รู้จักมากกว่าที่ตาเห็น “ต้าห์อู๋ พิทยา” ชนะโหวตเกือบ 4 ล้านคะแนนจาก “LAZ iCON” เตรียมเดบิวต์เป็นบอยแบนด์ช่องวัน เผยชีวิตอีกมุมที่ไร้โชค กว่าจะมีวันนี้ต้องชินกับความผิดหวัง เปลี่ยนเป็นพลังให้ต้องสู้ต่อไป ขอบคุณตัวเองที่ไม่เคยยอมแพ้ แม้บางครั้งจะแอบร้องไห้กับโชคชะตาที่ฟ้าไม่เคยเห็นใจ
“LAZ iCON” ไอคอนป๊อป ตัวท็อปเดบิวต์รายการที่คัดสรรจาก “เด็กฝึก”เพื่อจะเอาไปพัฒนาต่อให้เป็น “ศิลปิน”โดยผู้ชนะเลิศทั้ง 5 คนจะได้เป็นบอยแบนด์ภายใต้สังกัดช่องวัน 31 และหนึ่งในนั้นที่คะแนนนำมาอย่างต่อเนื่องในทุกๆ อีพีสำหรับผู้ชายที่ชื่อว่า “ต้าห์อู๋ พิทยา แซ่ฉั่ว”แม้ในรอบไฟนอลสเตจจะไม่ได้ขึ้นโชว์เหมือนเพื่อนๆ เนื่องจากร่างกายยังไม่สมบูรณ์ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความพยายามในการที่จะเป็นไอคอนลดน้อยลงเลย ที่พูดคุยกับหนุ่มคนนี้ตลอดครึ่งชั่วโมง สิ่งนึงที่สัมผัสได้เลยว่าเขาไม่เคยโทษโชคชะตาใดๆ เพราะไม่ว่าจะเป็นความผิดหวัง หรือในวันที่แพ้ แต่ทั้งหมดทั้งมวลก็หล่อหลอมให้เป็นเขาในวันนี้ ในวันที่ทุกคนได้รู้จักผู้ชายที่ชื่อ “ต้าห์อู๋”
“ตอนนี้ความรู้สึกอิ่มความสุขจนมันจะล้นออกปาก นอนตะแคงก็ยังไม่ได้ มันจะไหลออกจากหู (ย้อนกลับไปวันที่จดหมายออกมาว่าเราไม่ได้ขึ้นรอบไฟนอล?) ผมรู้สึกอยู่แล้วว่าผมไม่ได้ขึ้นรอบไฟนอล วันแรกเราเสียใจ ทำไมร่างกายเราไม่พร้อม เพราะมันคือโมเมนต์สุดท้าย เป็นโมเมนต์ที่เราเฝ้าคอยมาตลอด ผมเคยพูดมาตลอด ต้าห์อู๋อยากอยู่บนสเตจ ต้าห์อู๋ไม่ได้เอาคำว่าเดบิวต์มาตั้งในการแข่งขัน อู๋แค่ต้องการมีพื้นที่ในการโชว์ความสามารถของตัวเอง สเตจสุดท้ายมันสำคัญมาก แต่ตัวอู๋เองก็ต้องมูฟออน ก็ต้องทำต่อไป เสียใจอยู่สักพักนึง แต่เราก็ต้องเตรียมตัวทำอย่างอื่น ตั้งไลฟ์ จัดห้อง เตรียมสคริปต์ เพราะมันเป็นรายการสดด้วย เราต้องมูฟออนให้เร็วที่สุด
เราก็ให้กำลังตัวเอง ก็บอกตัวเองหลังจากที่เรารู้ว่าเราไม่ได้ขึ้นไฟนอลสเตจ ผมก็บอกตัวเองว่าไม่เป็นไร ได้แต่ภาวนาให้มันได้เดบิวต์ ผมก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโหวตให้ตัวเอง แม้เราจะไม่ได้ขึ้นไฟนอลสเตจแต่ก็บอกตัวเองว่าสักวันนึง อู๋ต้องทำสเตจต่อๆ ไป ให้แฟนคลับได้ดู มันก็เป็นแรงผลักดันที่ให้เราอยากพัฒนาตัวเอง อยากให้คนได้ดู เชื่อว่าไฟนอลสเตจนี้ไม่ใช่สเตจสุดท้ายของผมจริงๆ แต่เป็นไฟนอลสเตจในรายการ ผมยังเชื่อว่าคนที่รักผม คนที่ยังซัปพอร์ตผม ยังอยากดูผมโชว์อีกต่อๆ ไป มันเป็นฟิวส์แบบหนังจบแต่ไม่ได้แฮปปี้เอ็นดิ้ง แต่มันก็น่าติดตามไปอีกแบบ แบบภาค 2 อะไรแบบนี้อ่ะครับ
ซึ่งถามว่าร้องไหม มันก็ร้องไห้ มันก็มีน้ำตานะ แต่ร้องไห้แค่ 1 ฮึบ ก็คือพอร้องเสร็จ ก็ถามตัวเองว่าร้องทำไม แล้วเราจะต้องทำอะไรต่อดี และก็ร้องไห้อีกรอบนึงตอนที่เพื่อนๆ อยู่ในรายการ เราอยากไปอยู่ตรงนั้น เราอยากจะไปกอดเพื่อนๆ ทุกคนตรงนั้น ไม่ว่าเราจะผ่าน ไม่ผ่าน แต่เราอยากจะกอดเพื่อนจริงๆ มันเป็นการรวม 35 คนในวันสุดท้ายแล้ว แต่อย่างที่บอกว่ามันทำอะไรไม่ได้ แต่สุดท้ายถ้าเรามีมิตรภาพด้วยกันจริงๆ เราก็คงได้เจอกัน ไม่ได้จากการตลอดไป”
ขึ้นชื่อว่า “บอยแบนด์” ในยุคที่ T-POP กำลังเฟื่องฟู พร้อมรับความกดดันและความคาดหวังจากทุกคน
“พอวันนี้เราทั้ง 5 คนได้มาเป็นบอยแบนด์ เราก็มีการคุยกันทั้งจริงจังแล้วบ้าง หลายคนอาจจะเรียกพวกเราแล้วว่าเป็นศิลปิน แต่พวกเราก็อยากจะฝึกซ้อมต่อ และจริงๆ แล้วอู๋เป็นคนประเมินตัวเองตลอด ไม่ได้คิดว่ามาตรฐานตัวเองสูงแล้ว และผมก็ยังไม่สามารถไปยืนอยู่บนมาตรฐานนั้นได้ มันแค่แตะๆ เท่านั้นเอง และการที่เราพูดถึงมาตรฐาน เราต้องไปด้วยกันครับ มันต้องฝึกกันอีกสักพักนึง เพื่อที่จะวันที่เราปล่อยผลงานออกมา เราไม่อยากลักไก่ เราอยากทำผลงานชิ้นแรกออกมาให้ดีที่สุด ส่วนในเรื่องความกดดัน มันไม่มี แต่มันจะเป็นแรงผลักดันและกำลังใจจากทุกคนที่อยากให้เราทั้ง 5 คนทำผลงานออกมาให้ดีให้กับแฟนคลับ เราจะทำอะไรตอบแทนพวกเขา มันจึงต้องใช้เวลาในการเตรียมตัว ทุกคนจะเป็นภาพที่ออกมาดีกว่าตอนนี้ และวงการที-ป๊อปของเรามีคนเก่งเยอะมากเลยครับ ผมไม่ได้เซ็ตว่าใครมีมาตรฐานหรือไม่มี ทุกคนมาอยู่ในวงการนี้เพราะรักการร้องและการเต้น เราพูดถึงตัวเองมากกว่าว่าเราจะไปถึงจุดตรงไหน ต่อให้เราเซ็ตเอาไว้และเราไปไม่ถึงก็ตาม อย่างน้อยเราได้เซ็ตเป้าหมาย และเราได้ทำ ได้พัฒนาตัวเอง ผมเชื่อว่าสิ่งที่เราตั้งเป้าไว้มันจะกลับมาให้สู่ตัวพวกเรา 5 คนแน่นอน”
ยอมรับความผิดหวัง แต่ไม่ละทิ้งความฝัน ขอบคุณครอบครัวที่ทำให้ไม่ยอมแพ้!
“พอวันนี้ทุกอย่างมันประสบความสำเร็จหนึ่งขั้น ผมอยากบอกตัวเองมากเลยว่า พูดไปแล้วอยากจะร้องไห้ (ยิ้ม) ผมอยากจะบอกตัวเองมากเลยว่าขอบคุณที่ไม่เคยยอมแพ้ กับความผิดหวัง เพราะตัวผมเองผิดหวังมาเยอะมาก ผมเกือบจะไปถึงฝัน ไปที่จีนมาแล้ว 2 รอบ เราอยู่ในรายการใหญ่มากๆ แต่มันก็ผิดหวัง เราไปถึงรอบไฟนอลสเตจแล้วนะ แต่เราก็ไม่ได้ขึ้น แต่สุดท้ายแล้วมันก็คือสิ่งที่เราเคยประสบความสำเร็จมา ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเราได้ใช้ประสบการณ์ ความผิดพลาด เราได้เรียนรู้อะไรต่างๆ มากมาย และเราก็ไม่ยอมแพ้ ก็เลยรู้สึกว่าตัดสินใจไม่ผิดเลยนะที่เราเลือกทำในสิ่งที่เรารัก เราเอาสิ่งที่เราทำแล้วมีความสุข จัดวางแล้วไว้ด้านบนสุดตอนนี้ผมมีความสุขมากๆ ครับ ที่เลือกไม่ผิดครับ
สิ่งที่ทำให้ผมไม่ยอมแพ้ จริงๆ มันมีหลายองค์ประกอบมากครับ หลักๆ เลยผมอยากให้ครอบครัวผมสบาย จริงๆ ผมไม่ค่อยพูดเรื่องครอบครัวที่ไหน แต่ที่บ้านผมค่อนข้างลำบากมากๆ ผมซัปพอร์ตตัวเองมาโดยตลอด ด้วยความที่ป๊ากับม๊าจะเป็นเซฟโซนมากๆ เลย แม้เราจะผิดหวังมากี่รอบ เขาก็จะบอกว่าไม่เป็นไร ป๊าม๊ารอได้ ป๊าไม่ได้เร่งรีบอะไรเลย ป๊ารอดูความสำเร็จของเรา หรือจะกลับมาอยู่บ้านเฉยๆ ก็ได้นะ ถ้าผิดหวังก็กลับมา ทุกอย่างมันเป็นประสบการณ์ มันเลยเป็นแรงให้เราลุกขึ้นมา เพราะเมื่อไรที่เราล้ม ผมก็พูดกับตัวเองว่าเราจะไม่ยอมนอนอยู่อย่างนั้น สักวันเราต้องขึ้นไปอยู่ในจุดที่ทำให้พ่อแม่เราภูมิใจ และตัวเราเองภูมิใจได้ และสิ่งที่เราทำอยู่ มันเป็นสิ่งที่เราไม่ได้ฝืนเลย มันเป็นสิ่งที่เรารักมากๆ มันก็เลยเป็นสิ่งที่ทำให้เราไม่เคยยอมแพ้ในตัวเองเลย”
“และป๊าไม่เคยบอกให้เรายกเลิกฝันที่เราฝันไว้ เพียงแค่บอกว่ากลับมาบ้านนะ ป๊าม๊าทำข้าวให้กิน ไม่มีตังค์ไม่เป็นไร ป๊าม๊าทำข้าวให้กิน มันเป็นคำที่ฟังแล้วแบบว่า เขารอดูความสำเร็จของเรา และแม้ว่าเราจะผิดหวัง ผมเป็นผู้ชาย ผมโทร.ไปร้องไห้กับป๊าม๊า ตั้งแต่ตอนไปจีนก็โทร.ไปบอกว่าเราไม่ได้ไปต่อแล้วนะ และการที่เราพูดว่าเราผิดพลาด และเป็นการผิดพลาดครั้งที่สอง มันเจ็บปวดมาก แต่เสียงของพ่อแม่เราก็ยังมองว่าเราเป็นลูกคนนึง และก็พร้อมที่จะโอ๋เราเสมอ และถึงแม้เราไม่ได้ขึ้นไฟนอลสเตจ แต่ป๊าก็ยังโทร.มาบอกว่าไม่เป็นไร มันเป็นประสบการณ์นะ เราเลยรู้สึกว่าพ่อแม่ของเรา แม้จะไม่มีเงินมีทองเหมือนคนอื่น แต่สิ่งที่เขามีให้ไม่ต่างจากพ่อแม่คนอื่นเลย คือความรัก รักและก็รอดูเราจริงๆ
ซึ่งวันที่เราได้มาอยู่ตรงนี้แล้ว ม๊าร้องไห้ แต่ป๊านิสัยเหมือนอู๋คือคนตลก ม๊าเขาร้องไห้ บอกว่าสักทีเนอะลูก แต่เขาก็แฝงไปด้วยความเป็นห่วงตามภาษาแม่ พูดว่าต่อไปก็ใช้ชีวิตแบบระวังๆ ให้มีความสุข (พอวันนี้เราได้มาเป็นศิลปิน เราคิดว่าครอบครัวเราจะต้องสบาย?) ผมตอบไม่ได้เลยว่าเส้นทางนี้มันจะได้เงินมากน้อยแค่ไหน แต่การที่ผมมายืนในจุดนี้ ไม่ได้เอาเงินที่เป็นที่ตั้ง เพราะช่วงนี้พี่สาวผมเป็นเสาหลักให้ทางบ้าน ผมก็เลยขอทำในสิ่งที่ผมอยากทำ ถ้าเงินมันตามมา และผมเป็นคนไม่ได้ใช้เงินเยอะขนาดนั้น ถ้าได้มาหมื่น สองหมื่นก็แบ่งให้ที่บ้านได้สบาย”
เอาความพยายามสู้กับดวงทุกวินาที แม้บางครั้งจะถูกมองว่าเส้นทานี้ไม่เหมาะกับผู้ชายที่ “ต้าห์อู๋”
“การที่เราไปประกวดแต่ละครั้ง เราก็ใช้เงินตัวเองหมดเลย แต่โชคดีที่ครั้งแรกกับครั้งสอง ไม่ต้องใช้เงินเพราะเขาเป้นคนออกให้ ผมโชคดีตรงที่ว่าผมทำงานมาตั้งแต่ปี 1 - ปี 2 มีเงินเก็บอยู่บ้าง ซึ่งพอเราไม่ประสบความสำเร็จ เราก็ไม่เคยหยุดที่จะทำตามความฝัน เพียงแต่คิดว่าดวงผมไม่ดี แต่ผมใช้ความพยายามสู้กับมันได้ ถ้าผมพยายามในทุกวินาที ผมไม่ได้ใช้ดวงตลอด ใช้ความพยายามและมีคนเห็นตรงนั้น ผมเชื่อว่าเราสามารถเอาไปสู้ได้ แม้จะมันจะเล็กๆ น้อยๆ ก็ตาม เพราะว่าผมเจอความผิดหวังจนผมไม่กลัวความผิดหวังแล้ว
ผมชินกับความผิดหวังมากๆ แล้ว และผมไม่เคยมองว่าผิดหวังเป็นสิ่งที่เสียเปล่า ผมมองว่ามันเป็นประสบการณ์ที่สอนเราในชีวิต ต่อให้วันนึงผมไม่ประสบความสำเร็จ แต่ผมได้ประสบการณ์จากมันเยอะมากเลย ต่อให้มีคนมาบอกว่าเส้นทางนี้ไม่เหมาะสมกับต้าห์อู๋ แต่เราก็แค่รู้สึกว่าคุณรู้ได้ไง คุณเคยผ่านประสบการณ์มาแบบเราเหรอ คุณรู้ไหมว่าเรามีความสุขมากแค่ไหนกับการไปยืนร้องเพลงให้กรรมการฟัง และเขาก็ชมเรา ต่อให้เราไม่ได้ไปร้องเพลงต่อหน้าคนเยอะๆ มันจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ คุณรู้ไง ต่อเมือคุณไม่ได้ลองมาทำเหมือนเรา คุณไม่เคยลองมาล้มเหลวเหมือนเรา จริงๆ เรามีความสุขและอิ่มกับมันมากๆ ด้วย
พอวันนี้เราได้มายืนตรงนี้ ผมเชื่อมาตลอดว่าสิ่งที่มีค่า ถ้าเราให้ค่ากับมัน มันก็จะเป็นสิ่งที่มีค่ากับมันเสมอ การทำงานก็เหมือนกันครับ ถ้าเราได้ทำในสิ่งที่เรารัก และเราทุ่มเทกับมัน รักในผลงานของเรา รักในสิ่งอะไรก็ตาม มันจะยังคงอยู่แบบนั้น คนก็จะรักในคุณค่าที่เราให้ ส่วนเรื่องกระแส ถามว่าผมอยากได้ไหม มันก็ส่วนนึงแต่ก็กลัวมันหายไปเหมือนกัน แต่ผมอยากจะบอกทุกคนว่าชิ้นงานที่ไม่ว่าจะมันจะออกไปช้าหรือเร็ว เชื่อเถอะว่าพวกเราตั้งใจทำมัน และให้คุณค่ากับมันมากๆ เพราะสิ่งนี้มันได้มาจากคนดู พวกเราไม่ได้ถูกรับเลือกและสร้างมันขึ้นมา แต่เราโดนทุกคนหลอมรวม เลือกมาแล้ว เราก็เลยรู้สึกว่าอยากทำอะไรที่มีคุณค่าทางจิตใจ และก็มอบกลับไปให้เขา เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผมคิดว่าอะไรที่จะรักษาสิ่งเหล่านี้เอาไว้ ก็คือคุณค่าในตัวของพวกเราเอง นอกจากจะรักแฟนคลับแล้ว พวกเราก็จะรักตัวเองให้มากๆ ดูแลตัวเองและพัฒนาตัวเอง ผมเชื่อว่าถ้าเราทำแบบนี้คนดูก็จะรักเราไปด้วย ให้สมกับที่เราให้คุณค่าตัวเอง”
และ “ต้าห์อู๋” หรือแปลว่า “อู๋ใหญ่” ตามภาษาจีน แต่ก็ใช่ว่าทุกสิ่งที่เขาได้มาเพราะโชค ซึ่งในทางกลับกันเจ้าตัวเล่าให้ MGR Online ฟังว่าในชีวิตเขาไม่เคยมีโชคเลยแม้แต่สักครั้ง แม้กระทั่งสีแดงที่ตัวเองชื่นชอบก็ยังทำให้เขาไม่ได้ไปต่อบนไฟนอลสเตจเลย
“สีแดงเหรอ คือผมเป็นคนชอบสีดำแดง และโตมากับมาร์คไรเดอร์ ผมโตมากับหลายๆ เรื่องที่มันเป็นสีแดง สีของความเป็นรีดเดอร์ชิป ผมรู้สึกเหมือนพลังอะไรบ้างอย่าง ทำไมสีแดงมันเก่งจังเลย ใส่แล้วดูมีพลัง แต่ไม่รู้ว่านำโชคไหม (หัวเราะ) เพราะพอผมย้อมผมปุ๊บ ผลตรวจร่างกายก้ออกเลยว่าผมไม่ได้ขึ้นโชว์บนสเตจ ตอนแรกทำผมสีดำและไม่ได้ทำเล็บสีแดงด้วย แต่เพื่อนก็บอกว่าต้องทำแล้วนะ ทำปุ๊บ คุณหมอก็โทร.มาบอกปั๊บ (ยิ้ม) แต่สำหรับผมนะ ต่อให้ดวงมันไม่ถูก โชคชะตามันไม่ถูก แต่ความพยายามกับสิ่งที่ผมชอบ มันต้องพาผมไปถึงตรงนั้นให้ได้
อย่างปีนี้ผมเกิดวันพุธ ปี 41 และสีที่ไม่ดีกับปีผมคือสีแดง (หัวเราะ) มันก็เกิดขึ้นต้นปีเลย แต่มันก็เป็นสิ่งที่ผมชอบ ซึ่งถ้ามีคนบอกว่าต้าห์อู๋ร้องเพลงแล้วไม่เกิดนะ ต้าห์อู๋จะไม่มีวันรวยนะ ผมก็คงไม่หยุดร้องเพลง เพราะมันคือสิ่งที่ผมชอบและเป็นสิ่งที่ผมรัก เพราะผมเป็นคนที่ไม่มีโชคเลย ชั่วชีวิตที่ผ่านมา ผมเป็นคนไม่มีโชค แค่ซื้อลอตเตอรี่ยังไม่เคยถูกเลย ขนาดการการแข่งขันก็ไม่เคยมีโชค ผมเคยภาวนาลุ้นขอโชค ขอปาฏิหาริย์ได้ไหม แต่มันก็ไม่มี มันก็เลยทำให้ผมเชื่อว่าโลกใบนี้มันจะขับเคลื่อนด้วยความสามารถของเราเอง เลยทำให้เป็นตัวต้าห์อู๋ในวันนี้แหละครับ อู๋ค่อนข้างเชื่อในเรื่องของความพยายาม 90% และ 10% คือดวงจริงๆ”
