“เปิ้ล นาคร” เผยไม่คาดหวังว่า “ออก้า” จะต้องได้แชมป์ในการลงแข่งครั้งแรก เพราะคู่แข่งมีประสบการณ์มากกว่า ได้แค่ที่ 5 ก็ดีใจแล้ว บอกคนต่อไปเตรียมดัน “ออเกรซ” ตอนนี้ 4 ขวบก็เริ่มขับเจ็ตสกีได้แล้ว เผยช่วงปีใหม่ที่ผ่านมาได้เที่ยวชาร์ตพลังกับครอบครัวเต็มที่ พร้อมที่จะกลับมาทำงานใหม่ และหวังว่าจะไม่มีเชื้อโควิดสายพันธุ์ใหม่เข้ามาอีก
ตัวเองเคยผ่านการแข่งขันจนกวาดแชมป์ทั้งในและนอกประเทศมาจนนับไม่ถ้วนแล้ว ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ “เปิ้ล นาคร ศิลาชัย” ต้องส่งไม้ต่อให้ลูกชาย ซึ่งล่าสุดเจ้าตัวควง “น้องออก้า”มาร่วมงานแถลงข่าว ทัวร์นาเม้นท์เจ็ตสกีโลก WGP#1 WORLD CUP 2021-2022 ณ ห้องแถลงข่าวชั้น 24 อาคารเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนกพรรษา การกีฬาแห่งประเทศไทย หัวหมาก โดยเปิ้ลเผยว่าได้ถ่ายทอดวิชาให้ลูกชายเรียบร้อย แต่ไม่คาดหวังว่าแข่งครั้งแรกจะต้องได้แชมป์
“มาถึงปีที่ยิ่งใหญ่อีกปีหนึ่งครับของวงการเจ็ตสกีประเทศไทย ถือว่าเป็นการจัดการแข่งขันที่ใหญ่ที่สุดในโลกดีกว่า ทั่วโลกก็จะมารวมตัวกันที่นี่ เป็นการที่สมาคมเขาจัดการระบบสาธารณสุข ระบบการป้องกันค่อนข้างที่จะเข้มงวดมากๆ คือในสนามก็จะไม่มีคนดู นักแข่งแต่ละคนก็ต้องตรวจแล้วตรวจอีก ทั้ง swab มีผลจากรพ. ฉะนั้นในสนามเรียกว่าปลอดภัยกันร้อยเปอร์เซ็นต์ในสนามแข่ง
สำหรับปีนี้เป้าหมายของผมเองไม่ค่อยคิดมากนะ ขอแค่ได้ลงแข่งตามวัย เพราะว่าเรายังอายุยังน้อย (ยิ้ม) ก็ยังไม่คิดว่าจะได้ตำแหน่งอะไรมากมายครับ แต่คนที่สำคัญคือออก้า เขาจะลงในรุ่นจูเนียร์ 8-13 ขวบ ตอนนี้ออก้า 10 ขวบแล้ว ซึ่งก็จะมีนักแข่งจากทั่วโลกมารวมแข่งกับรุ่นนี้ด้วย ก็ถือว่าเป็นครั้งแรกของประเทศไทยครับ ในระดับโลกที่เปิดให้เด็กๆ มาแข่งกันในรุ่นนี้ นักแข่งประมาณร่วม 30 คน จากหลายประเทศทั่วโลก ถือว่าเป็นครั้งแรกของออก้าด้วยที่จะได้มาแข่งในระดับโลกแบบนี้"
บอกไม่หวังถึงแชมป์ แค่ที่ 5 ก็ดีใจแล้ว
เปิ้ล : “ออก้าก็ซ้อมเกือบทุกวันครับ กินหนักมาก แต่ก็พยายามซ้อมให้เขาตามวัย ไม่ได้โหมหนักมาก เพราะเรากะว่ารออีกสัก 2 ปี ให้กล้ามเนื้อ กระดูกเขาแข็งแรงกว่านี้ก่อน ถ้าเทียบในระดับรุ่นพี่ ออก้าก็เด็กสุด 10 ขวบเอง ไม่รีบมาก แต่ก็หวังไว้ว่าเขาจะต้องทำให้ดีที่สุด เพราะชิงแชมป์ประเทศไทยปีนี้ก็เป็นปีแรกที่เขาขี่แบบเต็มที่ แล้วเขาก็ได้รองแชมป์ประเทศไทยมา จากที่เราคาดว่าได้สักที่ 5 ก็บุญแล้ว ดีใจแล้ว เขายังกระดูกไม่แข็ง แต่ได้รองแชมป์มาก็ถือว่าเกินคาด ปีนี้ก็ระดับโลก
แต่ครั้งแรกในชีวิตของออก้าก็ไม่ได้หวังอะไรมาก หวังให้คนอื่นตกเรือกันเยอะๆ ออก้าจะได้แชมป์ ถ้าออก้าไม่ตกเรือด้วยนะ ต้องมาลุ้นกัน เด็กเกือบ 30 คน จากหลายประเทศมารวมตัวกัน เขาเอาแค่ 5 คน แข่งครั้งเดียวแล้วก็ตัดทิ้งหมดเลย แล้วเอาแค่ 5 คนมาแข่งกันในวันชิง ฉะนั้นลุ้นแค่ว่าถ้าออก้าเข้ารอบ 1 ใน 5 ได้ที่ 5 พ่อแม่ก็ร้องไห้แล้วนะ ดีใจแล้วครับ”
ออก้า : “ก็ซ้อมเยอะเยอะครับ เหนื่อยนิดนึงครับ ซ้อมขับ 10 รอบเลย แล้วก็พักแล้วก็ทำต่อครับ”
เปิ้ล : “อยากได้ตำแหน่งอะไร”
ออก้า : “1 ครับ (ยิ้ม)”
เปิ้ล : “ตอนสัมภาษณ์บอกอยากได้รองแชมป์โลก เสียใจมากเลย คนอื่นเขาอยากได้แชมป์โลกกัน อันนี้อยากได้รองแชมป์โลก ตกลงอยากได้อะไร”
ออก้า : “อยากได้แชมป์โลกครับ”
เปิ้ล : “จริงๆ ปีนี้คิดว่าไม่น่าจะได้ครับ ขอเป็นคิดว่าไม่น่าจะได้ดีกว่า เพราะคนที่แข่งอยู่ในรุ่นเดียวกันกับออก้าเก่งกว่าออก้าเยอะมาก แล้วก็มีประสบการณ์ เป็นเด็กโตมากแล้วครับ อายุ 11-13 ปี กระดูกก็จะแข็งกว่า ก็ยอมให้เขาได้อันดับไปก่อน ส่วนออก้าถ้าได้ที่ 5 นี่ก็จะดีใจมากแล้วระดับโลก แต่เวลาลงสนามแล้วออก้าต้องบวกอย่างเดียว ต้องไม่ยั้ง ใส่เต็มที่ตามวัยของเขา”
ซ้อมหนักถึงขั้นนอนละเมอ
“ออก้านี่เขาเกิดในปี พ.ศ. 2554 น้ำท่วม เขาเจอน้ำที่ไหนเขาก็เลื้อยลงน้ำเลยเหมือนปลาไหล เจอน้ำชอบมาก เวลาซ้อมตื่นตี 5 ขึ้นมาก็ละเมอแม่ไปซ้อมหรือยัง ทุกคนก็ตื่นขึ้นมาอะไรออก้า นี่ตี 5 บอกละเมอ ขอโทษ เขาก็นอนต่อ คือวันแข่งไม่ต้องพูดถึง นั่งนับวันเลย บอกอีกเดือนนึงลูก เขาก็ถามจะถึงหรือยัง เราบอกอีกอาทิตย์นึงลูก จะถึงหรือยัง อีก 9 ชั่วโมง คือถามตลอดเวลาครับ คือเขาหลงใหลในการแข่งมาก”
เตรียมปั้น “ออเกรซ” ลูกสาวคนเล็กลงสนาม
“มีอีกคนที่น่าจะมีแววปั้นตามออก้า คือออเกรซ น้องสาวคนสุดท้อง เพราะเวลาเขาหล่นลงพื้น เขาจะไม่ค่อยร้องไห้เหมือนผู้หญิงคนอื่นๆ ไม่เจ็บ ชนโต๊ะ ตกบันได เขาจะไม่เจ็บ แล้วเวลาอยู่บนเจ็ตสกีเขาจะมีสายตาความกระหายในการขี่เจ็ตสกีอยู่ ตอนนี้ก็เขาก็เริ่มฝึกขี่ละ 4 ขวบ เป็นสาวแกร่งไม่แสดงอาการจริงๆ ก็ดูเขาเหมือนออก้า ถ้าเขารักอะไรต้องดันให้สุดครับตามนั้น
ตอนนี้ก็ต้องฝึกต้องสอน ซึ่งเทคนิคการแข่งทุกคนต้องมีครูที่เก่ง แต่สิ่งที่เราจะสอนคือการเข้าใจการเป็นนักกีฬาที่ดีก่อน ไม่ใช่เป็นนักกีฬาที่เก่งอย่างเดียว ป๊าไม่ชอบ อยากให้เป็นนักกีฬาที่ดีก่อน ต้องเป็นเด็กที่มีวินัย มีเพื่อน กล้าบู๊ กล้าให้ มีความรักกับคนอื่น แล้วก็เป็นเด็กที่เคารพกฎกติกาของสังคม การแข่งขันด้วย”
เผยโชคดีตนกับ “จูน” ชอบดื่มเหมือนกันเลยไม่ค่อยมีเรื่องทะเลาะกัน
“ปีใหม่ก็พาลูกๆ ไปเขาค้อมา ขับรถกัน 14 ชั่วโมง เพื่อไปเห็นหมอกเพียงเช้าเดียว แค่นั้นก็ชื่นใจแล้ว ไปถึงก็กินข้าว เสร็จก็ดูหมอก สายๆ ก็ขับรถกลับเป็นการชาร์ตธรรมชาติเข้าตัว แล้วก็กลับมาทำงานต่อที่กรุงเทพฯ
ก็มีดื่มครับ ดื่มกันตั้งแต่คบกันวันแรก เจอกันตอนเขาเรียนปี 1 ดื่มจนเรียนไม่จบแหละ (หัวเราะ) ล้อเล่น เราชอบอะไรเหมือนกันมากกว่า จนวันนี้ก็ยังชอบอะไรเหมือนๆ กันอยู่ โชคดีอยู่อย่างหนึ่งเลยทำให้เราไม่ค่อยมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันเท่าไหร่ เรื่องหวาน ปกติพ่อกับแม่จะหวานกันเฉพาะออกสื่อ ส่วนมากก็จะเล่นกันเหมือนผู้ชาย นอน อาบน้ำด้วยกัน เอาหมอนตีกันครับ เล่นกันปกติ ไม่ค่อยหวานแบบนั้น”
ภาวนาอย่ามีเชื้อใหม่มาเข้ามาอีก
“ล่าสุดตอนที่เขาบอกให้ปิดร้านก่อนปลายปีที่แล้วก็กระทบนิดหน่อย ไม่ได้เยอะ แต่คิดว่าคนอื่นน่าจะหนักกว่าเราเยอะ แต่โชคดีที่เรายังรักษาพนักงานกว่าร้อยชีวิตเอาไว้ได้ ทันทีที่เขาเปิดร้านอาหารได้ปกติ พนักงานร้อยชีวิตก็ยังอยู่กับเราได้ แต่ในมาตรการที่เข้มงวดกว่าเดิมหลายร้อยเท่า
คือถ้าเป็นพนักงานเราแล้วต้องดูแลตัวเอง แทบจะขังคุกเลย ห้ามออกไปปาร์ตี้ที่อื่น ห้ามกลับบ้าน ห้ามทั้งสิ้น เพราะว่าความปลอดภัยของพนักงานคือความปลอดภัยของลูกค้าเราทุกคน สิ่งนี้คือสิ่งที่เราต้องซีเรียส แล้วร้านเรามันเป็นร้านที่เปิดโล่ง มันไม่ได้เป็นที่ปิด ลูกค้าจะให้ความไว้วางใจ ฉะนั้นเศรษฐกิจของร้านเริ่มกลับมาเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วนะ
สำหรับโควิดระลอกใหม่ที่กำลังจะกลับมาเราก็ภาวนาขอให้เป็นแค่โอมิครอน อย่ามีสายพันธุ์ใหม่เข้ามาอีก แต่เราก็ห้ามไม่ได้นะ ถ้ามีเข้ามาผมเชื่อว่าคนไทยทุกคนมีมาตรการป้องกันอยู่แล้ว วัคซีนต่างๆ ก็ได้รับกันมากมายพอสมควรอยู่แล้ว ที่สำคัญคือทุกคนค่อนข้างจะระวังตัวเอง อย่างเคาต์ดาวน์ที่ร้านอาหารที่ตัวเองทำ แปลกกว่าปีอื่นๆ มาก อย่างนับถอยหลังเคาต์ดาวน์พอพลุขึ้นมาทุกคนไม่เฮ นั่งอยู่บนโต๊ะแล้วก็ปรบมือ เป็นการเคาต์ดาวน์ที่น่ารักมาก สงบเสงี่ยม ทุกคนก็ยังใส่มาสก์ ถือว่าคนไทยเริ่มซีเรียสกับเรื่องนี้ด้วย”