“เล็ก ฝันเด่น” ซัดเดือดมิจฉาชีพเลวทราม แอบอ้างชื่อภรรยาปล่อยเงินกู้ อยากให้กฎหมาย- ภาครัฐ เปิดยุทธการเชิงรุกจัดการคนพวกนี้ ย้ำประชาชนเดือดร้อนจากโควิด ตกงานอยู่แล้ว ยังต้องมาสูญเสียกับสิ่งเหล่านี้ เผยเพิ่งครบรอบแต่งงาน 17 ปี ไม่สวีตแล้ว อย่าเอาไปเทียบกับใคร โอดโคตรกังวลสถานการณ์โควิด 5 ปีกินเงินเก็บ ขายรถ 3 คัน ทรัพย์สินเกินความจำเป็น ลั่นคนจมไม่ลงจะลำบาก
ทำเอาเดือดแทนภรรยาอยู่ไม่น้อย หลังจาก “โบ สุนิตา ลีติกุล” ถูกมิจฉาชีพแอบอ้างชื่อในแอปฯ ปล่อยเงินกู้ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ก็ถูกแฮกไอจี โดย “เล็ก ฝันเด่น จรรยาธนากร” วอนประชาชนระวังด้วย เพราะมิจฉาชีพโกงเงินมีหลากหลายรูปแบบ พร้อมซัดเป็นการกระทำที่เลวทราม ไม่แฟร์ที่ใครต้องมาโดนแบบนี้
“ทางแกรมมี่เขาก็ดำเนินการให้อยู่ครับ แต่ในมุมหนึ่ง ก็อยากจะฝากบอก ว่าการกระทำในรูปแบบนี้มันเยอะมากเลย แต่เขาฉลาด เขาใช้ชื่อจริง นามสกุลจริง แล้ววงเล็บว่าชื่อเล่น ก็อยากเตือนประชาชน ว่ามิจฉาชีพที่จะโกงเราตอนนี้มันมีหลากหลายมาก ไม่ใช่แค่ชื่อดารา ที่ถูกเอาไปใช้ปล่อยเงินกู้ ถ้าเห็นชื่อดารา ให้ตีความหมายไปเลย ว่าเขาไม่มีทางที่จะเอาชื่อเสียงไปใช้ในทางนั้นอยู่แล้ว
ตีไปเลยว่าเป็นมิจฉาชีพ จะได้เป็นการป้องกันตัวเองจากการจะเสียทรัพย์เบื้องต้นได้ดีที่สุด หรือแคปเอาหน้านั้นๆ ไปถามดาราในอินบ็อกซ์ ในคอมเมนต์ หรือในไอจีก็ได้ มันก็จะเป็นการช่วยกันด้วย อย่างน้อยตัวเจ้าของรายชื่อเอง เขาจะได้รู้ว่ามันมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น เขาจะได้ไปดำเนินการต่างๆ เราต้องช่วยกัน สื่อมวลชนเองก็ต้องช่วยกัน ต้องระวังต้องช่วยกันมากๆ เลย”
บอกภรรยาเดือดตั้งแต่รอบก่อน ที่โดนแฮกไอจี
“เขาเดือดมาตั้งแต่ครั้งที่แล้ว ที่โดนแฮกไอจีแล้ว มันเป็นการเห็นแก่ตัวอย่างมาก ที่จะใช้ชื่อบุคคลสาธารณะ เพื่อประโยชน์ของตัวเอง และเป็นประโยชน์ที่ค่อนข้างจะเลวทราม ถ้าคนไม่รู้แล้วเชื่อ ว่าเป็นศิลปินจริงๆ มันก็ไม่แฟร์กับทั้งหมดที่เกิดขึ้นเลย
ส่วนเรื่องความเสียหาย ตรงนี้ผมไม่แน่ใจ แต่น่าจะยังไม่มี เพราะมันยังไม่มีการฟ้องหรือเป็นข่าวออก มันเป็นแค่การแคปภาพขึ้นมา เมื่อประมาณ 3-4 สัปดาห์ได้แล้ว ผมก็ยินดีในใจ ว่าอย่างน้อยสื่อมวลชน หรือการสื่อสารก็คงจะทำให้คนรู้ ว่าจะไม่ตกเป็นทาสของคนพวกนี้ แต่มันอาจจะมีกระบวนการที่ซับซ้อนไปกว่านี้อีก อยากให้หน่วยงานรัฐมาดูแลสอดส่อง ดีกว่าให้ประชาชนโดนแล้วมาฟ้องสื่อมวลชน หรือเอามาลงเฟซบุ๊ก
จริงๆ มันเป็นหน้าที่ใครหน้าที่มัน มีอาชญากรอิเล็กทรอนิกส์เกิดขึ้น หน่วยงานต้องสอดส่อง เพื่อความผาสุกของประชาชน คุณก็น่าจะโทร.มา ว่ามันมีแบบนี้ๆ จริงไหม เขาจะได้รู้ว่ามีหรือไม่มี เขาจะได้ไปดำเนินการต่อได้ ว่ามันมาจากไหน ไม่ใช่ต้องมีผู้ได้รับทุกข์ก่อน แล้วค่อยไปร้องทุกข์ พอร้องทุกข์ค่อยมาเป็นคดี มันต้องมีทั้งเชิงรุกเชิงรับในระบบหน่วยงานราชการ อยากให้จริงจังเรื่องนี้ เพราะตอนนี้ประชาชนก็เดือดร้อนจากโควิด ตกงานอยู่แล้ว ต้องมาสูญเสียกับสิ่งเหล่านี้อีก
เพราะฉะนั้นในบทบาทหน้าที่ที่ท่านมี ท่านทำมันเต็มที่แล้วหรือยัง หรือต้องเป็นฝ่ายตั้งรับรอให้เกิดเรื่อง รอคนมาแจ้ง แล้วค่อยไปสืบสาวราวเรื่อง มันก็หนีไปถึงไหนแล้ว มันถึงวาระแล้วที่ต้องทำอย่างจริงจัง ไม่ใช่พอเรื่องไหนเป็นเรื่องใหญ่ เป็นบุคคลสำคัญค่อยเป็นเรื่อง ไม่งั้นประชาชนก็จะบอกว่า ใช่สิ พอเป็นดารา เป็นนักร้องคดีความไปไวจัง มันต้องมีความเสมอภาคในการให้บริการ ในการดูแลคุ้มครอง
ถามว่าถ้าโดนอีกจะทำยังไง คืออย่างที่บอกเราไม่สามารถที่จะทำอะไรได้มาก เพราะเราเป็นบุคคลสาธารณะ มันอยู่ที่ขั้นตอน ถ้าเกิดขึ้นเรารับทราบ แล้วเราไปแจ้ง พอแจ้งปุ๊บมีการปิดแอ็กเคานต์นั้นเลย ไม่ใช่ต้องรอ 3 วันตรวจสอบ เมื่อผู้เสียหายแสดงตัวตนแล้ว ต้องยื่นที่สน.ไหนก็ได้ โลกมันระบบ 5G แล้ว พอยื่นเรื่องคุณก็ปิดแอ็กเคานต์ไปเลย แล้วก็ไปติดตามต่ออีก ไม่ใช่ปิดแล้วเงียบ ไม่งั้นก็จะมีข่าวโกงเรื่อยๆ จะไปโทษเหยื่อก็ไม่ได้
เพราะฉะนั้นในฐานะที่มีหน้าที่ต้องดูแล ทำมันเถอะ เห็นแก่ประชาชน อย่างเว็บพนันออนไลน์ เปิดมาหน้าเฟซบุ๊กก็เต็มไปหมด ถามง่ายๆ ว่ามันขึ้นแต่เฟซบุ๊กประชาชนเหรอ ตำรวจ ทหาร นักการเมืองเล่น มันไม่ขึ้นเหรอ มันฉลาดขนาดที่ไม่ขึ้นในเฟซของคนที่มีอำนาจการจัดการเหรอ”
ไม่ฝากอะไรถึงมิจฉาชีพ แต่อยากให้กฎหมาย ภาครัฐ เปิดยุทธการเชิงรุก
“ผมฝากไปมันก็เป็นเรื่องน่าหัวเราะของพวกเขาอยู่แล้ว ไม่ฝากอะไรมาก แต่อยากให้กฎหมาย ภาครัฐ หรือผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง เปิดยุทธการเชิงรุกอย่างชัดเจน มันจะได้เบาบางลง”
เพิ่งครบรอบแต่งงาน 17 ปี เมื่อเดือนม.ค. ไม่สวีตแล้ว อย่าเอาไปเทียบกับใคร
“ก็เป็นชีวิตที่โอเคในมุมที่แก่ขึ้น 46 แล้ว เกินวัยกลางคนมาเป็นวัยรุ่นตอนปลาย มันก็เห็นอะไรหลากหลายมากขึ้น ใช้ชีวิตในช่วงอายุเรา ไม่ได้สวีตวี้ดวิ่ว มันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ก่อนรู้จักกัน มันเลยไม่มีอะไรเปลี่ยนไป โลกมันมีความหลากหลาย ฉะนั้นอย่าเอาผม ครอบครัวผม ไปเทียบกับคนอื่น เพราะยังมีความสุขดีอยู่ ถึงวัยที่ต่างคนต่างเร่งทำบุญกันแล้ว
ของขวัญในวันสำคัญก็มีให้ แต่ผมไม่จำเป็นต้องบอกใคร ให้น้อยก็ด่าว่าน้อย ให้เยอะก็ดูขี้อวด เขารู้สภาวะที่เราเป็น ว่าปีนี้มันเป็นอย่างนี้ เพราะในฐานะหัวหน้าครอบครัว เราดูแลหมดทุกอย่างอยู่แล้ว เขาก็จะเห็นว่าเราทำอะไรบ้าง”
โคตรกังวลกับโควิด ขายรถ 3 คัน เอามาจุนเจือครอบครัว เกือบ 5 ปีใช้เงินเก็บ
“โคตรกังวล โควิดยุคแรกที่ผ่านมา เราก็ยังพอทำเนา ว่าปีหนึ่งอยู่ได้ ยังมีเงินเก็บ ไม่กินเหล้า สูบบุหรี่ ไม่เที่ยวผับบาร์ ปีหน้าอยู่ได้ แต่พอปีที่สอง สาม สี่ มันส่งผลทันทีเลย เห็นข่าวเพื่อนๆ ดาราเริ่มขายของ ถามว่าอยากทำไหม ก็อยากทำ แต่ยังพอได้อยู่ เราลดรายจ่ายจากร้อยเปอร์เซ็นต์ เป็น 70 เปอร์เซ็นต์ คือใช้ชีวิตเหมือนเดิม แต่กินทุกอย่างน้อยลง ใช้ทุกอย่างน้อยลง อะไรที่ไม่จำเป็นก็ไม่ต้องซื้อแล้ว ถามว่ามันกระทบกระเทือนไหม เต็มเหนี่ยว ตั้งแต่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ไว้ทุกข์ 2 ปี รับงานน้อย มาเจอโควิดต่อ เกือบ 5 ปีแล้ว กับการใช้เงินเก็บ ที่เก็บมาตั้งแต่อายุ 18 อัลบั้ม 1 ยุค 90 มันไม่เรียกว่าบุญเก่าแล้ว มันเรียกมหาบุญแล้ว (หัวเราะ) มันลดทอนลงทุกวัน ก็หวังว่าโชคดีโควิดหมด พวกพี่ๆ น้องๆ หรือผู้จัด จะให้โอกาสที่จะกลับเข้าไป
ถามว่าถ้าโควิดนานกว่านี้จะเอาอะไรมาขาย คือทรัพย์สินที่เกินความจำเป็น ตอนนี้ขายไปหมดแล้ว (หัวเราะ) รถที่เคยมี 3 คัน เมื่อถึงเวลาก็ต้องแปรสภาพมาจุนเจือครอบครัว เริ่มต้นด้วยการจัดองค์ประกอบสิ่งที่ไม่จำเป็นต่อชีวิตออกไปก่อน เพื่อลุ้นในไตรมาสต่อไป ว่าจะมีงานเข้ามาไหม คนหนักกว่าเราก็เยอะ ยิ่งเราได้เห็นคนที่เราไปช่วยเยอะๆ จะรู้ว่าชีวิตเราแม่-สบายกว่าเขาเยอะมาก บางคนสิ้นเนื้อประดาตัว ข้าว 5 กิโลที่เราไปแจก เหมือนเราให้เขาตันหนึ่ง มันรู้สึกได้ ฉะนั้นเราเคยสุขสบาย เราเรียนรู้มาแล้ว ก็ต้องเรียนรู้ที่จะทุกข์บ้าง ถ้าจมไม่ลงนี่ลำบากแน่”