xs
xsm
sm
md
lg

(ชมคลิป) “เอ๋ มิรา” ฝันร้ายทุกคืน! กว่าจะผ่านดรามาอดีตสามี ต้องหนีไปอยู่ต่างประเทศ เตรียมกระเตงลูกไปเจอพ่อที่ศาล 10 ก.พ.

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“เอ๋ มิรา” เผยอดีตช่วงดรามาหนักๆ กับอดีตสามี “ครูไพบูลย์” เครียดถึงขั้นต้องหนีไปต่างประเทศ เพราะตนไม่ได้ผิด แต่กลับถูกรุมด่า ไม่อยากอยู่ประเทศไทยอีกแล้ว เพราะมีแต่คนใจร้าย เตรียมขึ้นศาลวันที่ 10 ก.พ. นี้ ลั่นตนไม่อยากเจอ แต่ลูกอยากเจอหน้าพ่อมาก ยันไม่ได้เอาลูกมาเป็นข้อต่อรอง ทุกวันนี้ฝ่ายชายไม่ได้ช่วยเหลืออะไร เสียใจที่ตัวเองไม่สามารถช่วย “อ.ประจักษ์ชัย” ที่ต้องโดนฟ้อง 20 ล้านเพราะเรื่องของตนได้เลย



แม้เรื่องราวจะเงียบไปบ้างแล้ว สำหรับเรื่องราวดรามาระหว่าง “เอ๋ มิรา ชลวิรัลวานิศร์” กับอดีตสามีอย่าง “ไพบูลย์ แสงเดือน” ซึ่งเจ้าตัวเผยว่าไม่ใช่เรื่องง่ายๆ กว่าจะผ่านมาได้ ถึงขั้นต้องหนีไปอยู่ต่างประเทศ เพราะทนกระแสทัวร์ลงไม่ไหว ต้องลบเฟซบุ๊กและยูทิวบ์ทั้งที่สร้างรายได้ บอกไม่อยากอยู่ประเทศไทยอีกแล้ว เพราะมีแต่คนใจร้าย

“ผ่านดรามาหนักๆ ช่วงนั้นมาได้ยังไงเหรอคะ กว่าจะผ่านมาได้หาทางไม่เจอเลยค่ะ ตอนนั้นหนูหนีไปอยู่ต่างประเทศ เพราะรู้สึกว่าประเทศไทยน่ากลัวมาก ทุกคนน่ากลัวมาก หนูไม่ได้ผิด ทำไมด่าหนู หนูรู้สึกว่าไม่อยากอยู่ประเทศนี้แล้ว หนีไปบวช แต่พอไปอยู่ต่างประเทศแล้วเราก็หนีไม่พ้น ยังได้ยินเพลงเขา เราก็เลยรู้สึกว่ากลับมาดีกว่ายังไงก็หนีไม่พ้น ก็เลยยอมรับ ก็ใช้ชีวิตปกติ แต่นอนฝันร้ายทุกคืนเลยค่ะ ตอนนั้นนอยด์มาก จากที่เฟซบุ๊กมีผู้ติดตาม 8 หมื่นเกือบแสนคน หนูก็ลบเฟซนั้นทิ้งเลย ไม่เสียดายเลย ช่องยูทิวบ์ที่เคยสร้างรายได้หนูก็ลบทิ้งเลย เพราะมีแต่คนเข้าไปคอมเมนต์ด่า อย่างที่บอกว่าถ้าหนูผิดจริงก็ด่าหนูได้ แต่ถ้าหนูไม่ผิดด่าหนูมาหนูก็สวนนะ

ที่หนูออกมาตอนนั้นแค่ต้องการปกป้องตัวเอง ไม่ได้อยากเกาะกระแสค่ะ เพราะพอเราหย่ากันหนูก็ออกมาแบบเงียบๆ เลย แต่เขาโพสต์ว่าหนูมีชู้ หนูก็อ้าวคุณเป็นคนผิดแต่มาพูดให้เราเสียหาย หนูก็เลยออกมาพูดความจริงว่ามันเป็นอย่างนี้ๆ เพราะว่าทัวร์มาลงที่เรา หนูก็เลยรู้สึกว่าประเทศไทยทำไมมันน่ากลัวจังเลย ก็เสียใจค่ะ ร้องไห้เป็นเดือนเลย น้ำหนักจาก 42 ลงมา 36 หนูผอมมาก กินอะไรไม่ได้เลยค่ะ”

เผยนัดขึ้นศาลอีกครั้งวันที่ 10 ก.พ. ที่จะถึงนี้ และจะพาลูกไปด้วย เพราะลูกอยากเจอพ่อ
คดีตอนนี้วันที่ 10 ก.พ. เป็นเรื่องของสิทธิเลี้ยงดูลูกค่ะ พอวันที่ 11 ก.พ. เป็นเรื่องที่หนูฟ้องเอาลูกมาอยู่กับเราค่ะ แต่ไม่ใช่ว่าจะไปเอาสิทธิคนเดียวนะคะ แต่ขอสิทธิครึ่งนึงเพราะว่าตอนนี้สิทธิอยู่กับเขา แต่นัดครั้งแรกเขาก็ไม่มา วันนั้นหนูก็ร้องไห้อยู่ในศาล หนูเอาลูกไปด้วย เพราะลูกอยากเจอหน้าพ่อ เขาคงจะคิดถึงพ่อ แล้วลูกพูดว่าทำไมป๊ะป๋าไม่มา หนูก็เลยร้องไห้ นัดที่จะถึงนี้ถ้าไม่มาอีกหนูก็ไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว ลูกก็รู้ข่าวค่ะ แต่ลูกไม่ได้ถามนะคะ หนูก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้เลย แต่มีที่ลูกเล่นติ๊กต๊อกแล้วมีคนพูดถึงฉายาเขาว่าลูกชิ้นมีหู ลูกก็หัวเราะ หนูก็ถามว่ารู้เหรอว่าเขาหมายถึงใคร เขาบอกว่ารู้ก็ป๊ะป๋าไง ก็แค่นั้นค่ะ (หัวเราะ)

แต่หนูไม่ได้อยากเจอเขา แต่แค่อยากพาลูกไปหาเขา หนูไม่เคยกีดกัน ไม่เคยสอนลูกให้เกลียดใครเลย อีกอย่างบางทีหนูมองลูกแล้วลูกอยู่กับเราอาจจะไม่กล้าพูด หนูก็ถามลูกว่าคิดถึงป๊ะป๋าไหมเดี๋ยวแม่พาไป ลูกก็บอกว่าไม่อยากไป ถามว่ากลัวคนจะมองว่าหนูใช้ลูกเป็นเครื่องมือเพื่อจะเจอเขาไหม ไม่นะคะ หนูคิดว่าคนคงรับรู้แล้วว่าหนูเจออะไรมาบ้าง และคงไม่ได้อยากเจอ ไม่ได้อยากอะไรด้วย แต่ที่เขาโพสต์ว่าลูกไม่ได้ไปโรงเรียน คือไม่อยากให้เขาพูดเรื่องลูกเลยค่ะ แค่เรื่องเราก็วุ่นวายมากแล้ว หนูไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรเหมือนกัน พอมันเงียบไปก็ชอบโพสต์ แล้วหนูเป็นคนที่ถ้ามาสะกิดต่อมหนู หนูก็อดไม่ได้ที่จะโพสต์กลับ

ถ้าข่าววันนี้ออกไปแล้วเขาโพสต์ก็เป็นสิทธิของเขา แต่ที่หนูโพสต์กลับไม่ใช่ว่าอยากจะสู้นะ แต่หนูอยากให้หยุด อยากให้พอมากกว่า คิดว่าความต้องการของเขาคืออะไรเหรอ คิดว่าน่าจะเป็นสิทธิเรื่องค่าเลี้ยงดูบุตรที่หนูเรียกร้องไปว่าให้เขาช่วยจ่ายเดือนละ 2 หมื่น คือหนูเอาลูกมาเรียนหนูก็ต้องช่วยจ่ายอยู่แล้ว ถ้ารวมกันก็เป็นเดือนละ 4 หมื่น เพราะหนู 2 หมื่น เขา 2 หมื่น ถ้ามาเรียนโรงเรียนดีๆ หน่อยมันก็ไม่พอ 2 หมื่นหนูว่ามันก็โอเคนะคะ ณ วันนี้ลูกอยู่กับหนูค่ะ เขาก็ไม่ได้ช่วยเหลืออะไร ไม่ได้โทร.มาด้วย ทุกวันนี้ลูกก็มีความสุขดีค่ะ หนูออกมาทำงานเขาก็จะบันทึกเสียงแล้วก็ส่งมาหาหนู บอกว่าคิดถึงแม่เอ๋เด้อ ลูกก็เห็นลุคใหม่ของหนูตลอด ตอนที่หนูทำหน้าลูกก็บอกว่าแม่เอ๋ลูกไม่เห็นนม แม่จะได้สวย (หัวเราะ) ลูกก็ส่งเสริมค่ะ”

บอกนอยด์เพราะช่วยอะไร “อ.ประจักษ์ชัย” ที่ต้องโดนฟ้อง 20 ล้านไม่ได้เลย
“ที่หนูโพสต์เรื่องอาจารย์ประจักษ์ชัย คือหนูน้อยใจตัวเองมากกว่าที่หนูช่วยอาจารย์ไม่ได้เลย อีกอย่างหนูมาถ่ายเอ็มวีแบบนี้อาจารย์ก็จะบอกว่าค่าตัวหนูเอาไปเลย อาจารย์ไม่เอา แล้วตอนนี้หนูก็ใช้รถอาจารย์ด้วย หนูก็ร้องเพลงให้อาจารย์ไม่ได้ หนูก็เลยน้อยใจตัวเอง พออาจารย์มาโดนฟ้อง 20 ล้าน อันนี้รู้นานแล้ว แต่หมายศาลเพิ่งมา และทุกๆ ครั้งที่อาจารย์ไลฟ์สดทุกคนก็จะเห็นว่าอาจารย์ยังหัวเราะ เสียงหัวเราะอาจารย์ยังก้องอยู่ในหัวหนูเลย แต่พอมีเรื่องนี้เข้ามาเสียงหัวเราะของอาจารย์ก็หายไป หนูก็เลยรู้สึกว่าทำไมหนูช่วยอะไรอาจารย์ไม่ได้เลย

หนูไม่ได้ติดใจอะไรแล้วค่ะ เอาจริงๆ ความเป็นคนนะคะเวลาที่เราเห็นใครทุกข์ไม่ว่าเขาจะเคยทำร้ายเรา เราก็ต้องสงสารเขาอยู่แล้ว เขาโดนแล้วเหมือนที่หนูโดนเขาก็คงจะเจ็บ เขาก็พูดอยู่นะคะว่าตอนนี้เขาได้รับเวรกรรมแล้ว แต่อาจจะหนักกว่าหนูเป็น 10 เท่า ถามว่าหนูมีภูมิคุ้มกันในวงการบันเทิงขนาดไหนแล้ว เอาจริงๆ หนูไม่ชอบวงการบันเทิงเลยค่ะ เพราะดูวุ่นวาย ดูไม่จริงใจ แต่ตอนนั้นไม่เอาเลย ใครจะมาสัมภาษณ์ ใครจะมาคุยคือไม่คุยกับใครเลย แต่วันนี้ก็รู้สึกว่ามันไม่ได้เป็นเหมือนที่เราคิดเสมอไปนะ วงการบันเทิงก็มีคนดีๆ มีอาจารย์ประจักษ์ชัย มีพ่อลุง มีหมอแพรว มีเพื่อนๆ เลยรู้สึกว่าตอนนี้ไม่ว่าจะเจออะไร คนที่อยู่เคียงข้างเราก็จะมีอาจารย์ มีผู้คนที่คอยอยู่ข้างๆ หนูก็เลยไม่ได้หวั่นกับทุกๆ ปัญหาแล้วตอนนี้ค่ะ ไม่หนีไปเมืองนอกแล้วค่ะ”

บอกกลับมาเรียนอีกครั้ง เพราะอยากทำให้ครอบครัวได้ภูมิใจบ้าง
“ตอนนี้กลับมาเรียนแล้วค่ะ เพราะตอนนั้นที่หยุดไปเพราะมีความรักกับคนนั้นแหละค่ะ ก็เลยต้องเบรกทุกอย่าง มันเสียใจนะคะ อกหัก ไปต่อไม่ได้เลย ทุกอย่างทิ้งหมด หนีไปอยู่ต่างประเทศ แต่พอกลับมาคิดว่าสิ่งที่เราพลาดไปเราจะกลับมาแก้ไขทุกอย่างให้ดีขึ้นตอนนี้หนูอายุ 24 แล้ว แต่ก็ยังรู้สึกตัวเองยังเด็กอยู่เลย (หัวเราะ) เพราะยังทำให้ครอบครัวไม่สบายใจอยู่เลย ก็เลยอยากทำให้ครอบครัวได้ภูมิใจในตัวหนูบ้างค่ะ ก็เลยกลับไปเรียนระดับปวส.ค่ะ”













กำลังโหลดความคิดเห็น