชุดว่ายน้ำ เห็นค่ะ คือเรื่องมันแปลกๆ ไปหมดแล้ว หนูถึงได้บอกให้เขาเล่ามากันเยอะๆ และเรื่องเวลาในไอโฟนที่คุยกัน สรุปไม่ใช่เวลาเดียวกันค่ะ เป็น 4 ทุ่มกว่า น่าจะเป็นเวลาที่โมใกล้ตกน้ำแล้วตอนตอบไลน์เรา แล้วอีกเรื่องที่ยังสงสัย เขาบอกว่าเขาไม่รู้ว่าโมไปฉี่ตอนไหน แล้วโทรศัพท์อยู่ไหนล่ะ ทำไมโทรศัพท์ไม่อยู่ที่โม โทรศัพท์ฝากใคร ฝากกับแซนเหรอ หรือว่าฝากกระติก อันนี้อยากฝากไปถามด้วย เพราะว่าปกติโมไม่ฝากกับคนที่ไม่สนิท ดังนั้นโมน่าจะฝากไว้กับกระติก แล้วทำไมกระติกถึงไม่รู้ในเมื่อเขาฝากโทรศัพท์ก็ต้องรู้สิว่าเขาต้องไปไหนสักทีหนึ่ง ถามว่าแตงโมอั้นฉี่ได้ไหม อั้นค่ะ”
ฮิปโป : “ที่สุดค่ะ”
แอนนา : “โมเป็นคนอั้นฉี่ค่ะ คือนั่งเรือวันก่อนที่ไปนั่งเรือวันที่ 15 ที่ผ่านมา นางปวดฉี่นางก็ไม่เข้านะ นางขึ้นตั้งแต่ 6 โมงเย็น”
ฮิปโป : “รู้สึกว่าจะฉี่แค่รอบเดียว รอบหนึ่งคืออยู่ดีๆ ก็เดินไป เราในฐานะคนดูแลเราจะถามเขาว่า ไปไหน นางบอกไปฉี่เดี๋ยวมา นางเอาโทรศัพท์ถือไปด้วย รอบหนึ่งถือไปด้วย อีกรอบหนึ่งยัดไว้ในกระเป๋า”
แอนนา : “อันนี้โทรศัพท์น่าจะอยู่ไหน”
ฮิปโป : “อยู่ในกระเป๋า แต่ถามว่า ณ ตอนเวลานั้นสิ่งที่เกิดขึ้นเราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจริงๆ แต่โมถ้าจะปวดฉี่ แล้วเรือแคบขนาดนั้น โมจะต้องเธอฉันปวดฉี่ ไปบังให้หน่อย ต้องบอกใครสักคน ถ้ามันมีแค่นั้น”
แอนนา : “จะเปรี้ยวขนาดนั้น คุณพี่เห็นเรือใช่ไหม สภาพเรือคิดว่าคนเราจะกล้าไปนั่งจุดนั้นไหม หนูถามแค่นั้น คือฉี่ได้ แต่โมต้องเมาถึงขั้นที่ขาดสติ ไม่รู้เรื่องอะไรแล้ว แบบไม่รู้เลยว่าตรงนั้นอันตรายมาก”
ฮิปโป : “หรือนางจะต้องเป็นกายกรรมเปียงยาง ค่อนข้างสุดมาก เพราะอย่าลืมนะคะว่าโมไม่ได้ใส่ชุดว่ายน้ำ กระโปรงนางตีลากยาว คำถามคือถ้าฉันนั่งปัสสาวะ แล้วกระโปรงลากกับตรงเรือ”
แอนนา : “แต่เมื่อวานแซนบอกแล้วเราหายคาใจแล้ว เหมือนกับว่าโมให้กระโปรงจุ่มน้ำเปียกไปเลย แล้วก็ฉี่ คือโมใส่ชุดเป็นบอดี้สูท ข้างล่างเป็นกระโปรงยาว จากที่เราฟังเมื่อวานคือไปทั้งกระโปรงลูกไม้ ฉี่ทั้งกระโปรง แล้วให้กระโปรงที่ลากยาวเกี่ยวกับใบพัดไปเลย”
ยืนยัน “แตงโม” มีการฝังยาคุมจริง เรื่องของผ้าอนามัย
แอนนา : “ที่โม อมีนาบอกว่าแตงโมฝังยาคุม ใช่ค่ะ คือโม อมีนากับโมเขาจะคุยกันเรื่องผู้หญิงอยู่แล้ว เพราะสนิทกัน”
ฮิปโป : “แต่พอโมบอกว่าฝังยาคุม นี่ก็มานั่งนึกย้อนดูตั้งแต่ตอนธันวาคมจนถึงกุมภาพันธ์ โมไม่เคยใช้เราซื้อผ้าอนามัยเลย เพราะเราอยู่กับเขาบ่อยมาก ก็ยังไม่เคยเห็นเขาพูดว่าฉันเป็นเมนนะ”
แอนนา : “แล้วก็อีกเรื่องหนึ่งนะคะ ตอนพบศพไม่เห็นกระโปรงแล้ว กระโปรงไปไหนก็ไม่รู้ เรายังหากระโปรงอยู่ ไม่รู้กระโปรงอยู่ไหน หนูถามพี่ๆ ทุกคนจุดที่ฉี่เป็นพี่จะไปไหม จุดที่อยู่ปลายเรือ น่ากลัวมากเลยแล้วไม่มีอะไรจับเลยนะ พี่ไปกันไหม ถ้าพี่ไปกันหนูโอเค ประเด็นที่สองกระโปรงยาวขนาดนั้น ไปฉี่ยังไง แล้วให้กระโปรงลากลงไปในน้ำเหรอ เห็นอยู่ว่าใบพัดอยู่ข้างๆ พี่ฉี่ไปใบพัดมันพัดเอาตรงกระโปรงดึงเข้าไปไม่เป็นอะไรไปเลยเหรอ”
ฮิปโป : “เขาบอกว่าให้ลากไป ก็งงว่าแล้วจะแหวกยังไง แล้วโมมันอยากมีกลิ่นฉี่ติดตัวเหรอ ก็คงไม่เปรี้ยวขนาดนั้น”
แอนนา : “หรือว่านางมือหนึ่งจับกระโปรง มือหนึ่งจับขาแล้วหาอีกมือหนึ่งมาแหวก”
ฮิปโป : “ให้อีกคนช่วยแหวก”
แอนนา : “แล้วกระโปรงมันจะอยู่ยังไงก่อน สาธิตสิ (ทำท่าสาธิต) กระโปรงมันยาว แล้วก็ต้องนั่งฉี่ กระโปรงก็ต้องลากน้ำยาวๆ แล้วกระโปรงก็ต้องถลกขึ้น มือหนึ่งก็ต้องแหวกเพื่อฉี่ เอาปากคาบหรือเปล่าในการที่จะจับ”
ฮิปโป : “นี่ถึงบอกไงว่าต้องเก่งระดับเปียงยาง”
แอนนา : “เราบอกแล้วว่าเราไม่คุยอะไรเยอะ คือเราเชื่อมั่นในตำรวจ ก็ให้ตำรวจเป็นคนพูด จบ ถามว่าเพราะอะไรกระติกถึงกลัวที่จะออกมาพูดอะไรกับใคร คิดว่าน่าจะกลัวความจริงค่ะ ความจริงมันอาจจะน่ากลัว กระติกน่าจะกลัวเรื่องนั้น หนูมีความเชื่อว่าอาจจะเป็นอุบัติเหตุ เพราะว่าตัวแตงโมเองไม่ได้มีนิสัยก้าวร้าวถึงขั้นจะมีเหตุทะเลาะวิวาทกับใครได้ เขาอยู่มากี่ปีนางไม่เคยไปตบไปตีกับใครเขาเลย ดังนั้นมันยาก เราเชื่อว่าเป็นอุบัติเหตุ แต่เป็นอุบัติเหตุแบบไหนล่ะแค่อยากจะรู้ตรงนั้นเอง ส่วนในเรื่องของคนอื่นแอนนาไม่พูดถึง เพราะว่าเราไม่รู้จัก เขาไม่รู้จักเมเจอร์เขา เขาเล่าอะไรมาก็ตามที่ให้ตำรวจจัดการ อย่างที่กระติกเราเน้นย้ำว่าเรารู้จักกันมาก่อน เราดูแลมาก่อน เราเป็นผู้จัดการ เราเป็นอะไรหลายอย่าง เราคาดหวัง”
เผยมีเรื่องแปลกๆ เชื่อ “แตงโม” อาจจะมาหา
ฮิปโป : “วันแรกหลังจากเจอร่างก็เข้าไปดูร่าง เสร็จออกมากลิ่นก็ติดจมูกอยู่ ความที่เรารักเพื่อนก็คุยกับเขา พูดไปเลยว่าถ้าจะตามมาก็ตามมานะ มีอะไรอยากจะสื่อไม่เราก็พี่แอนนามาบอกนะ ถ้าเหงาก็ตามมาก่อนได้นะ มีอะไรก็มาระบายได้ เสร็จปุ๊บตอนที่ฮิปโปกำลังกลับขึ้นทางด่วน อยู่ดีๆ จีพีเอสก็เปลี่ยนกะทันหันให้เราไปอีกทางด่วนหนึ่ง เราก็ขับไปแล้วกำลังเปิดกระจกอยู่ เราก็นึกถึงภาพที่เขากำลังเอาคางเกยกระจก เขาชอบเอาหน้าโต้ลมแล้วก็ชอบพูดว่าเข้าใจแล้วเนอะว่าเวลาเอาหน้าเกยลมแล้วมันมีความสุขยังไง มีอิสระยังไง มันมีความสุขมากเลย ซึ่งถนนเส้นนั้นเลยที่เราคุยกันเรื่องนี้ แล้วเพื่อนเราก็บอกจริงๆ เราจะไปทางด่วนต้องตรงไป มันก็จะถึงเลย แต่อยู่ดีๆ ทางด่วนก็เปลี่ยนไปอีกที่หนึ่ง เราก็สงสัยคงอยากให้เราเห็นแต่ความสุขของเขามั้ง เพราะภาพที่เราเห็นติดตาเราคือภาพที่เขามีความสุขมีรอยยิ้ม รู้สึกสบายใจ รู้สึกเป็นอิสระ เรารู้สึกว่าเขาอยากให้เราเห็นภาพนั้น”
พุดเดิล : “หนูเจอก่อนที่เราไปหาศพวันแรก วันพฤหัสบดีกลับมาประมาณตี 4 - ตี 5 หนูฝันว่าเขามาบอกว่าเขาหนาว แค่นั้นเองค่ะ เขาพูดว่าหนาว แล้วบอกแอนนาเลยว่าแอนนาแตงโมมาบอกว่าเขาหนาว แอนนาก็บอกหรือว่ามันจะไปติดตรงฝั่งไหนเนอะ เราก็พูดกัน พอเสร็จปุ๊บ โอเคเราเจอศพแล้ว พอวันอาทิตย์ผ่านไป 4 วัน หนูเปิดไฟกับเปิดแอร์ไว้ในห้องประมาณ 5 ทุ่ม แล้วหนูกลับมาจากบ้าน หนูออกไปข้างนอกแล้วกลับมาประมาณตี 2 ครึ่ง ไฟที่บ้านมันดับ หนูคิดว่าไฟตก แต่หนูเข้าไปในห้องแอร์ยังติดอยู่ เครื่องปรับอากาศก็ยังอยู่ แต่ไฟตก หนูก็คิดว่าโอเคเขาคงมาเพราะว่าเราชอบแกล้งกัน เวลาพี่แตงโมมาบ้านหนูจะชอบแกล้งปิดไฟ เวลาหนูเข้าห้องน้ำแกก็จะปิดไฟใส่หนูอะไรแบบนี้ หนูก็โอเคเขามา พอวันที่เอาน้องแมวมา”
ฮิปโป : “เสียงแคะจาน 2 รอบ โป๊ะ หนึ่งที ที่บ้านแอนนาเพราะว่าเราเอาแมวของเขามาเลี้ยงเนอะ อุปการะ พอกินข้าวคุยเล่นอยู่ทุกคนก็มานั่งโม้ นั่งเล่นกับแมว ได้ยินเสียงเคาะจานทีหนึ่ง โป๊ะ เงียบไป ทุกคนก็หันไปมอง คงคิดไปเอง ครั้งที่สองคือ โป๊ะ ทุกคนเลย อืม มาแหละสงสัย ได้ยินพร้อมกัน หน้าเหวอเลย เงียบมอง”
พุดเดิล : “ทุกคนจะรู้ว่าพี่โมรักแมวมากๆ ค่ะ”
ฮิปโป : “เขาคงห่วง”
แอนนา : “ถามว่าแตงโมกำลังจะสื่อสารอะไรมั้ย ทุกวันนี้ก็ไหว้ ขอให้เขามีอิทธิฤทธิ์อิทธิเดช มีบุญวาสนามีอะไรก็ได้ที่ทำให้ทุกอย่างปรากฏ”
ฮิปโป : “เพราะหนูก็เข้าใจพี่ๆ ทุกคนตามก็คงเหนื่อย เพราะมันเกิดขึ้นแบบคาใจกันหมดกับสิ่งที่เกิดขึ้น เราอยากให้มันจบซะทีได้แล้ว เพราะทุกคนก็เหนื่อยอยากจะมูฟออนต่อไปแล้ว แต่สิ่งสุดท้ายคือมันคงยังวนทำให้เราคาใจอยู่ เราอยากได้ความกระจ่างแค่นั้นเลย”
แอนนา : “ที่โม อมีนาบอกว่าถ้าเจอกระติก เขาอาจจะพร้อมบวก หนูมองว่าใช้กำลังกับเขาน่าจะไม่ได้ผล แต่การใช้ลูกกรงน่าจะได้ผลกว่า”
ฮิปโป : “เธอบอกเขาว่าเป็น..”
แอนนา : “ไม่ เรามองว่าถ้าเขามีส่วนผิด ถ้าเขาเป็นคนผิดเขาอาจจะสำนึกได้ เพราะว่าขนาดน้ำเย็น คุณงามความดีอะไรของเพื่อนที่ทำให้ขนาดนั้นยังไม่รู้สึกเลย ถ้าเขารู้สึกทรงที่ออกมาจะไม่ใช่ทรงนี้ แต่ถามว่าที่แตงโมเคยออกมาให้สัมภาษณ์ว่าเคยโดนเพื่อนสนิทผู้หญิงคนหนึ่งโกงเงินไป 4 แสน ไม่ใช่คนนี้ค่ะ ยืนยันอยู่ในเหตุการณ์ค่ะ เรื่องนี้นานแล้วหลายสิบปีแล้ว ไม่ใช่คนนี้ค่ะ ตอนนั้นมาในรูปแบบแฟนคลับ แล้วก็เอาบัตรไปกด”
บอกไม่กลัว “กระติก” โกรธ เพราะไม่ได้สนิทกัน
ฮิปโป : “ไม่ได้สนิทเลยนะคะ (หัวเราะ)”
แอนนา : “ถ้าคนที่หนูต้องกลัวเขาโกรธ คือหนูต้องแคร์นะ อันนี้หนูไม่ได้กลัว ก็คือแปลตามตรงตัว”
ฮิปโป : “ก็คือเพื่อนสนิทของพี่แตงโม แล้วก็คนที่ทำงานร่วมกันแค่นั้นเลย”
แอนนา : “ที่ผ่านมาเราให้เกียรติแตงโมมากกว่า แตงโมเป็นคนเชื่อมเรากับเขา แต่ถามว่าเขากลัวอะไรถึงไม่กล้าพูด เขาก็กล้าพูดกับแอนนานะ วันนั้นเขาก็กล้าพูด”
ฮิปโป : “ก็เถียงฉอดๆ เลยนะคะ”
แอนนา : “คือเขาพูดหมดทุกอย่าง แต่ว่าเราอยากให้คำพูดนั้นทุกคนได้ยินจัง เสียดายที่วันนั้นเราบอกว่าห้ามบันทึก แล้วเราก็ไม่บันทึก เราทำตามที่เราพูด เขาพูดเยอะค่ะ ถ้าพูดออกไปก็คือ.. รอพูดพร้อมกันดีกว่า เขากล้าสาบานไหมเหรอ เขาอาจจะถือหรือเปล่า มันอาจจะเกี่ยวกับศาสนาหรือเปล่าที่ห้ามสาบาน สาบานแล้วบาปอะไรแบบนี้ เขาเชื่อในพระเจ้า แอนนาคิดว่าถ้าเขากล้าสาบานต่อหน้าพระเจ้าเราก็เชื่อนะ เพราะว่ามันคือนิรันดร์ ถ้าเขาสาบานไปแล้วผิดคำพูดก็นรกนิรันดร์ล่ะค่ะ
แต่วันนี้โมจากไป เราก็พูดเหมือนคนบ้า เธอช่วยหน่อยนะ กำลังฉันก็ไม่ได้มากพอ กำลังฉันมันก็น้อย เธอช่วยฉันหน่อยนะ ก็จะบอกทุกคืน น้องแมวก่อนนอนแอนนาก็จะเปิดหน้าแตงโมให้เขาดู เขาก็จะมีความสุข นอนหลับได้ แต่ถ้าไม่เปิดแตงโมเขาก็จะมาแล้ว เมี๊ยวๆ แล้ว
เรื่องหมอดูเรารับฟังทุกคำพูด ทุกคนที่มูอะไรแบบนี้ แต่ว่าอยากให้มันเป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์ก่อน เพราะเรื่องนี้ก็ยังเอาผิดคนไม่ได้ เราก็ทำทุกวันให้เขาออกมาพูดความจริง ที่เราทำทุกวันนี้ก็คือให้เขาออกมาพูดความจริงให้ได้ ดูแลหนูด้วยนะถ้าหนูเป็นอะไร (หัวเราะ) เพราะว่าก็กลัวเหมือนกัน”
ฮิปโป : “ปัจจุบันก็คือกลับบ้านต้องมารวมกันก่อน”
แอนนา : “ถามว่ามีคนแนะนำนะว่าไปแจ้งความไหม เพราะเราพูดเยอะเหมือนกัน ก็คิดว่าคงจะไปแจ้งความน่าจะวันนี้ ลงบันทึกประจำวันว่าถ้าเกิดเราเป็นอะไรไปก็เพราะเหตุการณ์อะไรแบบนี้”
เผยสภาพจิตใจของ “เบิร์ด” แฟนแตงโมยังไม่ดีขึ้นเลย
แอนนา : “ไม่ดีเลย คุยทุกวัน โทร.ไปถามทุกวันว่าเป็นยังไงบ้าง กินข้าวหรือยัง นอนหรือยัง”
พุดเดิล : “คือจะบอกว่าพี่เบิร์ดพอพูดถึงพี่แตงโมปุ๊บ 5 นาทีคือไปแล้ว ร้องไห้ตลอด พูดคำว่าทำอะไรกินข้าวหรือยัง แต่พูดว่าแตงโมปุ๊บร้องไห้เลย ทุกครั้งเวลาโทร.ไปหา”
แอนนา : “ตอนนี้เขาอยู่กับเพื่อนค่ะ เขาย้ายออกจากบ้าน อยู่กับเพื่อนแล้วค่ะ”