หลังจากขึ้นแท่นเป็นคู่รักสุดหวือหวาเพราะการแสดงความรักซึ่งกันและกันในที่แจ้งของม่ายสาวสวย “เมแกน ฟ็อกซ์” กับ “แมชชีน กัน เคลลี” ล่าสุดทั้งคู่เตรียมเข้าพิธีแต่งงานเมื่อฝ่ายชายคุกเข่าขอแต่งงานเมื่อวันที่ 12 ม.ค. ที่ผ่านมา หลังออกเดตกันมาตั้งแต่ปี 2020 โดยสถานที่ขอแต่งงานคือสถานที่เดียวกันกับที่ทั้งคู่พบรักกันด้วย
แมชชีน กัน เคลลี หรือชื่อจริงว่า โคลสัน เบเกอร์ ได้เผยเรื่องน่ายินดีผ่านทางอินสตาแกรมโดยแคปชันว่า “ครับ ในชาตินี้ และทุกๆชาติ ใต้ต้นไม้ต้นเดียวกันกับที่เราตกหลุมรักกัน ผมพาเธอกลับมาที่นี่และขอเธอแต่งงาน”
ร็อกเกอร์หนุ่มได้จัดทำแหวนหมั้นสุดพิเศษกับดีไซเนอร์ดัง สตีเฟน เว็บสเตอร์ โดยเป็นอัญมณีประจำวันเกิดของทั้งคู่นำมาเชื่อมต่อกัน
“ผมรู้ว่าแหวนปกติควรจะเป็นแค่หนึ่งวง แต่ผมออกแบบร่วมกับ สตีเฟน เว็บสเตอร์ ให้เป็นสองวง มีมรกต ซึ่งเป็นอัญมณีประจำวันเกิดของเมแกน และเพชร อัญมณีประจำวันเกิดของผม มาตั้งอยู่บนตัวเรือนที่เชื่อมติดกันเหมือนสองร่างกลายเป็นหนึ่งเดียวก่อเกิดดวงใจอันเป็นความรักของเราสองคน”
ด้าน เมแกน ฟ็อกซ์ ได้อัปวิดีโอขอแต่งงานลงในไอจีพร้อมแคปชันว่า “เดือน ก.ค. 2020 เรานั่งใต้ต้นไม้ เราขอให้มีมนต์วิเศษ เราลืมความเจ็บปวดที่เราต้องเผชิญร่วมกันในช่วงเวลาแสนสั้นที่แสนวุ่นวาย กับงานที่เข้ามาไม่ทันตั้งตัว กับความสัมพันธ์ที่ต้องเสียสละ ให้เหลือเพียงการมึนเมาในรัก และโชคชะตา”
“หลังผ่านไปหนึ่งปีครึ่ง เราเดินลงนรกด้วยกัน เราหัวเราะด้วยกันมากกว่าที่ฉันเคยคิดไว้ เขาขอให้ฉันแต่งงานกับเขา และเช่นเดียวกับทุกชาติก่อนหน้านี้ และทุกชาติที่จะตามมา ฉันตอบตกลงค่ะ...และเราก็ดื่มเลือดของกันและกัน”
ร็อกเกอร์หนุ่มเพิ่งจะป่าวประกาศบอกเพื่อนๆว่าเขาวางแผนที่จะขอ เมแกน ฟ็อกซ์ แต่งงานไว้แล้ว โดยไม่แคร์ว่า เมแกน ฟ็อกซ์ จะเคยผ่านการแต่งงานกับ ไบรอัน ออสติน กรีน ที่อยู่กินกันมาตั้งแต่ปี 2010 – 2021 และมีลูกชายด้วยกัน 3 คนคือ โนอาห์ วัย 9 ปี, โบห์ดี วัย 7 ปี และ เจอร์นีย์ วัย 5 ปี
แมชชีน กัน เคลลี กับ เมแกน ฟ็อกซ์ เริ่มมีข่าวด้วยกันหลังจากทั้งคู่ร่วมงานกันในภาพยนตร์ Midnight in the Switchgrass และเพิ่งเปิดตัวกันออกสื่อในช่วงหลังๆ โดยฝ่ายร็อกเกอร์หนุ่มที่เพิ่งเปิดใจให้ความรักดูจะคลั่งรักหนักมากทีเดียว
“มันควรจะเป็นทางสว่าง แต่เราก็พากันลงนรกไปด้วยกัน มันมีทั้งเรื่องที่น่ายินดีและน่าเจ็บปวดอยู่แล้ว ผมไม่ได้ต้องการให้คนอื่นมองว่าคู่เรามันสมบูรณ์แบบ ผมไม่ได้บอกว่ามันคือเทพนิยายที่มืดมนที่สุดอย่างไร้เหตุผล ผมมาจากครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์ และผมมองว่าความรักเป็นสิ่งที่ไม่เวิร์ก จากนั้นผมก็โตมาในวัฒนธรรมป็อปที่พวกเขาไม่ได้ทำหนังรักโรแมนติกอีกต่อไป มันเจ็บปวดเหมือนกันนะที่ผมเสียเวลา 30 ปีในชีวิตไปกับการไม่เคยปรารถนาในความรัก”