เผยอดีตที่เล่าแล้วยังขำ! “แซม ยุรนันท์” เคยถูกโกง เบี้ยวค่าตัวนับล้าน ผู้จัดไม่ยอมจ่าย นั่งรอในรถจนหม้อน้ำระเบิด แถมบางทียังถูกเช็คเด้งจนจำฝังใจ เลิกเล่นหนังตั้งแต่นั้นมา ยอมรับว่ากลับมาเล่นละครอีกครั้ง เอาความสุขเป็นที่ตั้งมากกว่าตัวเงิน ส่วนธุรกิจโรงแรมที่เกาหลีปิดตัวลงเพราะพิษเศรษฐกิจ
เรียกได้ว่าการกลับมาคราวนี้ สมกับการรอคอยของแฟนๆ ละครสำหรับ “แซม ยุรนันท์ ภมรมนตรี”ที่เถียงไม่ได้เลยว่าตลอดปีที่ผ่านมาจนมาถึงต้นปีนี้ ได้เห็นผลงานพระเอกดาวค้างฟ้าคนนี้แทบจะทุกวัน ซึ่งเจ้าตัวก็ได้เล่าให้ฟังว่าสาเหตุที่กลับมารับงานละครอีกครั้ง หลังจากปฏิเสธมาตลอดเป็นเพราะพอได้กลับมาทำได้มาเจอบรรยากาศเดิมๆ มันคือความสุขที่แท้จริง พร้อมยังย้อนไปอดีตเล่าให้ฟังว่าครั้งนึงเคยถูกผู้จัดโกงไม่จ่ายตัวอีกด้วย
“นั่นสิ เยอะเหรอ ก็ธรรมดานะ แต่ก่อนก็อย่างนี้นะครับ แต่หยุดไปเกือบ 20 ปีไง ก็เลยไม่เห็น เพราะผมไม่ได้รับละครเลยครับ ก็กลับมาเล่นกับพี่ฉอด (สายทิพย์ มนตรีกุล ณ อยุธยา) เรื่องเดียว ใบไม้ที่ปลิดปลิว ก็ไม่คิดจะเล่น ปฏิเสธมาทุกเรื่อง แล้วพี่ฉอดก็ไม่รู้ว่าผมไม่เล่น ผมก็มีวิธีปฏิเสธของผม มันมีวิธีปากหวานก็พูดไปเรื่อยๆ เอาตัวรอดไป แต่พอเรื่องนี้อ่านแล้ววาง ไม่เอา ก็กลับมาอ่านใหม่ 2-3 ที จนกระทั่งโทร.หาว่าพี่ฉอดจะพูดเรื่องเพศที่สาม ที่สี่จริงใช่ไหม ไม่ได้หยิบมาทำขำ ทำตลก เราก็โอเค ต้องเรียกว่าเพศทางเลือกดีกว่า ไม่มีสาม อาจจะสี่ ห้า หก เจ็ด แปดก็ได้ เราจะพูดเรื่องนี้จริงจังใช่ไหม เพราะว่าสังคมไทยก็พูดว่ายอมรับ แต่ยอมรับจริงเหรอ หรือยอมรับว่าเปิดโอกาสให้เขาเข้ามา ไม่ใช่สิ ก็คือคนคนนึง คุณก็มีตัวตนบนโลกใบนี้ ไม่ใช่ว่ามาก็ได้ ไม่สิ มันไม่แฟร์ ถ้าพูดเรื่องนี้จริงๆ ก็มาเล่นกัน
เล่นก็ไม่รู้หรอกว่าฟีดแบ็ดจะเป็นยังไง ปรากฏว่าฟีดแบ็กดี และก่อนหน้านั้นก็คือเวลาผมกลับจากกองถ่าย เมียผมเขาก็เห็นเรานั่งยิ้มคนเดียว นั่งดูรูปต่างๆ มีความสุข เราก็กลับมาเมาท์ให้ฟังว่ากองถ่ายเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ อาหารอร่อยทุกวัน เหมือนเราได้ชีวิตที่เราเคยมี เขาก็เลยบอกว่าแซมกลับไปเล่นละครไหม ดูมีความสุขจังเลย ไม่เหมือนทำงานบริษัทที่นั่งประชุมทุกวัน เราก็บอกว่าแบบนั้นเราก็มีความสุขเหมือนกันนะ แต่แบบนี้แซมดูมีความสุขมากกว่า แซมกลับไปเล่นละครเถอะ ธุรกิจวางไว้ ให้ใครทำก็ได้ ให้ลูกทำก็ได้ เราก็ว่าดี เราก็กลับมาเล่น ทีนี้ก็สนุกใหญ่เลย ก็ไม่รู้ว่าเขาชอบหรือเปล่า แต่พอคนชอบ ได้รับรางวัลอีกแล้ว ถึงแม้ว่าจากที่เคยเป็นพระเอก มาเรื่องนี้เป็นตัวซัปพอร์ต ถ้าให้พูดก็คือไม่เคย เพราะเราเป็นพระเอกมาตลอดชีวิต แต่พอมันมีความสุขมันก็ฟิน และเรื่องก็มีความหลากหลายมากขึ้น
ซึ่งก็ได้เล่นของพี่คิง สมจริง (ละครกะรัตรัก) ก็แบ๊วๆ ใสๆ ดูอบอุ่นน่ารัก ซึ่งไม่ค่อยได้เล่นบ่อยนัก ทุกคนก็ให้โอกาส ผมก็ต้องขอบคุณผู้จัดทุกคนที่นำเสนอบทที่หลากหลายและแตกต่างให้ ขอบคุณคนดูที่ยังเปิดโอกาสให้นักแสดงอาวุโสได้มีโอกาสได้ปล่อยพลัง แต่ก่อนนี้การเป็นดารายุคเก่าเราไม่มีปฏิสัมพันธ์กับคนดูเลย เราเลยไม่รู้จริงๆ ว่าเขาชอบหรือไม่ชอบอะไรยังไง รู้แต่ว่าเรตติ้งมันขึ้นไป 16-18 เรตติ้งดี แค่นี้เราก็ดีใจ เราก็แบกภาระว่าเราเล่นเรตติ้งต้องเบอร์ 1 โฆษณาต้องเต็ม เราเป็นดาราไม่มีช่อง ไม่มีสังกัด ผมแทบจะเป็นคนเดียวที่เล่นทุกช่องทุกเรื่องผมก็จะตัดสินใจเลือกเล่นกับใคร เรื่องเป็นยังไง จะเครียดกับการเล่นมากๆ แล้วต้องคอยดูมอนิเตอร์ คอยดูหน้าจอว่าเรตติ้งมันเป็นยังไง เหมือนผมแบกอะไรไว้เยอะมาก แบกละครทั้งเรื่องไว้ เราอาจจะคิดไปเอง ทุกคนอาจจะไม่ให้เราแบก แต่ว่าเหมือนเรารับผิดชอบเยอะมาก”
ยอมรับเมื่อก่อนต้องแบกความคาดหวังของผู้จัด เพื่อเรตติ้งสูงสุด แต่วันนี้รับละครอีกครั้ง เพื่อความสุขของตัวเอง
“เมื่อก่อนเล่นละคร ต้องเรตติ้งสูงๆ ก็จะประมาณ 18-19-20 บางเรื่องที่ฮิตมากๆ ทะลุไป 20 กว่าเลยนะ คือถนนโล่งล่ะครับ จะบอกว่าเราเก่งก็ไม่ใช่หรอก แต่ก่อนช่องมันมีน้อยไงครับ ก็มีแค่ทีวีที่คนดูได้ ไม่ได้มีอินเตอร์เน็ตอะไรมากมาย ไม่ได้บอกว่าผมเก่งกว่าดาราสมัยนี้หรอก แต่เพราะว่าสมัยก่อนทางเลือกมันน้อย พระเอกก็น้อย กลายเป็นว่าทุกคนฝากความหวังไว้ที่พระเอกคนนี้ เล่นเรื่องนี้หน่อยนะ กลายเป็นว่าเราทำงานหามรุ่งหามค่ำทุกวัน แต่เดี๋ยวนี้เล่นเพราะว่าอยากเล่น เล่นเพราะมีความสุข อยากไปกองถ่าย (แม้บางเรื่องบทจะไม่เยอะ แต่ทุกคนมั่นใจว่าตัวเราเอาอยู่?) ผมก็ชอบนะ เพราะแต่ก่อนเล่นทุกฉากเลย พระเอกคือเล่นทุกฉากเลย แต่ค่าตัวก็เท่ากัน (หัวเราะ)
ทุกวันนี้เราเล่นละคร เพราะมันมีความสุข คือค่าตัวมันคือค่าของตัวเรานะ ไม่ได้พูดถึงมูลค่านะ คนให้ค่าตัวก็คือเขาเห็นคุณค่าในตัวเรา บางเรื่องจบไปตั้งกี่เดือนแล้ว ยังไม่ได้ไปเอาตังค์เลยยังบอกลูกเลยว่าไปเที่ยวก่อนเดี๋ยวค่อยกลับมารับ นี่ก็กลับมาตั้งนานละ นี่ 3 เรื่องละ ยังไม่ได้ไปรับเลย ที่พูดนี่ไม่ได้ตัวเองรวยอะไร แต่กำลังจะบอกว่า หนึ่งมันได้อยู่แล้ว ซึ่งการที่เรารับละคร รับเพราะเราอยากเล่น มีความสุข เมาท์มอย อย่างเรื่องนี้ (ฟ้า/ทาน/ตะวัน) เมาท์ไม่ได้หยุดเลย เมาท์จนเรียกเข้าฉาก แล้วยังเดี๋ยวมาคุยต่อนะ คือมันสนุก กับรุ่นเด็กผมก็จะมีวิธีทำการบ้านก่อนว่าเราต้องเจอใครบ้าง ถ้าเราไม่รู้จักหรือไม่มีข้อมูล เราก็จะไปคุยกับเขา เขาจะเกร็งเรามาเลย ก็จะทำงานยากมาก บางคนกว่าจะหายเกร็ง แต่ถ้าได้พูดคุย กินข้าวกัน ไปเที่ยวต่อกันไหม ก็ทำงานจะสนุกมาก กองถ่ายนั้นจะสนุก อย่างเกมปรารถนา ปิดไปตั้งนานแล้วยังนัดเจอกันอยู่เลย หัวหน้าแก๊งเด็กก็ต้องเป็นคนนัด วันนี้ไปนี่กัน เขาก็จะมากัน”
เผยครั้งหนึ่ง! เคยถูกโกงค่าตัว สูญเงินนับล้าน หรือบางทีนั่งรอเช็คในรถ หม้อน้ำระเบิดก็มีมาแล้ว
“แต่เล่นละคร ก็ยังรับค่าตัวอยู่นะ ไม่ใช่ไม่เอาตังค์นะ (หัวเราะ) มันก็ยังมีความสำคัญอยู่ แต่หมายความว่ามันไม่ใช่เป็นจุดหลัก แต่ก่อนก็เหมือนกันรับเงินช้าเพราะรู้ว่าเราได้อยู่แล้ว เขาไม่ได้มาเบี้ยวเราหรอกครับ นอกจากสมัยเล่นหนังต้องรอ ไม่จ่ายเงินอีกงวดไม่ลงจากรถ บางทีรออยู่ในรถจนหม้อน้ำแตกนะ ก็เคยเจอมาแล้ว เพราะลงไปแล้วไม่จ่าย เขาปิดกล้องไปเลย บางกองเป็นแบบนี้จริงๆ เคยเห็นข่าวนางเอกบางคนขโมยฟิล์มที่ถ่ายแล้วกลับไปด้วยถ้าไม่เอาเงินค่าตัวที่เหลือมาให้ไม่ต้องเอาฟิล์มไป ซึ่งถามว่าเราเคยโดนโกงบ้างไหม โอ้ย..แน่ๆ เขาคิดว่าถ่ายแบบนี้แล้วเหลืองวดสุดท้ายจะมาจ่ายวันนั้น ซึ่งถึงวันนี้เขาก็ไม่จ่าย บางทีเขาชิงบอกไม่มีแล้ว เอาที่ถ่ายนั่นแหละก็คือจบเลย เราก็ไม่ได้งวดสุดท้าย เหมือนร้องเพลงบนเวที ถ้าไม่จ่ายเงินก่อนขึ้นเวที พอร้องเพลงจบ เจ้าภาพก็หายไปงี้ (หัวเราะ)
เคยโดนโกงไปเป็นล้าน นั่นคือเหตุผลที่หยุดเล่นหนัง เช็คเด้งเป็นล้านเลย คือใจดีต่อ แต่ก็แอบยากไง ก็เขาเป็นอย่างนี้กัน บางเรื่องผมถ่ายไป 3 วัน ปิดแล้วก็มี ที่เหลือล่ะ เงินจนทุกวันนี้ยังไม่ได้แล้วก็แล้วกันไปจะไปฟ้องยังไง คนกันเองทั้งนั้น ก็นึกถึงฟ้องให้ได้อะไร เขาไม่มีตังค์ ก็ติดหนี้คนนู้นคนนี้อยู่ คนนี้โดนจับไปแล้ว คือทำไงล่ะ เอาเข้าคุกหรอ แล้วเรานอนหลับเหรอ ก็ไม่เป็นไรทำบุญไปครับ”
ยอมรับต้องปิดธุรกิจโรงแรม เพราะพิษเศรษฐกิจจากโควิด แต่ภูมิใจทุกครั้งที่เอาความเป็นไทยไปสร้างสรรค์ที่ต่างประเทศ
“ในส่วนของธุรกิจ คือเรามีธุรกิจหลายอัน บางธุรกิจก็ถอยออกจากการเป็นผู้บริหารซะ กับกลายเป็นผู้ถือหุ้นปกติ ก็ให้เขาบริหารไป เพราะแต่ก่อนบางธุรกิจบริหารเองไงครับ พอเจอยุคโควิดเข้า บางเรื่องก็บริหารกันไปเถอะ ภายใต้วิกฤตแบบนี้ เราก็ถอยมาไม่รับเงินเดือน แรกๆ ก็คิดว่าไม่รับเงินเดือน ใจป๋าไง เงินเดือนเรากี่แสนก็ว่าไป ไม่รับนะ อย่าไปลดเงินเดือนลูกน้อง ก็คิดว่าสัก 2-3 เดือน ผ่านมาปีนึงละ ก็คงเลทไปที่จะไปรับก็ทำเองได้แล้วก็ทำ ค่าใช้จ่ายก็จะได้น้อยลง เราก็ผันตัวเองไปทำอย่างอื่น เพราะเรายังมีทางเลือกที่ทำอย่างอื่นได้ ก็เงินตรงนั้นก็สามารถไปทำให้บริษัทดีขึ้น
ในส่วนธุรกิจต่างประเทศ อันนั้นปิดไปเลย ก็พูดตรงนี้เลยละกัน ตอนที่ผมลงไอจี เพราะผมพูดเรื่องความภูมิใจที่เอาธงไทยไปปักอยู่ที่ต่างประเทศ แต่ไม่ได้พูดต่อว่ามันปิดอยู่ เราไม่ได้พูดเชียร์ว่าธุรกิจเปิดอยู่ แล้วเชิญไปเที่ยวนะ เราพูดถึงความภูมิใจ ตอนนั้นกำลังเห่อลิซ่า แบล็กพิงก์ เราเลยรู้สึกว่าเวลามีไทยไปอยู่ที่ไหน มันช่างรู้สึกดี เราก็เป็นคนนึงที่นี่ไง ความเป็นไทยที่มันไปอยู่ที่เมืองนอก เวลาคนไทยเจอธงไทยที่ปักอยู่ที่โรงแรม มีความรู้สึกว่าเมืองไทย
แล้วยิ่งเดินเข้าไปในโรงแรม มีรูปพระเจ้าอยู่หัวของเรา มีรูปเมืองไทยติดอยู่ แล้วแอบดูฝรั่งที่เขายืนดู เรารู้สึกแบบ ไทยแลนด์ เอาดนตรีไทยไปเล่นในห้องฮอลล์ใหญ่ เขาก็บอกว่านักดนตรียูเล่นดีมาก เราก็บอกนี่คือหางแถวของเมืองไทยนะ ที่เมืองไทยมีเก่งกว่านี้อีก เราก็รู้สึกอยากโม้ในความเป็นไทยแลนด์ของเรามากแค่นั้นครับ จริงๆ มันปิดตั้งแต่ยุคโควิด ตั้งแต่ปิดปรับปรุงมาเจอโควิด ทุกวันนี้ยังเปิดไม่ได้เลย เปิดมาก็ไม่คุ้มเพราะว่าท่องเที่ยวมันไม่ได้กลับมาเหมือนเดิม แต่ในส่วนคลินิก คือทั้งโรงแรมเป็นโรงแรมแล้วก็มีคลินิกอยู่ด้วยเพราะมันซัปพอร์ทกัน คลินิกเปิดได้ แต่ว่าโรงแรมเปิดไป มันก็ไม่คุ้มครับ ซึ่งถ้าสถานการณ์มันดีขึ้น แต่เราก็ไม่รู้จะเปิดอีกไหม ต้องประชุมกันอีกที เพราะต้องใช้ค่าใช้จ่ายเยอะเหมือนกันครับ”
