xs
xsm
sm
md
lg

(ชมคลิป) “อี๊ฟ” ร้องไห้ ไม่โดดเดี่ยวเป็นลูกคนเดียวที่รายล้อมด้วยสิ่งที่พ่อแม่สร้างให้ เล่าก่อนไป “พ่อต้อย” เห็นแสงสีเขียว เชื่อจะพาไปที่ที่ดี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“อี๊ฟ” รู้สึกหนักอึ้งไม่ได้อยู่ดูใจวันที่ “พ่อต้อย” จากไป เชื่อพ่อจะให้อภัย เล่าก่อนจากไปคุณพ่อเห็นแสงสีเขียว ซึ่งตนเชื่อว่าแสงนี้จะนำพาไปในที่ที่ดี มั่นใจพ่อกลับมาอยู่กับครอบครัวหลังลูกชาย “น้องมีบุญ” เห็นคุณตาและวิ่งเล่นด้วยกัน ร้องไห้เป็นลูกคนเดียวที่รายล้อมด้วยสิ่งที่พ่อแม่สร้างให้ ทำให้ตนไม่เคยรู้สึกว่าสู้เพียงลำพัง



สูญเสียคุณพ่อ “ต้อย เศรษฐา ศิระฉายา” ไปอย่างกะทันหัน แบบไม่ทันได้เตรียมใจด้วยโรคมะเร็งปอด ทำเอาลูกสาวคนเดียว “อี๊ฟ พุทธธิดา ศิระฉายา”ที่คอยดูแลคุณพ่อมาโดยตลอด แต่กลับไม่ได้อยู่ด้วยกันในวินาทีที่คุณพ่อจากไปรู้สึกหนักอึ้ง ซึ้งอี๊ฟได้เล่าถึงอาการป่วยของคุณพ่อที่เป็นในระยะหลังๆ ก่อนที่จะจากไปให้ทราบว่า….

“ความรู้สึกมันมีช่วงเวลาหลายช่วงเวลาที่เราก็รู้แหละว่าสักวันนึงที่ต้องลากัน ถึงจะคิดว่าทำดีที่สุดแล้ว ทำทุกอย่างแล้ว พร้อมแล้ว มันก็คงไม่พอ คือคุณพ่อทานได้น้อยมาหลายเดือนแล้วค่ะ ช่วงก่อนปีใหม่แต่เขาก็จะดีขึ้นเป็นพักๆ บางช่วงเริ่มสดชื่นก็จะทานได้เยอะหน่อย แล้วก็จะเริ่มทานไม่ได้ ก็จะสลับๆ

จริงๆ ช่วงที่ไม่ทานไม่ได้นานมาก แต่ว่าด้วยความที่ร่างกายมันถดถอยเนื่องจากคำว่าทานได้คือ 8-9 ช้อน แค่นั้นเอง ทานไม่ได้คือไม่ทานเลย หรือทานแค่ 2-3 ช้อนช้อนเล็กๆ แล้วคุณพ่อไม่อยากใส่สายในการให้อาหารเพราะว่าคุณพ่อไม่ชอบ

ในการพยาบาลดูแล บางคนก็บอกว่าทำไมเราถึงไม่บังคับ ครอบครัวเราอยากให้คุณพ่อมีความสุขที่สุด บางทีการบังคับจิตใจคนไข้มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีที่สุดที่ควรทำ เลือกทางที่คุณพ่อสบายใจ เพราะว่าสุดท้ายแล้ว เราก็ยังโชคดีที่ได้ทำให้พ่อมีความสุข เราได้พยายามทำให้พ่อมีความสุขมากที่สุด ฝืนใจบ้างที่ต้องทำตอนกินยา อย่างน้อยวันนี้เราก็ไม่ต้องมานั่งเสียใจว่า รู้อย่างนี้เราไม่บังคับพ่อดีกว่า ไม่อย่างนั้นอย่างนี้ดีกว่า”

ตลอดระยะเวลาที่รักษามา 3 ปี คุณพ่อมีอาการขึ้นๆ ลงๆ ซึ่งที่เข้าโรงพยาบาลไปครั้งล่าสุดก็แค่นัดดูอาการเพิ่มเติมเท่านั้นเอง
“คือมันก็ขึ้นๆ ลงๆ เพราะว่าบางทีเขาก็เหนื่อยมากจริงๆ บางคนเข้าใจว่าพ่อป่วยไม่นาน จริงๆ แล้วคุณพ่อเป็นมา 3 ปีกว่าแล้ว ทุกช่วงเวลามันก็... ตั้งแต่ 3 ปีที่แล้วมันก็มีหนักบ้าง เบาบ้าง แต่จริงๆ ก็ค่อนข้างอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาตลอด อาจจะมาในช่วงหลังที่ต้องมารักษาเพิ่มเติม มันก็อาจจะมีผลข้างเคียงค่อนข้างมาก

ก่อนจะไปโรงพยาบาลครั้งล่าสุด จริงๆ คุณพ่อไม่ได้มีอาการอะไรเพิ่มเติม แต่ที่ไปโรงพยาบาลเพราะตรงกับวันที่หมอนัด และตั้งใจว่าอยากให้พ่อไปสัก 2-3 วัน เนื่องจากพ่อทานไม่ได้และดูผอมลงเยอะมากเลย ต้นอุ้มลอยเลยเพราะเบามาก อี๊ฟก็ยังอุ้มได้เวลาขึ้นเตียง ก็เลยตัดสินใจว่า อย่างน้อยในวันที่หมอนัด เข้าไปแล้ว หมออาจจะให้น้ำเกลือหรือให้สารอาหารหรือวิตามินเพิ่มเติม ให้เขาสดใสสดชื่นขึ้นหน่อย คงคิดว่าเข้าไปสักวัน 2 วัน ก็น่าจะได้กลับบ้าน แผนคือแบบนั้น

แต่ปรากฏว่าพอเข้าไปจริงๆ เขาก็มีเรื่องของเสมหะที่เหนียวข้นมาก และทำให้เขาหายใจไม่ออก ก็มีการดูดเสมหะ และพ่อค่อนข้างนอนราบแล้วไม่สบาย คงอึดอัดหายใจไม่ออก สุดท้ายก็เลยตัดสินใจดูดเสมหะ การดูดมันก็คงเจ็บและทำให้เหนื่อย ความดันก็ตก หมอก็พยายามใช้ยากระตุ้น มันก็ไม่น่าจะตกขนาดที่เขาจะไป แต่ก็คิดว่าคงเป็นความบอบบางของเขาในภาวะที่เป็นอยู่มันมาก เราอาจจะคิดว่ามันอาจจะไม่น่าๆ แต่ว่าเราไม่รู้ว่าข้างในเขาคงเหนื่อยมากแล้ว ก็เลยกลายเป็นว่า ความดันตก และยากระตุ้นไม่ขึ้น”

ไม่ได้อยู่ด้วยกันในช่วงวาระสุดท้ายในชีวิตของคุณพ่อ
“ไม่ได้อยู่ค่ะ พอดีว่าอย่างที่บอกค่ะช่วงที่ผ่านมามันเป็นช่วงที่ยากลำบากพอสมควร นอกจากคุณพ่อ คุณแม่เองก็ค่อนข้างเหนื่อย เหนื่อยเลยแหละ เพราะพ่อไม่กิน แม่ก็ไม่อยากกิน เขาอยู่ด้วยกันมา เขาดูแลกันมา ตอนที่คุยกันว่าเรื่องหมอนัดจะเข้าโรงพยาบาล ก็คุยกันว่าถ้าพ่อไปแค่ 2-3 วัน แล้วเรามีธุระที่จะต้องไปคุยงานที่เสม็ด ก็คุยกันว่าอย่างนั้นพาแม่ไปด้วย เพราะไม่มีใครอยู่บ้าน คิดว่ากลับมาเราก็ไปรับพ่อกลับบ้านนี่คือที่เราคุยกัน

ในวันที่เกิดตอนเช้าเราก็อยู่ส่งพ่อขึ้นรถเรียบร้อย ก็คุยกันว่าพ่อไปหาหมอนะ เดี๋ยวกลับมาเจอกันนะ เดี๋ยวไปรับที่โรงพยาบาลนะคะ พ่อก็โอเค ก็ไม่มีอะไร ดูเหมือนไม่มีอะไร ก็เหมือนที่เคยเข้าๆ ออกๆ แต่ด้วยความที่ปกติเราไปเฝ้าไข้เราจะต้องตรวจ PCR ซึ่งตรวจแล้วเราจะผลัดกันเฝ้าทีละ 5 วัน 7 วัน เที่ยวนี้เราคิดว่าคง 2 - 3 วัน อี๊ฟเลยให้คนดูแลกับผู้ช่วยไปเฝ้า อี๊ฟจะพาแม่ไปพักผ่อนบ้าง พอส่งพ่อขึ้นรถเสร็จเราก็เดินทาง แล้วก็โทร.คุยกันว่าคุณพ่อได้ห้องหรือยัง ก็คุยกันเป็นช่วงๆ ก็ดูไม่มีอะไร

ไม่คิดเลยว่าจะเกิดแบบนี้
“(ครั้งสุดท้ายที่คุยกับพ่อ?) อีฟคุยกับผู้ช่วยค่ะ เพราะว่าคุณพ่อพอตรวจโควิดเสร็จก็นอนพักที่ ER (ห้องฉุกเฉิน) เขาก็ไม่ให้ญาติเข้าไปเฝ้า ก็รอจนได้ห้อง คือช่วงที่ผ่านมาเรามีสิ่งที่เราทำกันมาตลอด เพียงแค่ครั้งนี้ไม่ใช่อี๊ฟที่เป็นคนพาไปเท่านั้นเองเราไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ แล้วพอช่วงกลางคืน ก็ไม่มีอะไร คุยกันครั้งสุดท้าย เราก็เข้าที่พักเรียบร้อย สวดมนต์ แม่ก็คุยว่าโอเคไหม ก็บอกว่าดูเขามีเรื่องเสมหะ ก็คุยกันเรื่องเสมหะไม่มีอะไร แล้วพอตี 2 นิดๆ ผู้ช่วยก็โทร.มาเรื่องความดันที่เอาไม่ขึ้น คุณหมอก็โทร.มาปรึกษาเรื่องการใช้ยากระตุ้นความดัน

ผู้ช่วยก็ถามว่าพรุ่งนี้กลับเลยได้ไหม เราก็บอกว่าได้ จะโทร.ไปแจ้งเรือให้มารับเช้าเลย ก็เตรียมกลับ แต่พอตี 4 โทร.มาใหม่ว่าไม่น่านาน อยากให้คุยเลย ซึ่งเราก็ยังงงๆ ว่าไม่น่าจะไปถึงตรงจุดนั้น แต่พอเราเห็นเขาแล้ว เราก็รู้สึกว่า เราไม่อยากให้เขากังวลใจ หรือทุกข์ใจอี๊ฟก็ได้แต่บอกเขาว่าถ้าพ่อเหนื่อยก็ขอให้พักเลย ไม่เป็นไร ใจก็คิดว่าควรบอกให้เขารอรึเปล่า แต่เราก็รู้สึกว่าถ้าเราพูดแบบนั้น เราก็คิดว่าเขาคงไม่โอเค แม่ก็พูดเหมือนกันว่า พ่อไม่ต้องห่วงนะ พวกเรารักพ่อมากที่สุด และเขาก็ค่อยๆ หลับไปค่ะ”

รู้สึกหนักอึ้ง เสียใจที่ไม่ได้อยู่ในวันนั้น ไม่มีใครอยากให้เกิด อยากจะพูดให้คุณพ่อรอตนกลับมาก่อนแต่สิ่งเดียวที่ทำได้ในตอนนั้นคือทำให้อีกฝ่ายหมดความกังวลใจแล้วไปอย่างสงบ
เสียใจค่ะ แต่ก็เชื่อว่าพ่อเข้าใจ เพราะว่ามันไม่มีใครรู้ (เสียงสั่น) ไม่มีใครอยากให้เกิด เมื่อมันเกิดแล้วทุกคนอาจจะโทษตัวเอง ใครๆ ก็โทษตัวเอง ตอนแรกก็รู้สึกหนักอึ้ง ทุกคนคงรู้สึกหนักอึ้ง แต่แม่เป็นคนที่เข้าใจมากที่สุด แม่พูดกับอี๊ฟว่าพ่อมีชีวิตที่ดี ดีมากๆ แล้วสิ่งเดียวที่เราทำให้เขาได้ก็คือ ทำให้เขาหมดความกังวลใจ หมดห่วง เขาจะหลับแล้วก็ไม่ควรให้เขาต้องรู้สึกว่าเขาต้องมาโอ๋ใคร หรือมาอะไรอีก เขาคงจะรู้ว่าเราอยู่ได้ เราจะไปต่อได้ เราจะสานต่อชีวิตที่เขาให้ไว้ได้เป็นอย่างดี

มาถึงได้ไปเห็นพ่อ พอได้เห็นเขาดูผ่องใส เขาไมได้ดูเหมือนคนป่วย แล้วเขาก็ดูสงบ ไม่ได้ดูเหมือนช่วงที่เขาลำบาก ต่อสู้ ไม่เหมือนช่วงที่เราผ่านช่วงแย่ๆ กันมา (น้ำตาคลอ)มันก็ทำให้เรารู้สึกว่าพ่อคงไปที่ที่ดีมากๆ และเขาก็คงเหนื่อยมากแล้วจริงๆ เพราะเขาดูสงบและมีความสุขที่ได้หลับ พักสักที คนดูแลก็บอกว่าก่อนที่พ่อจะไป พ่อเห็นแสงสีเขียวอันนี้ก็ไม่รู้ว่ายังไง เขาเห็นแสงสีเขียวเราก็เชื่อว่าแสงนั้นแหละคงเป็นแสงที่นำพาเขาไปในที่ที่ดี”

คุณแม่เข้มแข็งมากๆ
“แม่เข้าใจได้ดีกว่าใครๆ และอี๊ฟคิดว่าสิ่งนึงที่แม่คิดก็คือเราทุกคนทำดีที่สุดแล้ว ถ้าเรารู้เราก็คงไม่ไป มันมีช่วงเวลาที่เราลังเลเหมือนกันว่าเราจะไปดีไหม หรือเราจะอยู่กรุงเทพฯ เราจะยังไงดี แต่บอกตรงๆ ว่าช่วงนั้นอี๊ฟคิดตรงๆ ว่าเราคงต้องใส่ใจแม่บ้าง เพราะแม่ก็ค่อนข้างหลายอย่างเหมือนกัน”

เชื่อคุณพ่อให้อภัย และยังไม่ไปไหน กลับมาอยู่ที่บ้านด้วยกันกับครอบครัวเหมือนเดิม
“ก็พูดกับเขาเหมือนปกติ เขารู้อยู่แล้วแหละว่าเรารักเขาแค่ไหน และอี๊ฟก็รู้ว่าพ่อรักอี๊ฟแค่ไหน เพราะฉะนั้นอี๊ฟเชื่อว่าถ้ามันเป็นความผิดพลาด พ่อก็ให้อภัยได้และอี๊ฟก็รู้ว่าพ่อก็รู้ว่าเรามีความตั้งใจอยากไป เพียงแต่ว่าเขาคงเหนื่อยจริงๆ เหนื่อยเหลือเกิน และมันก็เกิดเหตุการณ์ที่เราไม่ได้คาดคิด เช่น เกิดอาการแทรกซ้อนที่มันเกิดขึ้นค่อนข้างรวดเร็ว ซึ่งสิ่งที่ดีใจมากที่สุดคือเราได้ทำตามสิ่งที่เราตั้งใจกันไว้แต่แรก เราจะไม่ให้พ่อทรมานเลย ซึ่งเขาก็ไม่ได้ทรมาน

ตอนนี้อี๊ฟไม่ได้คิดว่าพ่อไปไหน อี๊ฟยังคิดว่าพ่อยังอยู่กับเรา พ่อยังรับแขก (ยิ้ม) พ่อรู้ว่าคนที่มารักเขา เมื่อวานบอกให้เขากลับบ้าน เขาก็กลับเขาก็อยู่ที่บ้านกับเราแล้วก็อยู่ในที่ที่เขามีความสุข อยู่ในที่ที่เขารู้ว่าทุกคนรักเขาแค่ไหน ทุกอย่างที่ทุกคนส่งมาให้อี๊ฟเชื่อว่าพ่อได้รับแล้วก็ทุกความตั้งใจ ทุกความอาลัยความรักพ่อได้รับ

รวมถึงอันนี้ขออนุญาตแจ้งคนที่ตั้งใจประสงค์จะร่วมทำบุญกับคุณพ่อ และเป็นความตั้งใจของคุณพ่อเพราะพ่อเป็นคนคนไข้ในพระราชูปถัมภ์ เราได้รับความเมตตาเราก็อยากจะช่วยท่านสานต่อพระปณิธานทุกบาททุกสตางค์ที่ทุกคนร่วมทำบุญขออนุญาตนำไปสมทบทุนมูลนิธิภัทรมหาราชนุสรณ์ในพระอุปถัมภ์โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ เพื่อให้ท่านได้ใช้รักษาดูแลผู้ป่วยต่อไป ขออนุญาตงดรับพวงหรีดแต่ผู้ที่สั่งแล้วก็ต้องกราบขอบพระคุณมากๆ เรารู้ว่าทุกคนตั้งใจแล้วทุกคนก็สั่งทันทีเลยที่ทราบข่าว แต่ใครยังไม่ได้สั่งสามารถบริจาคไปที่มูลนิธิได้เลย ไม่มีความจำเป็นที่จะมาผ่านทางครอบครัว แค่นี้ก็ถือว่าเราได้ทำบุญร่วมกันแล้ว”

ด้านหลานรัก “น้องมีบุญ” ยังเข้าใจว่าคุณตาหลับ และยังวิ่งเล่นอยู่กับคุณตาที่บ้าน ยังไม่ทราบว่าคุณตาได้จากไปแล้ว
“มีบุญไม่เข้าใจค่ะ เมื่อกี้เขาก็บอกคุณตาหลับ เมื่อเช้ายังวิ่งตามคุณตาอยู่บ้านอยู่เลย อี๊ฟถึงรู้ว่าพ่ออยู่ในบ้าน เขาก็อยู่กับเรา เราบอกให้เขากลับบ้านกับเราเขาก็กลับ คิดว่าสิ่งที่เขาห่วงมากๆ ก็คือหลานเขาคงเป็นห่วงว่าอี๊ฟจะเลี้ยงลูกได้โอเคไหม (ยิ้ม) ซึ่งอี๊ฟก็บอกเขาว่าไม่ต้องห่วงอะไรที่พ่อหมายมั่นจะยกสมบัติให้มีบุญ ทุกอย่างก็จะเป็นของเขา

พ่อมีพลังของทุกคนที่ส่งมาให้ พลังของครอบครัว เป็นแกนกลาง และเป็นข้อต่อรองว่าจะกินหรือไม่กิน เราจะมีหลานเป็นข้อต่อรอง กินหน่อยจะได้มีแรงเล่นกับหลานนะ พ่อเป็นคนที่รักครอบครัวมากๆ แต่ไหนแต่ไรพ่อทำงานดึกแค่ไหนพ่อก็กลับบ้านทุกวัน กลับมาอุ้มเราตั้งแต่เล็กๆ ก็ทำให้เรารู้ว่ากำลังใจของเขาคืออยากเห็นครอบครัวให้นานที่สุด”

ร้องไห้เป็นลูกคนเดียวที่รายล้อมด้วยสิ่งที่พ่อแม่สร้างให้ ทำให้ตนไม่เคยรู้สึกว่าสู้เพียงลำพัง
อี๊ฟว่าใครที่ได้รับความรักจากพ่อแม่แบบอี๊ฟได้ก็คงต้องเข้มแข็ง (เสียงสั่น) อี๊ฟไม่ได้เป็นลูกคนเดียวที่อยู่คนเดียว (น้ำตาคลอ) อี๊ฟเป็นลูกคนเดียวที่รายล้อมด้วยสิ่งที่พ่อแม่สร้างให้ (น้ำตาคลอ)ดูจากคนที่มาก็ได้ ดูคนที่มาช่วยงานเรา ดูพี่ๆ ทุกคนก็ได้ (เช็ดน้ำตา) อี๊ฟไม่เคยอยู่คนเดียวมันทำให้อี๊ฟผ่านช่วงเวลาทุกช่วง ได้ภาพคำว่าอี๊ฟเป็นลูกพ่อกับแม่ นั้นคือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่พ่อให้เราและอี๊ฟก็ภูมิใจกับมัน (น้ำตาคลอ)

เมื่อวานนี้อี๊ฟได้รับข้อความและโทรศัพท์เยอะมาก โทรศัพท์อี๊ฟแบตหมดทั้งวันไม่สามารถตอบใครได้เลย คือญาติใกล้ชิด ญาติห่างๆ คนรู้จัก แฟนคลับ คนไม่รู้จักกันเลย ทุกทางเลยที่ส่งมา ส่งมาทางญาติก็มี สิ่งหนึ่งที่อี๊ฟรู้ตั้งแต่พ่อมีชีวิตก็คือ พ่อเป็นคนที่ให้ความสุขกับคนอื่น ให้ความรักความเมตตากับเพื่อนร่วมงานในวงการ เขาเป็นคนที่ให้ วันนี้เขาเลยได้รับ ได้รับทุกอย่างเลยที่กลับเข้ามา และอี๊ฟก็เชื่อว่าพ่อได้รับที่ทุกคนส่งเข้ามา ตั้งแต่ช่วงที่พ่อป่วยก็มีคนส่งข้อความมาตลอด ก็พยายามอ่านให้เขาฟัง ตอนนั้นอ่านได้ ตอนนี้อ่านไม่ไหว คิดว่าคงไม่ต้องอ่านพ่อคงได้รับเอง ก็ขอบคุณค่ะ (ยกมือไหว้)”

หลักการใช้ชีวิตที่คุณพ่อสอน “คนแท้ต้องไม่ท้อ คนท้อไม่ใช่คนแท้” และอีกมากมาย สอนจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต
“มีเยอะเลย พ่อสอนจนวันสุดท้าย เยอะมากๆ พ่อเขียนไว้ให้ คนแท้ต้องไม่ท้อ คนท้อไม่ใช่คนแท้ คำนี้เขาเคยเขียนและอี๊ฟจำได้ดี นอกจากนี้ก็จะมีการสอนการใช้ชีวิต พ่อเป็นคนง่ายๆ สบายๆ ถ่อมตัวไม่เคยคิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่ อภิสิทธิ์ชนอะไร นั่นคือทำให้คนเขารักเขา อี๊ฟก็เลียนแบบเขา ใช้ชีวิตง่ายๆ เขาสอนให้อี๊ฟรู้ว่าชีวิตคนเรามันเปลี่ยนแปลงได้ตลอด พ่ออี๊ฟเริ่มต้นจากศูนย์ ขึ้นไปอยู่บนจุดสูงสุด วันหนึ่งปลายทางของชีวิตก็ยังมีความไม่แน่นอนเกิดขึ้น นี่แหละคือสิ่งที่พ่อให้ไว้ เขายังสอนอีกว่าความกตัญญูคืออะไร”

ตั้งใจเก็บร่างคุณพ่อไว้ 100 วัน
“อันนี้คือแผนก่อนนะคะ อี๊ฟคิดว่าช่วงนี้มีโควิด คนก็จะทยอยกันมา ก็เลยคิดว่าเราอาจจะมีการสวดทุกสัปดาห์ ไปจนกว่าจะครบ 100 วันค่ะ”















กำลังโหลดความคิดเห็น