“ฟ้าใส” เผยคดีฟ้องหมิ่นประมาทกลุ่มคนที่มาบูลลี่ทำให้ตนเสียหายยังคงดำเนินการอยู่ แต่ยังไม่ได้รับการติดต่อจากคู่กรณี แย้มเป็นคนที่เคยร่วมงานกัน แต่ตนไม่รู้สาเหตุว่าทำไมต้องทำแบบนั้น แต่ทำให้ตนเฟลหนัก เกือบเป็นโรคซึมเศร้า ไม่มีงาน ยืนยันเอาเรื่องถึงที่สุด ไม่อยากให้ไปทำกับคนอื่นอีก ลั่นที่เลือกเงียบมาก่อนเพราะมีผู้ใหญ่รับปากจะเคลียร์ให้ แต่กลับไม่ช่วยอะไร
หลังจากที่ “ฟ้าใส ปวีณสุดา ดรูอิ้น” มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2019 เดินหน้าแจ้งความเอาผิดกลุ่มคนที่เป็นเจ้าของเพจ T-Pageant หลังไลฟ์สดบูลลี่ทำให้เจ้าตัวเสื่อมเสียชื่อเสียง ด้วยข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ซึ่งล่าสุดเจ้าตัวก็ออกมาเผยว่ายังไม่ได้รับการติดต่อจากทางคู่กรณี แต่ตนจะดำเนินการต่อแน่นอน เพราะผลจากการไลฟ์สดนั้นทำให้คนเข้าใจตนผิด และเสียโอกาสในการทำงานด้วย
“ตอนนี้รอฟีดแบ็กและฟอลโลว์อัปอยู่ค่ะ ยังไม่มีการติดต่อกลับมาจากคู่กรณีค่ะ ดังนั้นตอนนี้ก็กำลังรอดำเนินการค่ะ ถามว่าเขารู้ตัวไหม หนูคิดว่าน่าจะนะคะ แต่อาจจะมีเปอร์เซ็นต์ส่วนนึงที่ไม่รู้ก็ได้ค่ะ คอมเมนต์ที่หนูรู้สึกว่ามันเกินไปคือจะบอกว่าในหลายๆ อย่างที่เขาพูดออกมามันสื่อให้คนที่ฟังรู้สึกว่าเราเป็นคนไม่ดี ก็เลยรู้สึกว่าอันนี้มันทำให้เราเสื่อมเสียชื่อเสียง และมีผลต่องานในอนาคต รวมถึงกับคนที่ยังไม่รู้จักเราค่ะ ก็จะมีเรื่องของความคิดลบกับเราเลย หนูคิดว่าที่หนักๆ เลยก็หลังจากการประกวดมิสยูนิเวิร์สที่แอตแลนต้าจบแล้ว อันนั้นหนักมากในช่วงปี 2020
ตอนนั้นมันค่อนข้างยากตรงที่ว่า ก่อนหน้านี้เราจะชินกับคอมเมนต์ในเชิงที่บอกว่าฟ้าใสหน้าเหมือนจระเข้ ฟ้าใสอวบเกินไป ฟ้าใสเหมือนคิงคอง อันนี้ก็คิดว่าไม่เป็นไร เขาก็ติๆ ไป ก็ปกติ แต่พอมันมาถึงในเรื่องของเชิงนิสัยไม่ดี เรื่องของไม่มีวินัย เรื่องเป็นนางงามลวงโลก แนวใส่ร้าย แล้วตอนแรกเราตั้งใจว่าจะออกมาเคลียร์ แต่ตอนนั้นเรายังอยู่กับผู้ใหญ่ แล้วผู้ใหญ่บอกว่าไม่ต้อง เดี๋ยวจัดการเอง เราก็เชื่อใจผู้ใหญ่ แต่กลายเป็นว่าผู้ใหญ่ไม่ได้ทำอะไร ณ ตอนนั้นค่ะ ก็เลยกลายเป็นว่าถ้าเราเงียบก็คือเรื่องจริงสิ คนอื่นเขาก็เลยเชื่อกันไปต่อ
มันก็เลยทำให้เรารู้สึกเฟลว่าที่ผ่านมาก็อยู่ในวงการมาพอสมควรก่อนที่เราจะได้มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2019 แล้วตอนนั้นเวลาที่เราทำงานกับใครก็ไม่เคยมีปัญหา เราก็ทำตามกฎระเบียบทุกอย่าง เพราะผู้ใหญ่ไม่ว่าจะเป็นกองไหน กองนางสาวไทย กองมิสยูนิเวิร์ส 2017 ก็ไม่เคยมีปัญหามาก่อน แต่พอมาปีนี้กลายเป็นว่ากลุ่มๆ นึงเขาโจมตี และมีหลายคนเริ่มเชื่อ เพราะว่าเราไม่ได้ออกมาตอบโต้ มันก็เลยทำให้เรารู้สึกเฟลไปเลย”
บอกเจ็บตรงที่เคยเป็นคนร่วมงานกันมาก่อน
“มันทุกข์ใจตรงที่ว่าคนอื่นเชื่อ และที่สำคัญที่สุดกลายเป็นว่าคนที่เรารู้จักนั่นแหละเป็นคนปล่อยข่าวเอง ก็เลยทำให้เรารู้สึกเฟลค่ะ ก็ขอไม่พูดถึง แต่มันมีการแฉจากหลากหลายด้านค่ะ ถ้าย้อนกลับไปดูมันจะมีหลายอย่างมากว่า นัด 9 โมงเช้า แต่ทำไมมาช้า มันก็จะมีคนที่เรารู้จัก แต่ตอนนั้นเหตุการณ์มันไม่ใช่แบบนั้น แล้วทำไมคุณถึงพูดแบบนั้น ก็เป็นคนที่ทำงานด้วยค่ะ
ก็รู้สึกนอยด์ค่ะ เพราะมันไม่ใช่เรื่องจริงและเราก็ไม่รู้ว่าเราไปทำอะไรให้กับคุณ หรือคุณอาจจะไม่โอเคกับเรา เพราะคุณโอเคกับคนอื่นหรือเปล่าก็เลยมาทำแบบนี้กับเรา แต่ในเชิงที่พอคนในกลุ่มๆ นึงทยอยไปกลุ่มของเขา ทำให้คนอื่นคิดว่าสิ่งที่หนูทำมันทำกับทุกคนรอบตัวหนู มันก็เลยรู้สึกเจ็บตรงนี้ค่ะ”
อีกฝ่ายยอมหยุด เพราะตนงัดหลักฐานมาสู้
“พอได้ออกมาปกป้องตัวเองก็รู้สึกโล่ง และขอบคุณที่ยังมีคนที่เปิดใจรับฟังมุมมองของเราด้วยค่ะ พอเราออกมาชี้แจงเขาก็มีการหยุดตอนที่เราบอกว่าเรามีหลักฐานที่พร้อมจะชี้แจง ว่าสิ่งที่เราพูดมันเป็นเรื่องจริง เขาก็เลยจบ เพราะว่าหลักฐานมันสำคัญกว่าคำพูดลอยๆ อยู่แล้วค่ะ ซึ่งหนูคิดว่าถ้าหนูลุกขึ้นมาและเอาหลักฐานทุกอย่างมากองตั้งแต่วันนั้น เราจะไม่มีอาการเกือบเป็นโรคซึมเศร้า เราจะไม่มีจุดที่เฟล ไม่มีจุดที่เราจะหายไปจากวงการ จุดที่เราจะหายไปจากโซเชียล และหนูรู้สึกว่ากว่าหนูจะก้าวข้ามมันมามันเจ็บพอสมควร และไม่อยากให้คนอื่นเจออะไรแบบนี้เหมือนกัน
หนูจมอยู่กับจุดนั้นพอสมควร อย่างที่บอกในปี 2020 โดนกระแสดรามาเล่นงานเลย มีงานน้อยมาก แต่พอตอนปลายปี 2021 จนมาปีนี้ก็เริ่มมีงานเข้ามาเยอะขึ้น และกลุ่มนั้นก็กลับมาโจมตีใหม่ แต่อาจจะไม่ใช่กลุ่มเดียวกับที่โจมตีในตอนนั้นที่เรารู้จัก แต่มันเป็นการโจมตีที่เอาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตค่ะ ตอนนั้นโชคดีที่มีเพื่อน เพราะคุณพ่อคุณแม่อยู่แคนาดาค่ะ เพื่อนก็คอยคุยด้วยตลอด เขาจะพยายามดึงหนูออกจากห้องให้ได้ เพราะว่าเขารู้ว่าหนูชอบไปท่องเที่ยว หรือชอบทำอะไรเดี๋ยวเขาจะทำให้ แต่ตอนนั้นกลายเป็นว่าหนูไม่เอา ไม่ไปไหน ไม่อยากทำอะไร ไม่อยากดูละคร ไม่อยากอะไรเลย คือจะนั่งอยู่เฉยๆ
ปกติหนูจะคุยกับคุณพ่อคุณแม่อาทิตย์ละ 3-4 ครั้ง แต่ตอนนั้นขอเลย อ้างว่าโควิดไม่มีอะไรอัปเดต ก็เป็น 2 อาทิตย์ครั้งค่อยคุย ช่วงนั้นอารมณ์มันดิ่งลง เราก็ไม่เข้าใจว่าเราเป็นอะไร คือเราเคยประกวดตอนมิสเอิร์ธมาก่อน เราก็คิดว่าพอเราทำงานเยอะๆ เราก็จะรู้สึกว่ามันหนัก ก็จะพักสักเดือนนึงก็จะหาย แต่กลายเป็นว่าเดือนนึงกลายเป็น 2-3 เดือน นานขึ้นเรื่อยๆ และพอเรารู้สึกพักเต็มที่กลับมาทำงาน สดใสเฮฮานึกว่าปกติแล้ว แต่พอกลับบ้านก็ดิ่งเหมือนเดิม มันเฟลไปเลย และคนก็เข้าใจผิด พอผู้ใหญ่จะจ้างงานเราเขาก็จะไปดูข่าวใช่ไหมคะ แล้วถ้าข่าวมันออกมาว่าฟ้าใสนิสัยไม่ดี ไม่มีวินัย มาสายตลอดแบบนี้ ก็กลายเป็นว่ากระทบเรา และจะไม่มีใครที่อยากทำงานกับเราด้วย”
บอกตอนนี้ความเชื่อมั่นของผู้ใหญ่ที่จ้างงานเริ่มกลับมาแล้ว
“ก็เวลาที่เราได้รับโอกาสจากผู้ใหญ่ที่อาจจะไม่เห็นข่าว เราก็ทำเต็มที่ในส่วนของเรา และทำให้เห็นว่าสมมติเขามาเจอข่าวทีหลัง เขาก็จะสามารถยืนยันได้ว่าเวลาที่ทำงานกับฟ้าใสไม่เห็นเป็นแบบนี้นี่ ฟ้าใสมาตรงต่อเวลานี่ ก็ตั้งแต่ปลายปีที่แล้วคนที่เคยทำงานกับหนูก็จะออกมาพูดว่าฟ้าใสไม่ได้ทำงานยาก มาตรงต่อเวลา มีวินัย ไม่ได้อ้วนนี่อะไรแบบนี้ (หัวเราะ) ก็เลยกลายเป็นว่าที่ผ่านมาที่เขาโจมตีเราแสดงว่าไม่ใช่เรื่องจริง แฟนคลับหลายๆ คนเขาก็เริ่มเปิดใจที่จะรับฟังว่าฟ้าใสไม่ได้เป็นแบบนั้น ตอนนี้ความเชื่อมั่นเริ่มกลับมา เชื่อว่าน่าจะสามารถฉีกสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีตได้หมดแล้วเหมือนกันค่ะ”
เผยเบื้องตนแจ้งความไปแล้ว 2 คน
“จริงๆ จะบอกว่าเราสามารถแจ้งความได้กับหลายคนที่มาบูลลี่เรา ที่ทำให้เราเสื่อมเสียชื่อเสียง เราทำได้หลายคนมาก แต่สำหรับหนูอะไรที่เป็นอดีตเราก็เดินหน้าต่อแล้ว แต่สำหรับคนที่กลับมาในปีนี้เวลาที่เรากำลังก้าวหน้าไปแล้ว อันนี้เราไม่โอเคแล้ว และถ้าเราปล่อยผ่านมันไปเรื่อยๆ เขาก็จะเคยชิน คิดว่าไม่เป็นอะไร ฉันสามารถทำได้ และเขาจะไม่ทำกับเราคนเดียว เขาจะไปทำกับคนอื่นด้วย ซึ่งหนูไม่โอเค ก็มีคนในคลิปที่พูดใส่ร้ายเรา ทำให้เราเสื่อมเสียชื่อเสียง เบื้องต้นที่ไปแจ้งความคือ 2 คนค่ะ ไม่รู้ว่าคนในคลิปมีชื่อเสียงหรือเปล่านะคะ (ยิ้ม) แต่ก็ตามนั้นค่ะ
ก็ขอให้ดำเนินตามกฎหมายค่ะ ถามว่ารับกระเช้าไหม ก็อยากจะถามเขากลับนะคะ ว่าในตอนนั้นที่คุณพูดไป คุณสนุกปากไป ทำไมคุณไม่คิดว่าคนอื่นเขาจะรู้สึกบ้าง อันนี้ก็อยากฝากถามเหมือนกัน เชื่อว่าต้องมีโอกาสได้เจออยู่แล้ว ก็ต้องรอทางกฎหมายเขาส่งจดหมายไปเพื่อนัดหมายกัน แน่นอนว่าต้องเจอกันอยู่แล้ว จริงๆ เป้าหมายหลักๆ ถ้ามองในภาพรวมอยากจะให้มีการลดไซเบอร์บูลลี่ในสังคม ให้เห็นว่าจริงๆ สิ่งนี้มันไม่โอเค หลายคนอาจจะคิดว่าเราสามารถติได้ ใช่ติได้ แต่ไม่ใช่ติจนข้ามเส้นไป ซึ่งหนูเชื่อว่าการที่หนูดำเนินตามกฎหมายกับกลุ่มนี้จะทำให้กลุ่มนี้จะไม่ไซเบอร์บูลลี่คนอื่นในอนาคตอีก ซึ่งอย่างน้อยเราก็ทีละขั้นตอนไปค่ะ”
