xs
xsm
sm
md
lg

เปิดชีวิตรันทด "เซเลนา โกเมซ" จน ป่วย ไบโพลาร์ ซึมเศร้า เปลี่ยนไต อกหัก ฯลฯ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



แม้ภาพลักษณ์ภายนอกของ "เซเลนา โกเมซ" นักร้อง-นักแสดงสาวชื่อดังจะดูเป็นสาวเก่งมากความสามารถชีวิตประสบความสำเร็จมีชื่อเสียงเงินทองตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ใครจะรู้บ้างว่าที่ผ่านมาเธอต้องเผชิญกับช่วงเวลาที่เรียกว่า "รันทด" มาโดยตลอด

ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวที่แตกแยก การมีชีวิตวัยเด็กที่แสนลำบากเพราะความจน ปัญหาสุขภาพร่างกายจากอาการป่วยที่หนักหนาขนาดที่ว่าชี้เป็นชี้ตายจนต้องผ่าตัดเปลี่ยนไตที่เพื่อนบริจาคให้

หรือแม้กระทั่งความรักกับแฟนหนุ่มนักร้องดัง "จัสติน บีเบอร์" ที่คบหากันยาวนานแต่กลับจบลงด้วยการที่อีกฝ่ายไปแต่งงานกับสาวอื่นที่ส่งผลไปยังสภาพจิตใจของเธอทั้งอาการไบโพลาร์ ซึมเศร้า โรควิตกกังวล ฯ


"แม่เป็นคนที่เข้มแข็งมากๆ เธอมีฉันตั้งแต่อายุแค่ 16 ปี แล้วต้องรับภาระอันยิ่งใหญ่นี้ไปตลอดชีวิต เธอยอมสละทุกสิ่งเพื่อฉัน ทำงาน 3 อย่าง คอยเลี้ยงดูฉัน เสียสละชีวิตและความสุขของตัวเองเพื่อฉัน”

นักร้องนักแสดงคนดังเล่าถึงชีวิตในวัยเด็กหลังจากพ่อของเธอ "ริการ์โด โฆเอล โกเมซ" ชาวเม็กซิกัน และแม่แท้ๆ "อแมนด้า ดอว์น คอร์เน็ตต์" อดีตนักแสดงละครเวทีที่มีเชื้อสายอิตาลี ได้แยกทางกันตั้งแต่เธออายุ 5 ปี

ในช่วงเวลานั้น เซเลนา จำได้ดีว่าชีวิตของเธอต้องพบกับความยากลำบาก โดยที่แม่วัยรุ่นพยายามทำทุกอย่างเพื่อจะเลี้ยงดูลูกเพียงลำพัง

"ฉันเคยอึดอัดใจที่พ่อแม่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน มันเหมือนมืดมนหาทางออกไม่เจอ แม่ต้องทำงานอย่างหนักเพื่อให้ฉันมีชีวิตที่ดีขึ้น ฉันมักจะกลัวเสมอเมื่อนึกว่าชีวิตฉันจะเป็นยังไงถ้ายังอยู่ในเท็กซัสต่อไป"

"ฉันจำได้ว่ารถเราต้องจอดกลางถนนประมาณ 7 ครั้งเพราะไม่มีเงินเติมน้ำมัน แม่เก็บเงินเพื่อให้ฉันได้มีชีวิตดีๆ พาฉันไปคอนเสิร์ต, ไปพิพิธภัณฑ์, ไปพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ สอนให้ฉันรู้จักโลก รู้จักชีวิตที่แท้จริง"


ความยากลำบากในวัยเด็กนี้เองที่ทำให้ เซเลนา มีความมุ่งมั่นที่จะมีรายได้เพื่อช่วยให้ชีวิตดีขึ้น เธอจึงเข้าวงการตั้งแต่อายุยังน้อย และเริ่มมีผลงานในช่องดิสนีย์จากซีรีส์ Hannah Montana , Suite Life, Lizzie McGuire และ The Wizards of Waverly Place ซึ่งเรื่องหลังนี้เองที่เป็นซีรีส์สร้างชื่อที่ทำให้เธอมีชื่อเสียง และซีรีส์ยังได้รับการเสนอชื่อและได้รับรางวัลมาแล้วมากมาย

"คำแนะนำที่แม่ให้ฉันตั้งแต่เริ่มทำงานคือ ถ้าฉันไม่รู้สึกสนุก หรือไม่เอ็นจอยกับงานอีกต่อไป แม่ก็จะไม่ให้ฉันทำงานอีก”

ในช่วงเวลาที่เล่นซีรีส์ต่างๆ เซเลนา โกเมซ ยังมีโอกาสได้ฝากเสียงร้องในเพลงประกอบซีรีส์หลายต่อหลายครั้ง จนกระทั่งอายุ 16 ปี เธอได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลงใหญ่ครั้งแรก Hollywood Records ซึ่งเวลานั้นค่ายดังกล่าวยังได้เซ็นสัญญากับเพื่อนซี้อย่าง "ไมลีย์ ไซรัส" และ "เดมี โลเวโต" ด้วย

เซเลนา ได้ก่อตั้งวงของตนเองโดยใช้ชื่อว่า Selena Gomez & the Scene มีอัลบัมออกมาด้วยกัน 3 อัลบัม ตั้งแต่ปี 2009 – 2011 ก่อนที่เธอจะขอพักงานเพลงในปี 2012 และตามมาด้วยการแยกไปมีผลงานเดี่ยว

แม้ผลงานเดี่ยวของเซเลนาจะประสบความสำเร็จเรื่อยมาจนถึงขั้นเคยขึ้นอันดับ 1 ชาร์ต Billboard 200 ของอเมริกา แต่ เซเลนา ก็ทัวร์คอนเสิร์ต Star Dance Tour จากอัลบัมที่ 3 แค่ในอเมริกาและยุโรป ก่อนจะแคนเซิลคอนเสิร์ตในออสเตรเลียและเอเชียเดือน ธ.ค. 2013 โดยให้เหตุผลว่าเธออยากพักและใช้เวลาอยู่กับครอบครัว

จนกระทั่งเดือน ม.ค. 2014 ถึงมีข่าวว่า เซเลนา ได้หลบไปรับการรักษาที่ศูนย์บำบัดดูแลวัยรุ่นที่ได้รับผลกระทบทางด้านจิตใจเป็นเวลานานถึง 2 สัปดาห์

โดยนอกจากด้านสภาพจิตใจแล้วสุขภาพร่างกายของเธอก็ย่ำแย่ไปด้วย ในปี 2015 เธอได้รับการยืนยันว่าเป็นโรคลูปัส*ที่หนักหนาขนาดที่ว่ามันคือความเป็นความตายของเธอเลยทีเดียว


ในเวลานั้น เซเลนา อยู่ในช่วงที่รุ่งเรืองที่สุด ถึงขั้นเคยขึ้นแท่นมีผู้ติดตามในอินสตาแกรมสูงที่สุดในโลก และได้รับค่าโฆษณาลงในอินสตาแกรมของตนเองแพงที่สุด แต่ด้วยอาการป่วยจากโรคลูปัส ทำให้เธอต้องห่างหายไปจากโซเชียลมีเดีย เพราะเธอรู้สึกซึมเศร้าเมื่อได้เห็นคนสวยๆ เก่งๆ มากมายในอินสตาแกรม ทำให้เธอกดดัน และจำเป็นต้องออกจากโลกโซเชียลมีเดียเพื่อเยียวยาสภาพจิตใจตนเอง

ไม่เพียงเท่านั้นชีวิตรักระหว่างเธอกับ "จัสติน บีเบอร์" ที่รักๆ เลิกๆ หลังการคบหากันมาตั้งแต่ปี 2010 ก็ทำให้เธอได้รับความกระทบกระเทือนด้านจิตใจอยู่ไม่น้อย

ปี 2017 เซเลนา ตัดสินใจเข้ารับการผ่าตัดปลูกถ่ายไตที่เพื่อนซี้อย่าง "ฟรานเซีย ไรซา" ยินดีบริจาคไตให้เธอหนึ่งข้าง

แม้หลังผ่าตัดเสร็จสิ้นเธอจะมีรอยแผลเป็นขนาดใหญ่ แต่ "จัสติน บีเบอร์" ก็ยังคงกลับมาคบหากับเธอเช่นเดิม อย่างไรก็ตามความสัมพันธ์ดังกล่าวก็อยู่ได้ไม่นานจนกระทั่ง เม.ย.ปี 2018 ที่เธอกับ "จัสติน บีเบอร์" ได้บอกเลิกรากันอย่างเด็ดขาด ก่อนที่ในเดือน มิ.ย. นักร้องหนุ่มจะเปิดตัวคบหากับ "เฮลีย์ บอลด์วิน" และหมั้นหมายกันในเดือน ก.ค. ก่อนแต่งงานในเดือน ก.ย. 2018

จากความสัมพันธ์ที่ต้องเลิกรากันกับคนรักที่คบหากันมายาวนาน พร้อมกับต้องพักฟื้นสภาพร่างกายมาตลอด ส่งให้เธอมีปัญหาด้านสภาพจิตใจ จนต้องเข้ารับการรักษาอาการไบโพลาร์ , ซึมเศร้า , โรควิตกกังวล ซึ่งเธอได้บอกเรื่องนี้เมื่อปี 2020 เธอต้องเรียนรู้เกี่ยวกับโรคนี้ เพื่อจะได้ไม่ต้องกลัวโรคนี้อีกต่อไป

หลังจากที่อดีตแฟนหนุ่มประกาศแต่งงาน เซเลนา ยอมรับว่าเธอได้รับความสะเทือนใจจากเรื่องนี้อยู่บ้าง จนเกิดเป็นเพลง Lose You to Love Me ที่เธอเริ่มแต่งเพลงนี้ตอนต้นปี 2019 ตอนที่เธอเพิ่งออกจากการบำบัด

"มันไม่ใช่เพลงแสดงความเกลียดชัง มันเป็นเพลงที่บอกว่า ฉันเคยมีสิ่งที่สวยงาม และไม่เคยปฏิเสธว่ามันไม่ใช่แบบนั้น มันอาจจะยาก แต่ฉันก็มีความสุขที่มันจบลง แล้วก็รู้สึกว่านี่คือทางที่ดีที่สุดที่จะบอกว่ามันจบลงแล้ว ซึ่งฉันเข้าใจ แล้วก็เคารพที่มันเป็นแบบนั้น”


เมื่อสภาพร่างกายและจิตใจเริ่มกลับมาแข็งแรงดีแล้ว เซเลนา โกเมซ ได้หวนคืนสู่โซเชียลมีเดียอีกครั้ง เพราะเธอต้องการที่จะควบคุมเรื่องเล่าเกี่ยวกับชีวิตเธอด้วยตัวเธอเองโดยระบุว่า..."ความต้องใจของฉันคือไม่ได้อยากให้มันกลายเป็นข่าวแท็บลอยด์ พออะไรแบบนั้นมันเกิดขึ้น มันก็ค่อนข้างเกินความควบคุม"

"ฉันจะคิดว่า ‘เดี๋ยวนะ นั่นมันไม่มีอะไรจริงเลย’ สิ่งที่สื่อพยายามจะนำเสนอ พยายามจะอธิบายมันดูแย่ไปหมด ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงมันไม่มีอะไรผิดกับการที่ฉันอยากหายไปจากโซเชียล หรือการที่ฉันไปรักกับใคร ฉันต้องกลับมาอีกครั้งเพราะว่าผู้คนเอาเรื่องฉันไปเล่า แล้วมันก็กลายเป็นการฆ่าฉัน ฉันยังเด็ก ฉันยังต้องมีการเปลี่ยนแปลง แต่ไม่มีใครมีสิทธิ์มาบอกฉันว่าชีวิตฉันกำลังจะเป็นยังไง”

ถึงตอนนี้แม้ตอนนี้สภาพร่างกายของ เซเลนา โกเมซ จะยังไม่แข็งแรงร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เธอก็ยืนยันว่าทุกคนไม่ต้องเป็นห่วงเธอแต่อย่างใดเพราะสภาพจิตใจเธอแข็งแกร่งขึ้นมากแล้ว

"ฉันผ่านเรื่องยากๆ ในชีวิตมามากมาย และเพราะช่วงเวลาเหล่านั้น ไม่ว่าฉันจะชอบหรือไม่ชอบ ภาพมันก็ถูกวาดออกมาเป็นชีวิตฉันแล้ว (เรื่องชีวิตส่วนตัว) มันเคยน่ากลัวเพราะว่าฉันไม่อยากให้มันมีผลต่ออาชีพของฉัน"

"ตอนที่ฉันยังเด็กเรื่องพวกนี้มันเกินควบคุม มันได้โชว์ให้ผู้คนเห็นว่าในช่วงนั้นฉันอ่อนแอ และมีปัญหาแค่ไหน บางคนจึงต้องการขึ้นไปยืนอยู่บนตึกเพื่อคอยดึงคนที่กำลังจะขึ้นไปให้ตกลงมา แต่ตอนนี้ฉันโอเค ฉันรับมือได้ แล้ว แต่ถ้าฉันเผชิญกับสัปดาห์ที่ยุ่งเหยิง หรือรู้สึกว่าไม่อยากจะทำอะไร ฉันก็จะไม่ทำ ไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ"
...
* Systemic Lupus Erythematosus (SLE) เป็นโรคที่เกี่ยวกับความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายซึ่งก่อให้เกิดการอักเสบและทำลายอวัยวะต่างๆ โดยเกิดขึ้นได้ทุกส่วนของร่างกาย เช่น ข้ออักเสบ ผิวหนังอักเสบ ผื่นแดงตามผิวหนัง การอักเสบของเนื้อเยื่อ การอักเสบของไต และเส้นประสาทอักเสบ













กำลังโหลดความคิดเห็น