แม้จะเข้าสู่ปีที่ 2 ของการแต่งงาน แต่ชีวิตคู่ของนักร้องหนุ่ม “ปั๊บ โปเตโต้” พัฒน์ชัย ภักดีสู่สุข กับภรรยาสาวรุ่นน้อง “ใบเตย สุวพิชญ์ ไตรพรวรกิจ” ก็ยังมีเรื่องให้ต้องเรียนรู้กันอีกมาก เพราะฉากหน้าสวยหรูอย่างที่ทุกคนเห็น ก็แอบมีปัญหาซ่อนอยู่ไม่น้อย งานนี้ทั้งสองคน เผยผ่านช่อง YouTube ช่อง ZuvapitSnap ของสาวใบเตย ในชื่อตอนว่า “คุยกันยาวๆ กับปัญหาชีวิต(คู่)” เพื่อแชร์ปัญหา ที่บางส่วนก็ได้รับการแก้ไขได้แล้ว แต่บางส่วนก็คิดว่าปล่อยมันไปดีกว่า
ใบเตย : “หลายคนมองว่าภาพในไอจี ดูน่ารัก แกล้งกันดูตลก แต่มันก็มีอีกมุมหนึ่ง ที่ไม่ได้มาทะเลาะกันลงไอจีว่าฉันทะเลาะกัน วันนี้ฉันเถียงกัน”
ปั๊บ: “เราก็มีทะเลาะกันบ้าง ไม่ได้เลิศเลอเพอร์เฟกต์ไปทุกเรื่อง เวลามีคนบอกทำไมดูน่าอิจฉาจังเลย ดูสมบูรณ์โอเคมาก แต่ลึกๆ มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นไง ตัวผมเองก็รู้สึกสะท้อนใจ”
เริ่มด้วยปัญหาโลกแตก อย่างเรื่องกิน ที่ทำให้ต้องตีต้องเถียงกันอยู่บ่อยๆ อยากตามใจแต่ก็เบื่อ
ใบเตย : “เรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องใหญ่สำหรับหลายๆ บ้าน หลายคนอาจจะมองว่ามันดูไม่เห็นเป็นปัญหาตรงไหน แต่บอกมาอยู่ด้วยกันสองคนแล้ว มันไม่ได้”
ปั๊บ : “อะไรก็ได้มันไม่มีในโลกไง”
ใบเตย : “แต่บางครั้งมันก็อะไรก็ได้จริงๆ นะ การที่บอกว่าพี่ปั๊บเลือกเลยวันนี้ คืออยากให้พี่ปั๊บเลือกจริงๆ”
ปั๊บ : “ไม่ใช่ว่าเตยเป็นคนเดียวนะ ผมก็เป็น ผมก็เยอะนะเรื่องกิน”
ใบเตย : “ทุกอย่างมันจะลงตัว ตรงที่ว่าใครสักคนพูดอย่างหนักแน่นและชัดเจน ว่าเธอเลือกไปเลยวันนี้ แล้วเราก็จะไม่โกรธกัน ถ้าอีกคนหนึ่งเลือกไม่ตรงใจเรา อย่างเตยชอบกินหม่าล่ามาก กินไม่เบื่อเลย แต่พี่ปั๊บเขาจะเบื่อ แต่เขาไม่พูด พอพูดว่าเดี๋ยวไปกินนี่ดีกว่า ก็จะอือๆ ก็มีเถียงกัน สุดท้ายคนที่อยู่ด้วยกันมาตลอด บางทีแค่ถอนหายใจ ก็รู้แล้วว่าไม่โอเค พอบอกไปกินอย่างอื่นไหม ก็จะกลายเป็นว่าอีกคนจะรู้สึกผิด ที่ไม่ได้ตามใจ แต่ตัวเองก็ไม่ได้อยากกิน”
ปั๊บ : “อยากตามใจเตย แต่ก็เบื่อ แต่ก็ตามใจก็ได้ แต่ก็ต้องซ่อนความรู้สึก สุดท้ายก็ต้องมีคนยอมสักคนหนึ่ง” ซึ่ง “ใบเตย” ก็ทิ้งท้ายให้กับปัญหานี้ว่า “ไม่ต้องแก้หรอก ไปเรื่อยๆ แบบนี้แหละ”
เรื่องที่สองคือความเป็นห่วงเป็นใย ที่เหมือนติดกล้องวงจรปิด ส่องชีวิตตลอดเวลา
ปั๊บ : “เตยขี้เป็นห่วง ผมจะเหมือนมีกล้องวงจรปิดตัวหนึ่ง ส่องชีวิตตลอดเวลา ว่าทำอะไรอยู่ เคยเถียงกันเรื่องนี้บ่อยๆ ว่าบางทีเตยก็ต้องทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้บ้าง จะได้ไม่ต้องมานั่งเป็นห่วงเราเกินไป เราต้องทำงาน ต้องไปมีชีวิต ผมเข้าใจในความปรารถนาดี แต่บางที่ก็อดรำคาญไม่ไหว เราก็พยายามปรับตัวตามที่เตยคาดหวังด้วยนะ”
ใบเตย : “จริงๆ ไม่อยากเป็นแบบนี้ เตยไม่ได้คาดหวังอะไรจากพี่ปั๊บเลย แค่ต้องพูด เพราะรู้สึกว่าปล่อยไว้ไม่ได้ อย่างสถานการณ์โควิดตอนนี้ การจะแคะขี้มูกเราก็ต้องล้างมือ ต้องฉีดมือ ต้องสะอาดมากกว่าเดิม เราเคยไปกักตัวมาแล้ว เราก็แพนิคเรื่องนี้มากๆ เสื้อใส่แล้วต้องซักเลย ด้วยความที่เราเป็นคนตาไว เลยเหมือนแบบหันไปก็เฮ้ย! ทำอะไร”
ปั๊บ : “สรุปก็คือเตยเป็นคนเป็นห่วงเป็นใย เคยคุยกันตรงๆ เรื่องนี้แล้ว ว่ามันอาจจะเกิดจากความที่เราไม่ไว้เนื้อเชื่อใจอยู่แล้วตามธรรมชาติ เราก็รู้สึกว่าทำให้เราไม่มั่นใจไปหมด การแก้ไขก็คือพยายามเข้าใจเตยจริงๆ ว่าเตยหวังดี แต่เป็นแบบนี้มา 40 ปีแล้ว ก็เลยต้องใช้เวลาในการปรับ ซึ่งก็มองว่ามันเป็นเรื่องที่ดี เพราะเรื่องความสะอาด เรื่องความรับผิดชอบส่วนตัว เป็นสิ่งที่ดี แต่ผมว่าเตยก็พยายามปรับตัวเหมือนกัน ที่จะลดดีกรีกล้องวงจรปิดลง”
ทั้งหมดที่มวลที่เล่าไปในข้อที่สอง นำมาสู่ข้อที่สาม คือความขี้รำคาญของเตย
ใบเตย : “ใครๆ ก็ไม่ชอบ เวลาที่เราพูดเรื่องอะไรไปแล้วครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2 แต่นับ 3 ก็จะเริ่มมีอารมณ์เสียเกิดขึ้น เริ่มชักสีหน้า เริ่มรำคาญ เพราะพูดไปแล้ว แต่บอกก่อนว่าเราสองคนเป็นคนพูดตรงไปตรงมา รู้สึกยังไงก็พูดเลย สิ่งที่รำคาญแบบทวีคูณ คือพี่ปั๊บชอบแกล้ง บางทีไม่ไหวแล้วนะ แกล้งจนร้องไห้ก็มี พูดแบบซีเรียสเลย ว่าระแวงว่าจะแกล้งอีกหรือเปล่า ยิ่งเราทำอาหารถือมีด หรือทำผมถือเครื่องหนีบผม เราจะระวังอยู่แล้ว ว่าอย่ามาอยู่ใกล้มันอันตราย”
ปั๊บ : “มันมาจากผมเอง ผมชอบแกล้งในสิ่งที่เขาไม่ชอบ ชอบแหย่ให้โมโห คือเราอยู่กันสองคนเยอะมาก ช่วงโควิดที่ผมไม่มีงาน ก็ชอบแหย่ มันก็เลยเกิดการคุยกัน ว่าเตยคุยกับเราดีๆ ได้ไหม เวลาเตยรำคาญ แต่มันก็ยากเนอะ เวลารำคาญจะให้พูดดีๆ ยังไง แต่อาจจะเป็นเพราะเวลาเตยรำคาญบางทีมันก็น่ารักดีเปล่า แต่บางทีเตยก็โกรธจริงจัง”
ต่อมาคือเรื่องเล่นเกมส์ของ “ปั๊บ” นับเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก ต้องจับเข่าคุยกันยาวนานถึง 4-5 ชั่วโมง
ใบเตย : “งานอดิเรกของพี่ปั๊บมันน้อยมาก แล้วมีอย่างหนึ่งที่สำคัญกับเขามากในช่วงเวลาหนึ่ง คือการเล่นเกมส์ เราสองคนทำงานต่างกัน เราออกกองละคนตื่นเช้ามาก ตี 4-5 แต่พี่ปั๊บเขาจะสลับกับเรา ไปเล่นคอนเสิร์ตกลับมาตี 2 กลับมาถึงกลับบ้านก็เล่นเกมส์ ทำให้เราก็ตื่น มันเลยกลายเป็นปัญหาสะสม อย่างพรุ่งนี้มีอะไรที่สำคัญต้องทำ แต่ก็ยังก็เล่นเกมส์ พอเราไปเตือนเขาว่าเดี๋ยวค่อยเล่นไหม ทำอันนี้ให้เสร็จก่อน ก็จะเริ่มโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ ทั้งที่ไม่ได้ห้ามว่าอย่าเล่น ช่วงแรกๆ เตยไม่เข้าใจ รู้สึกผิดกับตัวเองว่าทำไมเราเป็นคนผิด”
ปั๊บ : “แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีปัญหาแล้ว แต่ก็เป็นเรื่องที่ต้องแก้ปัญหา ต้องคุยกันให้เข้าใจ ว่าเราเซนซิทีฟเรื่องนี้ การเล่นเกมส์มันคือความสุขเล็กๆ น้อยๆ ของผม หลายคนอาจจะแก้ปัญหา ว่าแยกไปเล่นห้องอื่นไหม จะได้ไม่ต้องกวน แต่ผมไม่ได้ ผมต้องเล่นเกมส์นั่งติดกับเตยด้วย เรารู้สึกว่าเราเล่นเกมส์แล้วมีเขานั่งอยู่ เราแฮปปี้ แต่มันก็ไม่ดี เตยเขาก็เอาผ้ามาปิดตา ผมก็ใส่หูฟัง แต่มันก็ไม่ได้ มันมีเสียงกด แต่หลังๆ ไม่ค่อยมีแล้ว เตยเขาก็เลิกบ่นผม แล้วผมก็รู้ว่ามันเกินเวลา ก็เริ่มๆ ลดลงมาทีละนิด”
เพราะใช้ชีวิตมาคนละแบบ เลยมีประสบการณ์ที่แตกต่างกัน ทุกคนจะจึงมีทิฐิของตัวเอง เห็นเฮฮาหน้ากอง แต่จริงๆ ทั้งคู่เป็นคนจริงจังและซีเรียสมาก เพราะต่างคนต่างมีความคิดของตัวเอง แต่ก็ยังต้องเคารพความคิดของกันและกันด้วย โดยยกตัวอย่างจากเรื่องการนั่งสมาธิ
ใบเตย : “คือพี่ปั๊บให้ลองนั่งสมาธิ จนรู้สึกกดดัน ทำให้เริ่มไม่โอเค เมื่อไหร่ที่เรารู้สึกว่ามันไม่คลิก เราก็ไม่ค่อยอยากทำ แต่เราก็ทำเพื่อเขา แต่พอไม่ได้ทำจากใจ มันก็ต่อต้าน พอเขายิ่งพูดมา เราก็ยิ่งรู้สึกโดนบีบหนักว่าเดิม มันก็เลยจะทะเลาะกัน อันนี้คือยกตัวอย่าง แต่มันมีอีกหลายๆ เรื่อง บางเรื่องมันแก้ไม่ได้ ก็คือแก้ไม่ได้ มันไม่ต้องพยายามหาเหตุผล แต่ต้องยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น”
ถัดมาคือเรื่องของความจริงจัง ที่มีมากไปจนบางปัญหามันไม่มีจุดจบ ทำเอาสาวเตยถึงกับเสียน้ำตาเมื่อต้องนึกถึง
ใบเตย : “เวลาเราคุยกัน มีปัญหากัน ถ้ายังคุยยังเคลียร์ไม่จบจริงๆ พี่ปั๊บจะไม่จบเลย จะไม่ยอมเลย แม้จะคุยมา 4 ชั่วโมงแล้ว ก็ต้องคุยต่อให้จบ ซึ่งบางเรื่องรู้สึกว่ามันไม่มีจุดจบ จนรู้สึกว่าพอแล้ว แยกก่อน ใจเย็นๆ เลิกคุยกันก่อน ไปหาอย่างอื่นทำให้สบายใจแล้วค่อยมาคุย พี่ปั๊บจะเป็นคนจริงจังเรื่องพวกนี้มากๆ”
ปั๊บ : “เราเป็นคนใจร้อนด้วย ผมใจร้อนกว่าเตย แต่อาจจะเป็นเพราะเราไม่รู้ตัวว่าตัวเองใจร้อนไง รวมไปถึงการใส่ใจในความรู้สึกของตัวเอง มันไม่ใช่แค่ผิว เราไม่ได้มองว่าการแก้ที่พฤติกรรม มันจะช่วยแก้ไขความสมานฉันท์ของเรา เราต้องแก้ต้องจริงจังไปถึงระดับจิต เวลาเรารำคาญกัน เราหาวิธีการคุยกันอีกแบบหนึ่งได้ไหม เตยก็เป็นคนซีเรียสในการพยายามทำความเข้าใจตัวผมเหมือนกัน เพราะผมก็เป็นคนเยอะในมุมลึกๆ ตอนหลังๆ เขาก็ไม่ได้รำคาญผมเยอะเท่ากับเมื่อก่อน ทุกครั้งที่เราคุยกัน เราจะมีคีย์เวิร์ดว่า ถ้ามีใครคนหนึ่งเริ่มทำในสิ่งที่อีกคนไม่ชอบ เราจะต้องพูดเลย จะไม่เก็บเอาไว้จนปรอทแตก”
ใบเตย : “บางทีมันแก้ที่เราอย่างเดียวไม่ได้ มันต้องช่วยกัน แต่เรื่องนี้มันก็ยาก มันต้องเปิดใจคุยกันจริงๆ”
ข้อสุดท้ายคือ “ปั๊บ” ชอบผลักความคิดไปให้คนอื่น เรื่องนี้สาวเตยถึงกับเอ่ยย้ำ ว่าเป็นความสามารถพิเศษพิเศษของพี่ปั๊บเลย
ใบเตย : “อันนี้คือความสามารถพิเศษของพี่ปั๊บนะคะ หลายคนอาจจะไม่รู้ แต่นี่คือสิ่งที่พี่ปั๊บเก่งมาก เรื่องบางเรื่อง แค่บอกว่ามันไม่ดีก็คือจบ แต่พี่ปั๊บไม่จบ เท้าความลากทุกอย่างมาพูด บางเรื่องเราไม่ได้ผิดเลย ด้วยความที่เขาจะมีเหตุผลของเขามาก แล้วบางเรื่องเราแค่เตือนนิดเดียว แต่เขาก็จะพูดบรรยายทุกอย่าง ชักแม่น้ำทั้งห้า จนเรารู้สึกแย่และรู้สึกผิดฝังอยู่ในใจ พูดแล้วจะร้องไห้ (น้ำตาไหล) มันสร้างแผลในใจให้กับเรา สุดท้ายพออยู่กับเขาไปเรื่อยๆ จนถึงทุกวันนี้ เราก็รู้ว่าเขาเป็นคนนิสัยแบบนี้ ฉันไม่ได้ผิดเลย เหมือนจะเอาชนะเรา ด้วยการยกทุกเรื่องมาพูด ไม่ได้ด่าเราด้วยนะ แต่พูดทำให้เรารู้สึกผิด อันนี้อธิบายไม่ถูกว่ามันคืออะไร”
ปั๊บ : “เราก็เข้าใจว่าเรามีเหตุผลมากเกินไป แล้วพอคุยกันไปคุยกันมา กลายเป็นคนที่เขาฟังเขารู้สึกผิด กับสิ่งที่เขาทำ ซึ่งบางทีมันก็ไม่ขนาดนั้นหรอก แต่ผมชอบไปขยายให้มันใหญ่ขึ้น เลยทำให้ทุกอย่างมันดูแย่ หลังๆ เราก็พยายามจะพูดให้น้อยลง เพราะชีวิตคู่มันเป็นเรื่องของคนสองคน มันไม่สามารถบอกว่า เธอเปลี่ยนอันนี้สิเพื่อฉัน ผมกับเตยโชคดีที่เรื่องแบบนี้มันไม่ค่อยมี เราจะไม่บังคับ ไม่เปลี่ยนอีกคนหนึ่ง เพื่อเป็นในสิ่งที่ตัวเราชอบ แต่การที่เราอยากจะให้อีกคนหนึ่งปรับอะไร มันต้องมีศิลปะในการคุยกัน ฉะนั้นเวลาคุยกันบ่อยๆ บางครั้งมันก็กดดันเหมือนกัน ทุกวันนี้เราก็ยังต้องเรียนรู้กันต่อไป วันหนึ่งเราอาจจะไปเจอลิ้นชักหนึ่ง ที่เปิดออกมาแล้วมันดำสกปรกมากเลยในใจ มันก็ขึ้นอยู่กับว่า เราจะแก้ด้วยตัวเองหรือว่าเราจะเดินไปขอความช่วยเหลือ ให้อีกคนหนึ่งมาช่วยกันแก้ ประมาณนี้แหละ”
ก่อนจะจบด้วยการฝากได้ข้อความ ถึงคู่รักคู่อื่นๆ ที่อาจจะเจอปัญหาเดียวกัน ว่าให้มาคอมเมนต์แชร์กันได้ “ที่คุยกันมามันเป็นแค่เสี้ยวของสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตคู่ของเรา หลายๆ คนอาจจะมองว่าคู่เราน่ารัก ตลก ดูชิลมากเลย แต่ในสิ่งที่เห็น มันก็มีอีกมุมหนึ่ง ที่มันไม่ดีเหมือนกัน มันเป็นมุมที่ไม่ควรเอาออกมาโชว์อะไร การมานั่งพิมพ์ว่าฉันทะเลาะกัน สำหรับเราไม่ทำอะไรอย่างนั้นอยู่แล้ว มันควรจบในบ้านของเรา แต่นี่มันเป็นประสบการณ์ที่สามารถแชร์กันได้ ใครมีปัญหาเดียวกัน ก็หวังว่าเรื่องนี้มันจะเป็นเพื่อนทางความรู้สึกของคุณได้ อย่ามองกันแค่มิติเดียว ทุกคนมีมิติอื่นๆ ในชีวิตอีกเยอะ ใครมีประสบการณ์คล้ายๆ กัน ก็มาคอมเมนต์ มาเล่าสู่กันฟังได้”