ถูกวิจารณ์ไม่น้อยถึงความ "เปลี่ยนไป" สำหรับอดีตหนึ่งในพระนักเทศน์ที่เป็นที่รู้จักผ่านสังคมออนไลน์จากวัดสร้อยทองอย่าง "ไพรวัลย์ วรรณบุตร"
ทั้งนี้หากย้อนกลับไปเมื่อครั้งที่ยังเป็นพระนอกจากแฟนคลับโดยทั่วไปที่ชื่นชอบในลีลาการเทศน์ที่สนุกสนานของเจ้าตัวแล้ว ต้องยอมรับว่าที่มาของแฟนคลับอีกส่วนหนึ่งก็มาจากการที่เจ้าตัวมักจะตกเป็นประเด็น "การเมือง" ในเชิงตรงข้ามกับรัฐบาลชุดปัจจุบันนั่นเอง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงใกล้สึกที่เจ้าตัวมีการไลฟ์สดฟาดงวงฟาดงา ขู่จะเล่นงานคนนั้นคนนี้ ขณะที่อารมณ์หลังสึกใหม่ๆ ยังมาเต็ม มีการซัดด้วยคำหยาบๆ แบบไม่ไว้หน้าจะคนธรรมดาหรือคนในผ้าเหลืองที่มีการแสดงความคิดในสิ่งที่เจ้าตัวรู้สึกไม่เห็นด้วย
เรียกว่าช่วงนั้นทำเอากองเชียร์ส่วนที่ตั้งความหวังในเรื่องนี้ไว้กับเจ้าตัวได้เฮกันดังๆ
ทว่านับตั้งแต่ที่อดีตพระคนดังได้ประกาศสถานะตัวเองว่าเป็น "นักแสดง" และต้องวุ่นวายอยู่กับการทำมาหากิน ทั้งขายของออนไลน์ รีวิวสินค้า แถมโพสต์ส่วนตัวก็มีแต่เรื่องผู้ชาย สนุกสนานเฮฮาเสียเป็นส่วนใหญ่ งานนี้ก็เลยทำเอาแฟนคลับส่วนที่หวังจะใช้เจ้าตัวเป็นกระบอกเสียงเรื่องการเมืองจึงเริ่มเกิดความไม่พอใจ
บางคนส่งเสียงไปยังเจ้าตัวถึงเรื่องดังกล่าว แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาก็คือไม่ได้รับการแยแส ขณะที่ความเห็นบางคนก็ถูกเอาไปแขวนในสังคมออนไน์ให้แฟนคลับอีกส่วนหนึ่งเข้ามาวิจารณ์
อันที่จริงหากย้อนกลับไปจับสัญญาณในคำพูดช่วงใกล้จะสึก หรือแม้แต่การโพสต์ของอดีตพระดังในหลายๆ วาระแล้วพิจารณาดีๆ ก็จะพบว่าจริงๆ แล้วที่เป็นอยู่ ณ ตอนนี้ของเจ้าตัวนอกจากสถานะที่เปลี่ยนไปแล้ว อย่างอื่นก็ไม่เห็นจะมีอะไรที่ถึงขนาดที่จะทำให้ต้องรู้สึกว่าเจ้าตัวนั้นเปลี่ยนไปแต่อย่างใด
โดยเฉพาะในเรื่องของ "ตัวตน" ที่เจ้าตัวระบุว่าไม่ว่าไม่ควรยึดติด และไม่ชอบที่ใครจะมากราบไหว้เพียงเพราะสถานะความเป็นพระของตนเอง แต่อยากให้ยอมรับในความเป็นตัวของตนเองมากกว่า
แม้จะเคยถูกยกให้เป็นพระนักคิดนักเขียน มีดีกรีเป็น 1 ใน 4 สามเณรที่สอบเปรียญธรรม 9 ประโยคได้ในปี 2555 และเป็นสามเณรรูปแรกของ จ.สุโขทัย ที่สอบได้ แต่ภาพจำของคนส่วนใหญ่ในบทบาทการเป็นพระของเจ้าตัวก็คือ พระที่มักจะมีการแสดงความเห็นต่อเรื่องราวเหตุการณ์บ้านเมืองด้วยการเสียดสี ต่อว่าด้วยคำที่แสบๆ คันๆ เป็นพระนักเทศน์ที่เน้นประดิษฐ์คำแปลกๆ เล่นมุกตลก ที่มาพร้อมกับเสียงหัวเราะอันเป็นเอกลักษณ์
เพียงแต่ด้วยผ้าเหลืองที่ห่อหุ้มอยู่ก็อาจจะทำให้บางส่วนรู้สึกไปว่าสิ่งที่เจ้าตัวทำออกมามันมีชั้นมีเชิง ดูดีมีความรู้ มีสติปัญญา เป็นอะไรที่ทันสมัยในวงการ(สงฆ์) ต่างกับปัจจุบันที่พอมายืนอยู่ในวงการมายาแล้ว ทั้งหมดก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากเรื่องของความบันเทิงเริงรมย์ที่ไร้สาระในความรู้สึกของใครบางส่วนก็เท่านั้นเอง...