พลันที่ค่ายหนังระดับหัวแถวอย่าง GDH แง้มภาพโปสเตอร์แรกของหนัง “บุพเพสันนิวาส 2”
พร้อมระบุวันฉาย เพื่อให้บรรดาออเจ้าได้ตระเตรียมเสื้อผ้าหน้าผมเข้าไปดูในโรงมหรสพใน วันที่ 4 พฤษภาคม 2565
ก็ทำเอาฮือฮาไปทั้งบรรพพิภพแห่งจักรวาลนฤมิตเลยเทียว
ครั้นจะไม่หยิบมาพูดถึง เห็นทีจะไม่ดีเป็นแน่แท้
เพราะเรื่องนี้ต้องนับว่าเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ชิ้นเอกที่หลายคนรอคอย
จริงอยู่ที่จุดเริ่มต้นของภาพยนตร์เรื่องนี้ คือการต่อยอดความสำเร็จจากละครที่สร้างปรากฏการณ์ถล่มทลายไปทั้งประเทศ อย่าง “บุพเพสันนิวาส”
แต่การที่ได้ค่ายหนังอย่าง GDH มาเป็นผู้ร่วมสร้างกับ ค่ายบรอดคาซท์ ของ ช่อง 3 ก็ต้องนับว่าเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่จะทำให้ตลาดของหนังเรื่องนี้กว้างขึ้น
เพราะขณะที่ GDH จับกลุ่มเป้าหมายวัยรุ่นเป็นหลัก ส่วน ค่ายบรอดคาซท์ ก็มีขาประจำเป็นคอละครซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นผู้หญิงในช่วงวัยทำงาน
เมื่อนำสองกลุ่มนี้มาผนึกรวมกัน ก็ไม่ต้องคาดเดาให้เสียเวลาเลยว่า จะแผ่รังสีแห่งความสำเร็จได้สว่างจ้าขนาดไหน ? ประการใด ?
แต่ถึงจะตั้งชื่อเรื่องว่า “บุพเพสันนิวาส 2” ทว่าก็ไม่ได้นับว่าเป็นภาคต่อของละคร “บุพเพสันนิวาส” โดยตรง
แม้ว่าจะใช้นักแสดงนำคู่เดิม อย่าง โป๊ป-ธนวรรธน์ และ เบลล่า-ราณี
แต่ก็มีการเพิ่มเติมนักแสดงอื่นๆ เข้ามาเสริม เพื่อให้หน้าหนังดูร่วมสมัยมากขึ้น อย่างเช่น ไอซ์-พาริส, นน-ชานน, ปุ๊กกี้-ปวีณ์นุช แต่ก็ไม่ละทิ้งกลิ่นไอของความเป็นละคร ด้วยการนำนางร้ายในตำนาน อย่าง กิ๊ก-สุวัจนี กลับมาคืนจออีกครั้ง
ถ้าเป็นภาษาหนัง อาจจะต้องเรียกว่าเป็นภาคแยก
เหมือนอย่างที่ซิรีส์ดังๆ อย่าง Kingdom มีภาคแยกออกมาเป็น Kingdom: Ashin of the North
แกนเรื่องหลักของ “บุพเพสันนิวาส 2” พูดถึงความรักในชาติภพใหม่ของ คุณพี่หมื่น และ แม่การะเกด ในยุคต้นรัตนโกสินทร์ ผ่านฝีมือการกำกับของ ปิ๊ง- อดิสรณ์ จากภาพยนตร์ “รถไฟฟ้า มาหานะเธอ” โดยมี “รอมแพง” เจ้าของบทประพันธ์เรื่อง “บุพเพสันนิวาส” เป็นที่ปรึกษาเรื่องการเขียนบท ซึ่งเป็นบทที่เขียนเพื่อสร้างเป็นภาพยนตร์โดยเฉพาะ ไม่ได้ผ่านการเรียบเรียงออกมาในรูปแบบของนวนิยายมาก่อนแต่อย่างใด
ในส่วนของภาพโปสเตอร์แรก ที่ทำเอากลายเป็นกระแสให้ผู้คนพูดถึงกันสนั่นเมือง ก็เพราะเป็นภาพคู่ของ โป๊ป-เบลล่า ในชุดไทยย้อนยุค แต่ผู้คนส่วนใหญ่จะโฟกัสไปที่ตัว พี่หมื่นโป๊ป ที่สวมแว่นดำทรงเท่ไว้ด้วย บ่งบอกให้เห็นว่า เรื่องนี้น่าจะมีความแสบๆ กวนๆ ทะเล้นๆ สไตล์หนังของ GDH ซ่อนอยู่ในชาติภพนี้อย่างไม่ต้องสงสัย
ขณะเดียวกัน ก็เป็นความชาญฉลาดของ ช่อง 3 และ ค่ายบรอดคาซท์ ที่ใช้หนัง “บุพเพสันนิวาส 2” เป็นตัวจุดกระแสเพื่อส่งไม้ต่อไปยังละคร “พรหมลิขิต” ภาคต่อของละคร “บุพเพสันนิวาส” โดยเนื้อเรื่องจากหนังสามารถเชื่อมโยงไปสู่ภาคละคร ซึ่งคาดว่าน่าจะมีกำหนดฉายหลังจากหนังเรื่องนี้ อาจจะเป็นในช่วงกลางปี ค่อนไปทางปลายปี เพราะถ้าขืนทิ้งช่วงนานไปกว่านั้น กระแสที่อุตส่าห์ปูมา ก็จะเสียเปล่า
ว่าด้วยเรื่องราวของละคร “พรหมลิขิต” ก็จะเป็นความรักในรุ่นลูกของ คุณพี่หมื่น และ แม่การะเกด ซึ่งโจทย์ที่ทางช่องกำหนดไว้ ก็คือต้องคงพระ-นาง เดิม คือ โป๊ป-เบลล่า ไว้
จึงเป็นความท้าทายของพระเอก โป๊ป ที่จะต้องแสดงเป็น 3 ตัวละคร คือ พี่หมื่น กับลูกชายฝาแฝด คือ พ่อริด กับ พ่อเรือง
ขณะที่นางเอก เบลล่า นอกจากจะรับบทเป็น แม่การะเกด หรือ เกศสุรางค์ แล้ว ยังจะรับบท เป็น พุดตาน หญิงสาวที่มีเหตุให้ย้อนอดีตกลับมา โดยมีต้นเรื่องมาจาก “สมุดข่อยคัมภีร์มนต์กฤษณะกาลี”
ที่สำคัญคือมีหน้าตาที่ถอดมาจากแม่การะเกดเป็นพิมพ์เดียวกัน
ความยากของละครเรื่องนี้คือนอกจากนักแสดงนำ จะต้องรับบทมากกว่าหนึ่งตัวละครแล้ว ยังหมิ่นเหม่ และล่อแหลมในทางผิดศีลธรรมอีกด้วย ในยามที่ พ่อริด จะต้องมาแสดงออกในเชิงชู้สาวกับผู้หญิงที่หน้าเหมือนแม่ตัวเองอย่างกับแกะ หรือแม้แต่แม่อย่าง การะเกด ในยามที่โอบกอดลูกชาย ที่หน้าเหมือนกับพ่อ ซึ่งก็คือสามีของตัวเองแบบไม่มีผิดเพี้ยน
คือถ้าเล่นขาดๆ เกินๆ หรือในสัดส่วนการแสดงออกที่ไม่พอเหมาะ พอดี ก็อาจจะทำให้คนเข้าใจไปในทางนั้นได้
ทว่าในมุมมองของผู้เขียนนวนิยาย อย่าง “รอมแพง” นอกจากความสนุกในการหาเหตุและผลมารองรับความหน้าเหมือนกันแบบนี้แล้ว ยังถือว่าเป็นการเน้นแก่นของเรื่อง ที่ปูไว้ตั้งแต่ “บุพเพสันนิวาส” ว่า
อย่ามองคนที่เปลือก เพราะสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่ารูปลักษณ์ภายนอก ก็คือจิตวิญญาณที่อยู่ข้างใน
ฉะนั้นก็ต้องเป็นหน้าที่ของทั้งผู้กำกับ รวมถึงนักแสดง อย่าง โป๊ป-เบลล่า ว่าจะสามารถตีความ และชูประเด็นดังกล่าวให้เห็นชัดเจนเป็นรูปธรรมมากน้อยขนาดไหน !!??
แต่สรุปสุดท้าย ถ้าถึงขนาดจุดกระแสอย่างต่อเนื่องจากหนัง “บุพเพสันนิวาส 2” จนถึงละคร “พรหมลิขิต” งานนี้ต้องการแค่คำว่า “ปัง” กับ “ปัง” เท่านั้น !!!
ผู้จัดการ 360 องศาสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 8-14 มกราคม 2565