“ฟ้าใส ปวีณสุดา” เผยถูกบูลลี่จนเกือบซึมเศร้า ดิ่งจนยากที่จะกลับมา อยากให้สังคมตระหนักเรื่องนี้ รับยังไม่มีเวลาตามคดีฟ้องหมิ่น แต่ไม่ปล่อยไว้แน่นอน ให้โอกาสหลายครั้งแล้ว ไม่อยากให้ใครต้องเจอเหมือนตน กดดันเล่นละครเรื่องแรกหวั่นคนไม่อิน วอนเอ็นดูและเปิดใจ
จากนางงามเดินเข้าสู่การเป็นนักแสดงอีกคน สำหรับ “ฟ้าใส ปวีณสุดา ดรูอิ้น” ซึ่งละครเรื่องแรกทำสาวฟ้าใสซึ้งเลย ว่าอาชีพนักแสดงเป็นอะไรที่ยากมาก ทำเอาตนนับถือคนที่มีอาชีพนี้ ก่อนอ้อนขอให้เปิดใจและเอ็นดูตน
“ในเรื่องของงานละครก็มีการปรับตัวเยอะ เพราการที่เราเป็นนางงาม เราก็จะเป็นคนหาข้อมูลต่างๆ แล้วมาบอกว่าเรื่องของเราคืออะไร แต่พอเราเป็นนักแสดงปุ๊บก็ต้องมีเรื่องของอารมณ์เข้ามาด้วยว่าคนนี้ผ่านอะไรมา คนนี้รู้สึกยังไง ระหว่างที่พูดต้องคิดอะไร มีหลากหลายอย่างที่เราต้องพูดค่ะ
ก็ท้าทาย ท้าทายมาก เพราะว่าเราเป็นเจ้าหญิงในอดีตมาจาก 500 ปี ก็ต้องมีเรื่องของภาษาด้วย เรื่องปรับตัวด้วย มีเรื่องของความรักเข้ามาด้วย อย่างที่รู้คือหนูไม่เคยมีแฟน ความรักจะต้องสื่อยังไงผ่านสายตา จะบอกว่าเป็นอะไรที่มีครูเขาสอนเยอะมาก เพราะเรื่องนี้กังวลว่าเราจะทำออกมาแข็งหรือเปล่า ก็จะมีหลายหลายครู สมมติว่าคนหนึ่งที่เรากำลังเล่นด้วย แล้วเขาคล้ายกับอคติของเรายังไง หรือเขามีข้อดียังไง อะไรทำให้เราชอบเขาบ้าง หรือคนที่เราเล่นอยู่เขามีอะไรคล้ายกับคนที่เราชอบหรือเปล่า ต้องจินตนาการขึ้นมา ตัวอย่างว่าจิ้นคนนี้อยู่แล้วจะต้องส่งสายตาแบบไหน ขี้เล่นแบบไหน ต้องจินตนาการเรื่องนี้ อารมณ์ก็มาค่ะ”
อุบตอบพระเอกในจินตนาการ
“เป็นความลับได้ไหมคะ (ต้องมีพระเอกในใจ?) ก็มี เวลาเราดูละครก็ต้องมีคนที่ชอบ ปลื้ม หรือดูละครเรื่องไหนแล้วเขาจิ้น ก็นึกถึงโมเมนต์นั้น ก็จะทำให้เราว้าว มีทั้งคนไทยและต่างชาติ”
นับถือคนเป็นนักแสดง
“ยากจะบอกว่านับถือคนที่เป็นนักแสดงมากขึ้น เพราะว่ามันมีรายละเอียดเยอะ อย่างบทละครที่ต้องแสดงออกมาเป็นคนนั้นเลย ต้องเข้าใจว่าเขาเติบโตมายังไง เวลาพูด 2-3 วันแรก ก็มีปัญหาเรื่องนี้เรื่องเป็นตัวฟ้าใสเกินไป ซึ่งเจ้าหญิงในอดีตเขาต้องไม่มีความขี้เล่น แต่พอหนูนิ่งมันนิ่งเกินไปหรือเปล่า ก็ต้องหาความพอดี และอีกฉากที่ยากคือฉากที่ต้องแสดงออกทางอารมณ์ ในเรื่องการร้องไห้ด้วย ก็มีหลายความท้าทายค่ะ
ส่วนเรื่องพูดคือโชคดีว่าทั้งเรื่อง หนูมีฉากในอดีตค่อนข้างน้อย เลยมีภาษาโบราณค่อนข้างน้อย ไม่มากเท่ากับคนอื่นๆ แต่ก็มีบางคำที่เข้าปากมากว่า แทนที่จะพูดว่าฉัน ก็จะพูดแทนตัวเองว่าเรา ซึ่งคำนี้เข้าปากมากกว่า ก็ตรงกับบริบทของเรื่องอยู่แล้ว”
กดดันตัวเอง กลัวคนดูแล้วไม่อิน วอนเอ็นดูและเปิดใจ
“จริงๆ อาจจะฟังดูแปลกๆ เรื่องความกดดันจากคนรอบข้าง หนูกดดันตัวเองมากกว่า คือหนูชอบดูละคร แล้วมีความคาดหวังตัวเองว่า หนูรู้สึกว่าบางคนเล่นแข็ง เล่นแล้วไม่อิน หนูก็กลัวว่าพอดูตัวเองแล้วจะรู้สึกแบบนั้น แล้วแต่ละคนที่มาเล่นด้วย เขามีความเป็นมืออาชีพสูง เขาเล่นมาหลายเรื่องแล้วเขาดูเป็นธรรมชาติมาก แล้วหนูกลัวว่าหนูจะกลายเป็นคนนั้น ที่เอ๊ะคนดูไม่อินเท่า หรือคนนี้เล่นแข็งจัง กลัวตัวเอง เลยพยายามพัฒนา อย่างวันแรกๆ มัวแต่จะจำบทพูด แต่จริงๆ แล้ว มันจะมีเรื่องคนนั้นพูดอะไร ฟังที่เขาพูดแล้วเราก็พูดออกไป ก็ต้องปรับตัวไปด้วยค่ะ กดดันตัวเองก็เยอะแล้ว หนูเองก็ลุ้นไม่แพ้กับคนอื่นที่เขาติดตามค่ะ ก็อยากให้เปิดใจ ให้เอ็นดูหนูนิดหนึ่งนะคะ เป็นเรื่องแรกนะคะ”
มีภูมิคุ้มกันด้านบูลลี่ตั้งแต่สมัยเป็นนางงามแล้ว
“ตอนเป็นนางงามก็มีภูมิคุ้มกันสูงนะคะในด้านบูลลี่เหมือนกัน หนูคิดว่าเราก็เปิดใจเหมือนกันว่าถ้ากระแสตีกลับจะเป็นยังไง ก็หวังว่าเราทำได้ในระดับหนึ่ง การเล่นละครครั้งแรกก็ฝากทุกคนติดตามและเป็นกำลังใจให้ และถ้าอยากมีอะไรจะแนะนำ ก็แนะนำขอแบบอย่ารุนแรงกับหนูนะ (หัวเราะ) ติได้ เพื่อที่หนูจะเอามาพัฒนาตนเองได้ แต่ไม่ใช่ติเชิงบูลลี่ เหมือนเรากลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้
เรื่องบูลลี่ตอนเป็นนางงามเคยเจอมาแล้ว เรื่องของนักแสดงยังไม่เคยเจอ ละครยังไม่ได้ออนแอร์ ก็น่าจะออนแอร์ในเดือนเมษายนนี้ (หวั่นไหม?) ก็มีหวั่นใจเหมือนกัน เพราะว่าเรายังไม่ได้มีโอกาสดูตัวเองว่ายังไง และความคาดหวังก็ค่อนข้างที่จะเปลี่ยนไป เพราะว่าเวลาถ่ายละคร ก็นึกว่าจะถ่าย 1 2 3 ตามบท แต่จริงๆ เขาถ่ายตามโลเกชั่น ซึ่งต้องบอกว่าถ่าย 3-4 วันแรก ทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร อาจจะมีความรู้สึกว่าเอ๊ะตอนนี้ทำไมเล่นกระโดดจัง ทำไมตอนนี้เล่นแปลกๆ อะไรแบบนี้ ก็หวังว่าโดยร่วมน่าจะออกมาดีคะ”
ถูกบูลลี่น้อยลง รับเคยดิ่งจนยากจะเอาตัวเองออกมาเหมือนกัน
“โดนเยอะมาก หลายปีเลยนะ คือใครที่ฟังความข้างเดียว หรือในข่าวเท็จแล้วเชื่อไป คือเขาไม่เคยเจอเรา แล้วไม่เปิดใจมาดูว่าเราเป็นแบบนั่นจริงไหม แต่เวลาผ่านไป มีผู้ใหญ่ให้โอกาสก็มีการรับงานมากขึ้น เรื่องบูลลี่เรื่องเข้าใจผิดต่างๆ ก็เริ่มลดลง เพราะเขาคงเห็นว่าฟ้าใส่ไม่ได้เป็นแบบนั้นนี่นา
มีท้อช่วงแรก เจอเยอะอยู่แล้ว มีช่วงที่ทำให้รู้สึกเปลี่ยนไปเหมือนกัน หลายคนก็จะทักว่าเป็นโรคซึมเศร้าหรือเปล่า หนูจะคุยกับพ่อตลอด แต่มีช่วงหนึ่งไม่อยากทำอะไร ไม่คุยกับพ่อ ไม่คุยกับใครทั้งนั้น นั่งอยู่กับบ้าน ไม่อย่างทำอะไรทั้งนั้น นั่งอยู่เฉยๆ คือดิ่งเลย แล้วยากที่จะเอาตัวเองออกมา”
โชคดีที่ว่าเพื่อนทักมาว่าเราเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม ณ ตอนนั้นเราแค่รู้สึกว่าเราไม่ได้เปลี่ยนไป แต่เบื่อ แต่เราเข้าใจผิดว่าการเบื่อนั้นมันเหมือนเราอยากพัก แต่มันนานเกินไป มันนานเป็นปี คนเพื่อนทักเราก็เริ่มรู้ตัว ทุกอย่างมันอัดมาเราเก็บมาแต่เราไม่ได้พูดออกไป ทำให้เราคิดว่าเพราะเราเงียบ ก็เลยเข้าใจผิดกันไปใหญ่ ตอนนี้มีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น แน่นอนเหมือนเราประสบการณ์เยอะขึ้นด้วย แต่ก็ไม่อยากให้ใครเจอแบบฟ้าใส”
ถามว่าอะไรที่ทำให้เราก้าวข้าม เกือบจะซึมเศร้า อย่างที่บอกคือการที่เราได้พูดความในใจให้คนที่เราอยากพูดด้วย อย่างในรายการหนึ่งเราก็ได้พูดออกไปแล้ว ทุกอย่างที่อัดเอาไว้ เราก็ได้พูดออกมา นี่คือเรื่องของเราอยู่ที่คุณแล้วว่าจะเชื่อไหม ก็ขอบคุณที่ได้รับฟังคำสัมภาษณ์”
ไม่มีเวลาตามคดีฟ้องหมิ่นประมาท ลั่นไม่ปล่อยให้ลอยนวลแน่นอน เพราะให้โอกาสหลายครั้งแล้ว
“ใช่ค่ะ พอดีช่วงนี้มีงานเยอะนิดนึงเลยยังไม่ได้ตามคดี แต่ก็มีการไลฟ์สดขอโทษ แต่การที่จะขอโทษเราก็สังเกตจากกริยา จากวาจา จากคำพูด แม้จะพูดว่าขอโทษ แต่ความรู้สึกจะรู้ว่าสำนึกจริงไหม โอเคขอโทษก็ได้ แบบนี้ ก็รู้ว่าไม่จริงใจการที่เขาพูดทำให้เราเสื่อมเสียชื่อเสียง เรารู้สึกว่ามีหลากหลายกฎหมายที่จะรองรับเรื่องนี้
หนูให้โอกาสมาหลายหนแล้ว แต่หลายคนทำกับหนูพอสมควร แล้วถ้าเกิดสมมติคนอื่นที่เจอแบบนี้ เขาอาจจะรู้สึกปกติก็ได้ เพราะเขาไม่เคยโดนลงโทษ ก็อยากให้เรื่องนี้เป็นตัวอย่างในอนาคตว่า สิ่งที่คุณพูด คุณสนุกปากแต่มันหมายถึงชีวิตของคนๆ หนึ่งได้ มันอาจทำให้คนหนึ่งเป็นโรคซึมเศร้าได้ ฆ่าตัวตายได้ อยากให้ตระหนักเรื่องไซเบอร์บูลลี่ในสังคมประเทศไทย”
