“นุ่น ศิรพันธ์” คัมแบ็กงานหนังในรอบหลายปี บอกบทดีเหมือนงานศิลปะชิ้นหนึ่ง ได้ร่วมงานนักแสดงรุ่นใหม่ เหมือนเห็นตัวเองตอนสาวๆ อัปเดตรักแฮปปี้ แต่งงาน 7 ปี อยู่เหมือนเพื่อนกัน แนะคู่รักอย่าทำงานร่วมกับแฟน ควรมีบาลานซ์ ชีวิตผู้ร่วมงานและชีวิตครอบครัว ชวนรักษ์สิ่งแวดล้อม แยกขยะหน้ากากและที่ตรวจ ATK
เรียกว่าห่างหายจากงานแสดงไปพักใหญ่ สำหรับนักแสดงสาวมากฝีมือ “นุ่น ศิรพันธ์ วัฒนจินดา” แต่ล่าสุดพอได้เห็นชื่อผู้กำกับ ที่อยากจะร่วมงานด้วยอยู่แล้ว อย่าง “บาส นัฐวุฒิ พูนพิริยะ” และ “หว่องกาไว” ก็ตกลงปลงใจ ส่งเทปไปแคสติ้งทันที จนในที่สุดได้รับเลือก ให้มาเป็นส่วนหนึ่งในภาพยนตร์ “One for the Road วันสุดท้าย .. ก่อนบายเธอ”
“คาแรกเตอร์เรื่องนี้ สิ่งที่แตกต่างจากเรื่องก่อนๆ น่าจะเป็นอารมณ์ของหนังและผลงาน เรามองที่ภาพรวมมากกว่า ความแตกต่างจริงๆ น่าจะเป็นวิธีการเล่น ที่มาเจอผู้กำกับอย่างพี่บาส ที่จะให้เป็นธรรมชาติมากๆ ค่ะ ถามว่านุ่นห่างจากการเล่นหนังมากี่ปี จริงๆ จำไม่ได้เลย ก็ห่างหายไปหลายปีอยู่ เรื่องล่าสุดก็ไปแจมๆ นุ่นว่าเป็นความสนุกมากกว่า หลังๆ จะเล่นเป็นซีรีส์หรือละคร วิธีการแสดงมันก็จะไม่เหมือนกับภาพยนตร์ ยิ่งมาเจอพี่บาส ก็ยิ่งอยากได้ความเป็นธรรมาชาติมากๆ ก็มีการรื้อฟื้นบางอย่างใหม่เหมือนกันค่ะ
จริงๆ ไม่ได้ตัดสินใจรับหรอก แต่ขอบคุณที่เขาเลือกค่ะ (หัวเราะ) พี่บาสติดต่อมา บอกว่าสนใจ และมีคุณหว่องกาไว เป็นโปรดิวเซอร์ด้วย ชื่อของสองคนนี้ เป็นคนที่เราอยากร่วมงานอยู่แล้ว เขาก็บอกตั้งแต่แรกว่ายังไม่ได้งานนะ ต้องมาแคสติ้งก่อน เราแค่รู้สึกว่าถ้าผลงานการแคสของเรา ถ้าพี่บาสหรือคุณหว่องได้เห็นเทปนั้น อาชีพการงานของนุ่นคือฟินแล้ว เพราะค่อนข้างมีโอกาสน้อยที่ระดับคุณหว่องจะมาเห็นเทปแคสติ้งของเรา
แค่เขาได้เห็นก็โอเคแล้ว แต่เขาก็เซย์เยสให้เราอยู่ในโปรเจกต์นี้ อีกอย่างอาจเป็นเรื่องของเวลาด้วย ที่ผ่านมานุ่นเฟดไปทำธุรกิจของตัวเองค่อนข้างเยอะ ด้วยไทม์มิ่งที่พี่บาสเข้ามาด้วย โปรเจกต์นี้มันค่อนข้างแมสกัน บางโปรเจกต์ที่ไม่มีโอกาสได้เล่น อาจเข้ามาในช่วงที่นุ่นงานแน่น ธุรกิจที่บ้านค่อนข้างเยอะ”
การร่วมงานกับนักแสดงรุ่นใหม่ เหมือนเห็นตัวเองตอนเป็นสาว
“เอาจริงๆ รองจากพี่บาส นุ่นก็อาวุโสสุดแล้ว รู้สึกว่าเป็นปูชนียบุคคลเบาๆ เวลาเข้ากองถ่าย น้องๆ ก็สวัสดี น้องๆ ทุกคนเก่ง และเราก็เห็นพลังของเด็กรุ่นใหม่ค่อนข้างเยอะ เหมือนนุ่นเห็นตัวเองเมื่อตอนสาวๆ คนที่อยู่กันใกล้กันมากที่สุด คือน้องไอซ์ซึ เพราะจะเข้าฉากด้วยกันบ่อย ก็จะคุยเรื่องเกี่ยวกับวิธีการแสดง กระบวนการความคิดในการทำงาน หรือแม้กระทั่งบรรยากาศในการใช้ชีวิตของเรา เราเห็นน้องมีความตั้งใจมาก และเรารู้สึกเชื่อมั่นว่าวงการภาพยนตร์ หรือวงการบันเทิงของไทย ถ้ามีคนรุ่นใหม่แบบนี้เยอะมากขึ้น เราน่าจะไปได้ไกล คำว่าสากลเราก็น่าจะไปได้ถึงค่ะ
นุ่นอยากให้มองภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นงานศิลปะชิ้นหนึ่ง ที่นุ่นว่าความเป็นศิลปะมันใส่ความละเมียด ใส่รสนิยมของผู้ทำและทีมงานเข้าไป อาจสวยหรือถูกจริตของใครบ้างไม่รู้ แต่อยากให้มาเสพชิ้นนี้ เพราะรู้สึกเหมือนเป็นงานศิลปะชิ้นหนึ่ง ที่เรารู้สึกว่ามีคุณค่า แต่อีกมิตินึงที่ไม่ใช่งานศิลปะ เรารู้สึกว่าเนื้อเรื่องที่พี่บาสหรือทีมที่ทำ นุ่นว่ามันมีคุณค่าบางอย่าง
เราแค่พูดว่าแฟนเก่า สำหรับพวกเรา คำว่าแฟนเก่าในมุมมองของแต่ละคน ความรู้สึกกับคำนี้ไม่เหมือนกัน เรารู้สึกมันเป็นต้นทุนชีวิตอันหนึ่ง ที่ทำให้เรามีทุกวันนี้ค่ะ คำว่าแฟนเก่า มันอาจให้ทั้งประสบการณ์ ความทรงจำ การเรียนรู้ที่ดี นุ่นเลยคิดว่า คนที่ทั้งอยากเสพงานศิลป์สวยๆ ก็อยากให้ลองมาดู คนที่อยากจะค้นหาความทรงจำของตัวเอง อยากตกผลึกบางอย่าง หรือบางคนอยากหาเวลาในการร้องไห้ และมีเพื่อนร้องไห้ด้วยในภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็อยากให้มาดูค่ะ”
ไม่ซีเรียสสามี “ท็อป พิพัฒน์ อภิรักษ์ธนากร” ล้อว่าเป็น “หมูตัวใหญ่” แต่งงาน 7 ปีเหมือนเป็นเพื่อนกัน กลับมาเป็นเมียผมสั้นอีกแล้ว
“สามีนุ่นผอมค่ะ (หัวเราะ) จริงๆ ตอนนี้นุ่นกับพี่ท็อปเราเป็นเหมือนเพื่อนกันเลย เมื่อเช้าพี่ท็อปขับรถมาส่ง นุ่นก็หันไปบอกนางว่า ‘ขอโทษนะ ที่ฉันเป็นเมียผมสั้นให้เธอตลอดเลย’ คือเราสองคนยิ่งอยู่ มาในปีนี้ก็เข้าปีของการแต่งงานที่ 7 แต่ถ้านับเวลาจริงๆ ก็สิบกว่าปีที่เราอยู่ด้วยกันและรู้จักกันมา มันเหมือนเพื่อนคนหนึ่งไปแล้วค่ะ ก็น่ารักดี เวลาเขาล้อ เราก็จะแบบ ‘7 ปีแล้วมาพูดแบบนี้ เดี๋ยวเหอะ!’
เมื่อก่อนยังมีความหวานๆ แต่นุ่นคิดว่าอันนี้มันคือความสัมพันธ์ที่ดีนะคะ เราคือเพื่อน คือบัดดี้ เวลาทะเลาะ เราก็ทะเลาะแต่เป็นการทะเลาะด้วยเหตุผล นุ่นกับท็อปทำธุรกิจด้วยกัน ความยากของมันคือเวลาเราทะเลาะกัน และเรารู้ว่าต้องกลับบ้านด้วยกัน นอนเตียงเดียวกัน เราจะบาลานซ์ชีวิตยังไง ทั้งเรื่องงานและเรื่องครอบครัว มันต้องสมดุลกัน ปีนี้นุ่นเข้าสู่เลข 4 อย่างเป็นทางการ ถ้าให้คำแนะนำของคนที่มีแฟน หรือใดๆ ก็ตาม อย่าทำงานกับแฟนนะเธอ ฉันพลาดมาแล้ว แต่ฉันก็ต้องประคับประคองต่อไปค่ะ
ไม่ได้ตีกันหรอกค่ะ นุ่นแค่รู้สึกว่าชีวิตมันคงจะง่ายกว่านะ ถ้าเราต่างคนต่างไปทำงาน แล้วเราเอาเวลาที่ดีมาใช้ด้วยกัน แต่ของพาร์ตนุ่น เราเหมือนลงเรือลำเดียวกันแล้ว ซึ่งก็ไม่ได้รู้สึกอยากย้อนเวลากลับไปแก้ไขนะคะ แต่เหมือนเราเลือกวิถีนี้แล้ว มันเหมือนอยู่ด้วยกันที่ออฟฟิศ แล้วมันต้องบาลานซ์ ชีวิตผู้ร่วมงานกับชีวิตครอบครัว ซึ่งนุ่นว่ามันก็หนักอยู่ แต่ก็ยังดีอยู่ค่ะ ก็มีช่วงนี้ที่ขำๆ ล้อแซวกัน แต่ช่วงโควิดต้องยอมรับว่าเป็นช่วงที่เราหนักมาก เพราะ 2 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจของเราวิ่งตลอดเวลา เหมือนเราวิ่งมาราธอนมาก เลยไม่มีโอกาสได้รู้สึกถึงการหยุดนิ่งเลยค่ะ”
แนะวิธีการกำจัดขยะหน้ากากอนามัย และที่ตรวจโควิด ATK ต้องแยกทิ้งเพื่อความปลอดภัย
“ช่วงนี้ทุกคนตรวจโควิดบ่อยมากนะคะ และงานอีกพาร์ตที่พวกเราทำก็คือเรื่องสิ่งแวดล้อม จริงๆ ความรู้ที่ถูกต้องจริงๆ นุ่นทำไว้ในเพจชื่อ ‘ECOLIFE’ ซึ่งในนั้นเราจะบอกว่าวิธีการจัดการขยะในช่วงนี้ ไม่ว่าจะเป็นที่ตรวจ ATK หน้ากากอนามัย หรือพลาสติกที่ได้จากการสั่งอาหารเดลิเวอรี่ เราควรจัดการยังไง
ซึ่งตอนนี้จะมีองค์กรที่ชื่อ ‘N15’ เขารับ ATK ที่เราตรวจ เขาจะเอาไปเป็นพลังงานทางเลือก ไปจัดการให้ถูกวิธีแทนที่เราจะใส่ถุง นุ่นว่าตอนนี้เราผ่านกระบวนการเรียนรู้ว่าพวก ATK หรือขยะติดเชื้อ เราใส่ถุงพลาสติก เขียนว่าขยะติดเชื้อแล้วก็ทิ้ง แต่มันก็มีโอกาสที่ขยะเหล่านี้เล็ดลอดไปที่รถขยะส่วนกลาง หรือหลุดออกจากถุงที่เราใส่และคนที่ได้รับผลกระทบคนแรกก็คือพี่ๆ ที่เป็นคนเก็บขยะ ซึ่งเราก็เป็นห่วงเขา
สิ่งที่เราทำได้ ข้อแรกต้องแยกขยะให้ถูกวิธี และหาวิธีการจัดการ ซึ่งนุ่นจะบอกทุกคนว่าไปห้าง ตอนนี้ที่ง่ายสุดสำหรับคนกรุงเทพฯ คือไปห้างสรรพสินค้า ห้างใหญ่ ๆ แต่ละที่เขาจะมีโซนของการแยกขยะ บ้านนุ่นจะแยกขยะเป็นหมวดหมู่แล้วไปทิ้งแยกที่ห้างสรรพสินค้าอีกทีนึง เพราะเราต้องซื้อของเข้าบ้านอยู่แล้ว อันนี้เป็นวิธีจัดการขยะแบบคนเมืองที่นุ่นว่าง่ายที่สุดค่ะ”