ชีวิตพลิกผัน “หมวย สุภาภรณ์” จากนางร้ายอันดับ 1 ใส่รองเท้าคู่ละ 2 แสน กินไวน์ขวดละล้าน! ตอนนี้ไม่มีงาน ไม่มีเงิน ติดหนี้ค่าเช่าบ้าน กู้ดอกนอกระบบโดนโทร.ด่าทวงเงินทุกวัน ใช้ชีวิตอยู่กับหมา 3 ตัว ซ้ำยังป่วยไบโพล่าร์ซึมเศร้า วอนผู้จัดเห็นใจของานละคร อยากมอบความสุขให้ผู้ชม จะได้เอาเงินไปใช้หนี้
ย้อนกลับไปเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว ในยุคที่ช่อง 7 เฟื่องฟูภายใต้การคุมบังเหียนของ “คุณแดง สุรางค์ เปรมปรีดิ์” ต้องยอมรับเลยว่านางร้ายในยุคนั้นที่เป็นตำนาน นอกจาก “กิ๊ก สุวัจนี”แล้ว ก็ต้องยกให้ “หมวย สุภาภรณ์ คำนวณศิลป์” กับภาพจำในบทบาทของคุณนายที่ 3 จาก “มงกุฎดอกส้ม”และมาดังเปรี้ยงอย่างต่อเนื่องในบท “น้าเย็น”ที่ทำให้ทั้ง “อั้ม พัชราภา ไชยเชื้อ” และ “ยุ้ย จีรนันท์ มะโนแจ่ม”แจ้งเกิดไปตามๆ กันในละครเรื่อง “คมพยาบาท”ชื่อเสียงของหมวยเวลานั้นทำให้งานเงินหลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย ซื้อรองเท้าใส่คู่ละ 2 แสน กินไวน์ขวดละเป็นล้าน ไม่คิดไม่ฝันว่า จะมีวันนี้ วันที่ไม่มีเงิน ไม่มีงาน ต้องอยู่บ้านเช่า ซ้ำยังไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าบ้าน ติดหนี้นอกระบบโดนโทร.ด่าทุกวัน อะไรที่ทำให้ชีวิตของหมวยพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือแบบนี้ วันนี้หมวยยอมเปิดเผยเรื่องราวของตนเอง
“เป็นหนี้ทั้งหนี้นอกระบบ หนี้ที่เกิดจากคนสนิทที่เราไว้ใจ อีกร่วมล้าน และหนี้ที่ตั้งใจจะเป็นหนี้อีก 3 ล้าน เพราะว่าเรารับไม่ได้กับแฟนเก่า เราก็หอบลูก (น้องหมา) หอบทุกสิ่งทุกอย่างมาพัทยา เพราะย้อนกลับไปตอนแรกเราอยู่บ้านพี่สาว เราก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร มีเงินอยู่ก้อนนึง ต่อมาเกิดเหตุหลานชายของเรา เอาไม้ตีหมาเรา ซึ่งหมาคือลูกเรา ใครที่ไม่มีลูกเป็นหมาอย่างเรา จะไม่มีวันเข้าใจว่าเรารักพวกเขามากแค่ไหน เขาพูดใส่หน้าว่าหมาแมวพวกนี้ ถ้าเราตายไป พวกมันก็ยกเราขึ้นเตาเผาไม่ได้ ซึ่งเราก็ตั้งใจว่าถ้าเรากลับไปคราวนี้ มีคนให้โอกาสเรา ให้เรามีงานมีละคร มีเงินเหมือนเดิม เราตั้งใจจะบริจาคร่างกาย และอยากจะบอกหลานคนนั้นว่า กูเผาตัวกูได้ ไม่ต้องมีใครมาเผา ไม่ต้องมีญาติก็ได้”
ย้อนชีวิต “หมวย สุภาภรณ์” จาก “ลูกคุณหนู” เกิดในครอบครัวเศรษฐี ไม่รู้จักคำว่า “ลำบาก”
“ที่ผ่านมาเราใช้ชีวิตประมาท เราต้องโทษตัวเองอย่าไปโทษคนอื่น เราเคยใส่รองเท้าคู่ละ 2 แสน เราเคยมีเงินหลักล้านในบัญชี แต่อย่าไปพูดถึงมัน มันผ่านมาแล้ว มันเป็นอะไรที่เจ็บปวด เพราะเราใช้เงินแบบไม่มีสติไง เราเดินเข้าไปช็อป พนักงานทัก เราก็ต้องซื้อ และก็มีเพื่อนเยอะ ซึ่งมันก็เป็นไปตามวัฏจักรของมัน แต่อย่าไปโทษคนอื่น ผิดที่ตัวเราเอง และก็ขอขอบพระคุณมากๆ สำหรับคนที่เนรคุณเรา ทำร้ายเรา ในทุกๆ อย่างที่เป็นเรื่องไม่ดี ให้เกิดซะวันนี้ ต่อไปเราจะมีแรงและกลับไปอยู่ที่เดิมได้ ขอบพระคุณมากๆ ที่ทำให้เรามาอยู่ในจุดนี้ได้
ซึ่งอยากจะบอกว่าเราเกิดมาในครอบครัวที่รวย ถามว่ารวยเบอร์ไหน เราไม่มีแค่เครื่องบินส่วนตัว นอกนั้นเรามีหมด เรามีคอกม้า มีทุกสิ่งทุกอย่าง และทุกอย่างก็เป็นกงสี ครอบครัวมีลูก 7 คน ก็มีคนใช้ประจำแต่ละคน เป็นลูกคุณหนู เราจะไม่รู้จักคำว่าลำบาก ลำบากคืออะไร มาเล่นละคร ก็ไม่ได้มาเล่นเพราะความยากลำบากเลยต้องมาเล่น แต่พ่อก็คอยเตือนลูกเสมอว่าคนเราไม่มีอะไรยั่งยืนนะลูก เกิดมาดับไป และพอดีเราเป็นคนศึกษาในพระธรรม นั่งกรรมฐาน
เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ มันดีกว่าถ้ามันมันเกิดในวันที่เราไม่มีอะไรจะสู้แล้ว แต่ถ้ามีใครให้โอกาสเรา แค่นี้เราก็มีความสุข เราอย่าไปหาความสุขไกลตัว บางคนหิ้วชาแนล มีเงินมากมาย แต่นั่นมันก็แค่เปลือก ถามว่าในใจเขามีความสุขไหม การใส่รองเท้าคู่ละ 2 แสนมันก็เป็นแค่เปลือก วันนึงก็หมดไป (แล้วสมบัติ รองเท้า ของแบรนด์เนมล่ะ ไปไหนหมดแล้ว?) ก็ขายสิคะ ขายบ้าง แจกบ้าง จำไม่ได้ บางทีใครมาขอก็ยกให้ เพราะตอนนั้นมันรวยไง คนอื่นอยากได้ เราก็ให้ไปไง
เอาง่ายๆ อย่างตอนนั้นเราไปเมืองนอกกับครอบครัว 3 เดือนกว่า พ่อจะแจกเงินลูกๆ ทุกคน วันละ 3,000 เหรียญสหรัฐ เราก็ใช้มันหมดได้ทุก ใช้กับของปัญญาอ่อน หมดกับของกับไร้สาระ เข้าใจคำว่าไร้สาระไหม เพราะชีวิตไม่มีสาระ แต่พอเริ่มโตขึ้นมามันได้เรียนรู้ แต่เราอาจจะเรียนรู้น้อยกว่าคนอื่น อาจจะไว้ใจทุกคน ทุกคนเข้ามาหาเรา คือจริงใจกับเราทุกคน แต่ทุกวันนี้ตีค่ากับทุกคนว่ามึงอยากได้อะไรกับกู บอกมา และสิ่งที่ได้รับจากพี่สาวก็คือหมายบันทึกประจำวันไง ส่วนน้องชายก็พูดว่าจะไปประกันตัวได้ไง ทุกวันนี้ยังไม่มีแด_เลย นี่สิ่งที่เราได้รับ (หัวเราะ) พระพุทธเจ้าสอนว่าอย่าเอาชีวิตไปยึดติดกับใคร แม้กระทั่งผัวหนูก็ตาม
ในช่วงที่ผ่านมาคือเราติดเงินเจ้าของบ้านหลายเดือนมาก จนเราบากหน้าไปขอเงินแม่มา 150,000 บาท จ่ายค่ายเช่าบ้าน และค่าเช่าล่วงหน้าหมดเลย จ่ายไปถึงเดือน พ.ย. ที่ผ่านมา แต่อะไรๆ มันก็ไม่ดีขึ้น อะไรมันก็ไม่เป็นไปตามเป้า ตอนนี้ก็พึ่งได้กับเพื่อน และพี่สาวที่ทำอู่รถ เขาก็โอนเงินมาให้บ้าง ซึ่งถามว่ามันมากไหม มันก็ไม่มาก ถ้าเทียบกับเมื่อก่อนคือเราพกเงินเป็นแสน ถามว่าทำไมต้องพกเยอะขนาดนี้ เพราะถ้าไม่เป็นแสน แล้วจิตใจเราจะไม่มั่นคง (แล้วพอชีวิตเป็นแบบนี้ เราเคยอดข้าวไหม?) อดเลยไหม ก็บอกว่าไม่เคยนะ เพราะมีไวตามิลล์และกล้วย ก็กินอิ่มไง คนอื่นเขาส่งมาให้”
ไทม์ไลน์! กว่าจะมาถึงคำว่า “ตกอับ” เหตุเพราะไว้ใจคนใกล้ตัว จนทำให้เกิดความประมาทในชีวิต
“ซึ่งการที่มาเป็นทุกวันนี้ อย่างแรกที่อยากจะบอกว่าเราไม่อยากกลับไปมีครอบครัวที่มีแฟนเก่าแบบนั้นแล้ว ทวงทุกอย่างแม้กาแฟแก้วเดียวยังทวงเลย เป็นคุณ คุณแฮปปี้ไหม (แฟนเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง?) เป็นผู้หญิงค่ะ แต่ผู้ชายก็มีนะ แต่ที่หมายถึงนี่คือแฟนที่เพิ่งเลิกไป แต่ถามว่าเขาให้อะไรกับเราบ้าง เขาเป็นเหมือนเซลล์มะเร็งที่มาเกาะตัวเรา ถ้าเราเขี่ยออกไปได้ มันก็เหมือนขี้ มันก็ออกไปแล้ว
แคร์ไหม ไม่แคร์ อยากมีเหรอ เฉยๆ เพราะมันเป็นเหมือนเนื้องอกหรือส่วนเกิน มันเข้ามาในชีวิต เข้ามาในชีวิตกูก็ไม่ได้ทำให้กูรวยขึ้น เดินไปไหนมีคนเข้ามาทักก็ไม่ใช่เพราะเป็นแฟนกูเหรอ เพราะฉะนั้นอย่าทวงอะไรกัน ส่วนสิ่งที่ทำให้เราต้องมานอนแบบนี้ ก็เพราะความประมาทในการใช้เงิน สองความโชคไม่ดีจากการลงทุนอะไร ใครก็โกง สามเราเป็นคนรักใคร ก็รัก เวลาที่เขาลำบาก เราช่วยหมด ตีเช็คเท่าไหร่ กูค้ำให้หมด จนไม่มองว่าตัวเองจะมีชีวิตในวันนี้ แต่ก็ให้มันสุดไปเลย เราเดิมพันด้วยชีวิตเรา เราจะไปกลัวอะไร เกิดมาครั้งเดียว เกิดมาครั้งนึง คนเราต้องตายไหม เพราะฉะนั้นเรามีโอกาสอีกเพียงแค่ครั้งเดียว
ถ้าตายก็ให้มันตาย ถ้าสุดก็ให้มันสุด ถ้ามันตกที่ไหนก็ให้มันตกให้สุด ชีวิตเราไม่มีสีเทามีแค่ขาวกับดำเท่านั้น อะไรจะเกิดก็เกิด ถ้าเจ้าบ้านเช่าจะไล่ออกไปจากบ้านก็ให้เขาไล่ และเราก็มีหมายเรียก ที่เราไปยอมรับสภาพหนี้ ต้องผ่อนจ่ายเดือนละ 5,000 บาท ทั้งๆ ที่เราไม่ได้ใช้เงิน แค่ไปตีเช็คค้ำประกันให้คนอื่น ซึ่งถ้าไม่จ่ายก็คงติดคุก ถามวันนี้มองเห็นอะไรไหม หมวยมองไม่เห็นอะไรเลย อะไรจะเข้ามาก็เข้ามาให้หมด
ถามว่าเราจะไปสุดแค่ไหน เรามองไม่ออกหรอกว่ามันจะสุดแค่ไหน ใครจะคิดว่าหมวยจะต้องมาอยู่แบบนี้ เราไม่ได้ขายดรามา เราขายความจริง ซึ่งถามว่าสุดแค่ไหน สุดแค่กูตาย และถามว่าคิดอยากตายไหม คิดอยู่เหมือนกัน ยังบอกเพื่อนเลยว่ากูไม่ไหวแล้ว กูพร้อมจะไป แต่ห่วงอย่างเดียวคือหมา ช่วยเอาหมาไปให้พี่สาวกูหน่อยนะ (น้ำตามคลอ) กูสู้ไม่ไหวแล้ว วันนี้กูจะไปแล้ว ตัวเราทำชีวิตตัวเราเอง เราจะห่วงชีวิตตัวเองทำไม”
ถ้าจะจบชีวิต ขอจบด้วยตัวเอง ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นมาตัดสินชีวิต!
“ที่ผ่านเราเล่นละครจนเป็นตำนาน อันนี้คิดเองหรือเปล่าไม่รู้ เรามอบความสุขให้ผู้ชมมา 30 กว่าปี ตอนนี้เราก็อายุ 50 แล้ว เราบอกตัวเองว่าถ้าจะต้องจบชีวิต ก็ขอให้จบด้วยตัวเราเอง ไม่ต้องมาเขี่ยให้ชีวิตฉันจบ ขอโทษนะ ไม่ต้องเสือ_ ชีวิตกู กูกำหนดของกูเอง และก็ไม่ได้ดรามา มันเป็นจังหวะของเรา เป็นความเชื่อใจเขา เราจะไปโทษใครล่ะ นอกจากโทษตัวเอง วันนี้ไม่โทษใคร และการที่เราคิดจะอัตวินิบาตกรรมเพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเจอไปทุกอย่าง (เสียงสะอื้น) มันไม่ไหวแล้ว หมวยไม่ไหวเพราะชีวิตมันเป็นแบบนี้ และเราชั่วอย่างเดียวคือติดบุหรี่
ในความที่เราตรงไปตรงมา อาจจะมีคนไม่ชอบเราก็เป็นไปได้ เราเลียคนไม่เป็น ทำไม่เป็น และไม่รู้จะทำเพื่ออะไร เราใช้ความสามารถและผลงานเข้าแลก ไม่ใช่จะมาแบมือขอเงินใช้หน่อย เราทำอะไร เราสุดทุกเรื่อง ไม่มีละครเรื่องไหนที่เราไปสาย ซึ่งถ้าไปสายคือท้องเสีย เพราะเราเป็นคนที่กินอะไรนิดหน่อยก็จะท้องเสีย กองละครจะรู้กัน เรามาได้ทุกวันนี้เพราะคุณแดง สุรางค์ เปรมปรีดิ์ เรามาได้ทุกวันนี้เพราะสองมือ สองแรงของเราเอง
(และถ้าวันนี้เราจะกลับไปเล่นละคร เราจะลดความตรงไปตรงมาลงไหม เพราะมันเป็นภัยกับเรามาก?) มันเป็นภัยกับเรามาก แต่ตอนนี้คุยกับแฟนของน้องบอย สามช่า เขาจะมาเป็นผู้จัดการให้เรา เพราะตลอดชีวิตเราไม่มีผู้จัดการเลย เข้าใจแหละว่าทำไมดาราต้องมีผู้จัดการ เพราะเขาไม่ต้องการปะทะ เราก็ไม่เข้าใจว่าทุกคนบนโลกนี้ ทำไมรับความจริงกันไม่ได้ และชอบหลอกลวงกันก็เอาสิ”
เพราะความพูดตรงไปตรงมา จนบางครั้งตรงเกินไป จนทำให้ไม่มีเพื่อน! ถึงขั้นมีคนบอกว่า “มึงเลิกนิสัยนี้ได้ไหม?”
“เสียใจไหมกับการเราพูดความจริง เสียใจวิคะ การที่คนเราพูดความจริงแล้วไม่โกหก เราไม่ผิดศีล 5 เราผิดอะไร ถ้าคนๆ นั้นเขารับความจริงของเขาไม่ได้ มันเป็นความผิดของเราเหรอ ความจริงที่เราพูด มันสะเทือนใจเขาเหรอ ถ้ามันสะเทือนใจ (เสียงสั่นเครือ) ก็อย่ามาถามฉัน มาถามฉันทำไม ซึ่งน้อยใจไหม เราอย่าใช้คำว่าน้อยใจ เราใช้คำว่าไม่ดีพอ เขาไม่คบเรา เขาลืมกันไปหมดแล้ว เราอย่าเอาตัวเองไปบอกว่าเป็นเพื่อนเขา อย่าทำ ทำแล้วเราจะเสียใจ เขาไม่ให้ค่าเรา เราก็ไม่ควรให้ค่าเขา เราวินๆ นักเลงพอ
วันนี้ 50 แล้วจะมาดัดไม้แก่ มันดัดไม่ได้หรอก เคยมีคนบอกว่าหมวย มึงเลิกได้ไหมไอ้นิสัยที่ตรงเกินไป เป็นคนที่มีความจริงใจ ผิดตรงไหน เป็นคนพูดความจริง ผิดตรงไหน แต่ผิดตรงคุณนั่นแหละที่รับความจริงไม่ได้ แต่วันนี้นอนแบบนี้ กูก็รับของกูได้ หนี้นอกระบบจะส่งคนมายิงกู ช่วยโทร.มานัดก่อนนะ เดี๋ยวกูยืนนิ่งๆ ไม่หนีด้วย ซึ่งหนี้นอกระบบก็ประมาณ 2 แสนกว่าบาท ซึ่งพอๆ กับรองเท้าที่เราเคยใส่เลย แต่จะให้ทำยังไงล่ะ ก็ชีวิตมันเป็นแบบนี้ จะให้ตีอกชกตัวเหรอ แล้วไปป่าวประกาศเหรอ ซึ่งใครจะมาดูถูกฉันไม่ได้ เพราะเงินที่กินฉันก็ขอจากพี่สาว และบางคนเขาโอนมาให้
หมวยต้องการโอกาสที่สำหรับคนที่เห็นคุณค่าของหมวยนะคะ เงินซื้อหมวยไม่ได้นะคะ เพราะหมวยเคยรวยมาก่อน และหมวยพร้อมตายตลอดเวลา เพราะฉะนั้นหมวยต้องการงานที่หมวยอยากกลับไปทำ และขายผลิตภัณฑ์ที่รังสรรค์ขึ้นมา ออกตลาดให้ทุกคนได้ใช้กัน แต่ที่ยังขายไม่ได้เพราะเราไม่มีเงินในการทำการตลาดต่อไป ซึ่งก็ลงทุนไปเป็นล้านแล้วไง หมวยขอแค่โอกาส กลับไปเล่นละคร กลับไปสร้างความสุข”
รับป่วยเป็น “ไพโบล่าร์-โรคซึมเศร้า” เคยไม่นอนมา 10 วันเพราะขาดยา
“ตอนนี้ก็ต้องติดยา เพราะป่วยเป็นไพโบล่าร์ไง ติดเงินหมอค่าจาก รพ. คลินิก ตอนนี้ก็ต้องหันมารักษาที่ รพ.รัฐบาล และที่กังวลคือซึมเศร้าที่เราเป็นนี่แหละ ซึ่งมันก็เป็นโรคเดียวกันกับไพโบล่าร์ ถึงได้มีอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ กินยาตอนเช้าเพื่อกำกับอารมณ์เอาไว้ และก็มียากลางคืน เพราะถ้าไม่กินก็จะไม่นอน 10 วัน ซึ่งก็เคยมาแล้ว เคมีในสมองไม่เท่ากัน โรคนี้มันเกิดแต่เฉพาะบุคคล มันมักจะเกิดกับคนที่ประสบความสำเร็จมากๆ ประสบความสำเร็จจนมันติดเพดาน
และเราไม่สามารถกลับไปแก้ไขอดีตได้ แต่เราเอาอดีตมาเป็นครูในปัจจุบันเราได้ ถามว่าวันนี้มีโดราเอมอนและกลับไปทำปัญญาอ่อนเหมือนเดิม ยืนยันว่ายังทำค่ะ เพราะถ้าไม่ทำวันนั้น มันก็จะไม่เหตุวันนี้ มันเป็นบทเรียนในวันนี้ อย่างที่บอกว่าจะไม่โทษใครและไม่อยากย้อนเวลาด้วย เพราะมันเสียเวลา จะคิดทำไมกับเรื่องที่มันผ่านไปแล้ว คิดเพื่อ อยู่กับปัจจุบัน หายใจเข้าออกก็พอแล้ว และวันไหนที่เราไม่อยากอยู่ เราก็ยกโทรศัพท์หาเพื่อนเพื่อจะฝากให้เอาลูก (น้องหมา) ไปให้กับพี่สาวที่ทำอู่รถดูแลต่อ”
พร้อมกลับไปทำงาน เล่นละครอีกครั้ง! และวางแผนอีก 10 ปีรีไทร์ตัวเองออกจากวงการ ฉันต้องการเป็น “ตำนาน” แต่ไม่ได้อยากอยู่ไป “ตลอดกาล”
“คนอาจจะสงสัยว่าทำไมเราไม่ไปอยู่กับครอบครัว อันนี้เราก็ได้บทเรียนมา ว่าทุกคนเขาก็มีครอบครัวของเขา เราไม่ได้รักกันในวันที่เราเป็นเด็กๆ เราเคยคิดว่าเราต้องรักเขามากๆ แต่คำตอบที่ได้ทำให้เราต้องร้องไห้อยู่ 3 วัน เพราะความรักนั้น รักมันยังอยู่ แต่มันไม่ได้หาไปไหน แต่มันไม่เท่าเดิม (เสียงสั่นคลอ) สำหรับเรามันเท่าเดิม แต่สำหรับคนอื่นมันไม่เท่าเดิม เราจะไปเรียกร้องอะไร เขาให้แค่ไหนก็ควรเอาแค่นั้น จำแค่ความรัก ถามว่าคนเราเกิดมามีทุกข์เพราะอะไร เพราะว่าเรายึดติดกับมัน (น้ำตาคลอ) ทุกข์เพราะเราต้องพลัดพรากจากของที่เรารัก เพียงแต่มันเกิดกับเราก่อนเท่านั้นเอง
เราอยากจะเล่นละคร เพราะจะเล่นละครอีกแค่ 10 ปีแล้วก็จะรีไทร์ตัวเองแล้ว จะไม่รอให้ใครนับชก จะไม่มีคำว่าตลอดกาลแต่จะมีแต่คำว่าตำนาน เป็นได้แค่ตำนานเท่านั้น วันนี้ใครจะเรียกว่าตกอับหรืออนาถา ก็แล้วแต่เลย up to you แต่สำหรับเราใครก็เอาเกียรติ เอาฝีมือจากเราไปไม่ได้”