พ่อ-แม่ “มิกกี้” สามี “เจนี่” เผชิญหน้าคนโพสต์ด่าครอบครัวรายแรกที่สน.วังทองหลาง อีกฝ่ายขอโทษคาห้องขังบอกแค่ด่าตามคนอื่น ชี้เตรียมเรียกอีกเป็น 10 ราย ลั่นรับไม่ได้ที่สุดคือมาด่าหลานในฐานะที่เป็นทนายจึงยอมไม่ได้ขอออกมาปกป้องศักดิ์ศรีลูก-หลานตามกฎหมาย ไม่มียอมความ บางรายถึงจะอยู่ต่างประเทศก็จะเอาเรื่องให้ถึงที่สุดเพราะคดีหมิ่นประมาทมีอายุความ 10 ปี
ในที่สุดก็หนีความผิดไม่พ้น หลังจากที่นางเอกคนดัง “เจนี่ อัลภาชน์ ณ ป้อมเพช”หรือ เจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณและสามี “มิกกี้ นนท์ อัลภาชน์ ณ ป้อมเพชร” เข้าแจ้งความที่ บก.ปอท. เมื่อ 22 ธ.ค.2563 ให้ดำเนินคดีกับเพจเฟซบุ๊กชื่อ “สัพเพเหระ all about ไอ้แบ้และอิปลวก”ที่นำภาพครอบครัวเจนี่ไปตัดต่อแล้วโพสต์และเมื่อ 16 พ.ย.62 ก่อนจะมีเกรียนคีย์บอร์ดเข้าไปแสดงความเห็นในลักษณะบูลลี่ และคุกคาม “น้องโนล่า” ลูกสาว ทั้งยังพาดพิงเจนี่และมิกกี้ด้วยถ้อยคำหยาบคาย จนลุกลามส่งผลกระทบกับงานของมิกกี้ทำให้ต้องลุกขึ้นมาปกป้องครอบครัวของตนเอง และดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา
ความคืบหน้าล่าสุด ทาง บก.ปอท.ได้ตรวจสอบพบว่ากระทำเข้าข่ายผิดกฎหมายจำนวน 10 ราย พร้อมออกหมายเรียกติดตามบุคคลเจ้าของบัญชีเฟซบุ๊กเหล่านั้นมาดำเนินคดีตามกฎหมาย กระทั่งวันที่ 27 ต.ค.64 ร.ต.อ.พิษณุ ทัศญาณ รอง สว.(สอบสวน) สน.วังทองหลาง ได้ออกหมายจับบุคคลที่แสดงความเห็นดังกล่าว ก่อนที่ฝ่ายสืบสวน สน.วังทองหลางจะสามารถติดตามจับกุม น.ส.อรทัย(สงวนนามสกุล) 1 ในผู้ต้องหา 10 ราย ได้จาก จ. ยโสธร เมื่อวันที่ 26 ธ .ค. ที่ผ่านมา และถูกควบคุมตัวมาส่งพนักงานสอบสวน แต่คู่กรณีทำเรื่องประกันตัวไม่ทัน เป็นเหตุให้ต้องนอนตบยุงในขังหนึ่งคืน
โดยเมื่อเวลา 08.00 น. วันนี้ ( 27 ธ.ค. 64) “ดร. สิริพร ณ ป้อมเพชร อัลภาชน์” และ “นายสุภรัตน์ อัลภาชน์” ซึ่งเป็นแม่และพ่อของสามีเจนี่ ได้เดินทางมายัง สน.วังทองหลาง เพื่อพบเจ้าหน้าที่ตำรวจ และเพื่ออยากถามคู่กรณีว่าทำไมถึงมาทำร้ายครอบครัวตนทั้งที่ไม่รู้จักกันมาก่อน พร้อมเผยว่าตอนนี้เจนี่และมิกกี้อยู่ต่างประเทศ แต่ได้รับทราบเรื่องทุกอย่างแล้ว ลั่นจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด อยากให้เป็นบรรทัดฐานสังคม ก่อนเผยถึงวินาทีที่เผชิญหน้าผู้ต้องหาคาห้องขัง
ดร.สิริพร : “จากปีที่แล้วเราไปเห็นเพจมีคนสร้างเพจขึ้นมาที่ชื่อว่าสัพเพเหระ all aboutไอ้แบ้และอิปลวกอะไรก็ไม่รู้มีคนส่งมาให้ดูตลอด ตอนแรกเราก็พยายามจะไม่ให้ลูกเห็นไม่อยากให้เขารับรู้เพราะมันเป็นเรื่องไร้สาระและใช้คำพูดที่หยาบคายมาก ในที่สุดก็มายุ่งกับหลานเอารูปหลานมาลงแล้วเขียนว่าเสียๆ หายๆ แย่มาก รู้สึกทนไม่ได้ เราก็ต้องออกมาปกป้องในฐานะปู่ย่า
พ่อแม่เขาก็ต้องออกมาปกป้องลูกเขา เจนี่กับมิกกี้ก็เลยไปแจ้งความที่ปอท.แล้วคุณพ่อในฐานะทนายฐานะคุณพ่อฐานะคุณปู่ด้วยก็ตามทุกเรื่องเก็บหลักฐานทุกอย่างช่วยกันกับทางปอท.และตำรวจไซเบอร์ จนในที่สุดก็พิสูจน์ทราบตัวตนได้หลายรายเลย แต่ละรายส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงบางรายมีลูกด้วย ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นอย่างนี้ พอพิสูจน์ตัวตนได้เราก็มาแจ้งความกับทางสน.วังทองหลาง แล้วก็ออกหมายเรียก พยานก็มีหลายรายอยู่ที่มาพูดคุยกัน ใครไม่มาก็ออกหมายจับ ใครมาเราก็ขอคุยแต่ยังไงเราก็ต้องส่งฟ้องอัยการหมด”
รายที่เรียกดำเนินคดีเป็นรายที่ใช้คำต่อว่าหยาบคายไร้มนุษยธรรมซึ่งตอนนี้ได้ดำเนินคดีไปเป็น 10 รายแล้ว
ดร.สิริพร : “โอ้โห คือรุนแรงไม่มีมนุษยธรรมมากเลย”
สุภรัตน์ : “อย่าให้พูดออกสื่อเลยมันเป็นคำที่ไม่ใช้กันในสังคมขึ้นด้วย อีอะไรอย่างนี้”
ดร.สิริพร : “หยาบคาย ก็ไม่รู้ว่ามิกกี้กับเจนี่ไปทำอะไรให้เขาถึงต้องไปว่าลูกเขาขนาดนั้น ก็งงมาก แล้วก็เขียนไปกันใหญ่แล้วก็ไปเอารูปเขามาไม่ว่าเขาจะลงรูปในพื้นที่ส่วนตัวของเขาก็ไปเอามาแล้วก็มาตัดต่อเอามาด่าทอลามปามไปถึงครอบครัว ว่าพ่อว่าพ่อว่าปู่ย่าตายายทั้งๆ ที่ไม่รู้จักกันเลย ก็ไม่รู้ว่าทำไม
แล้วการที่จะพิสูจน์ทราบตัวตนได้แต่ละเคส มันเหนื่อยยากมากนะกว่าทางไซเบอร์จะทำให้เราได้ ติดโควิด-19 ด้วยก็เลยช้า เคสแรกก็ออกหมายจับเพราะเขาไม่มา แล้วหลักฐานคือหมิ่นประมาทมากเราก็เลยต้องจัดการ ตอนนี้เขาอยู่ที่สน.แล้ว ที่ดำเนินคดีไปก็เป็นสิบ ตอนนี้ที่พิสูจน์ตัวตนได้ก็เยอะที่มาพูดคุยมาเจอกันที่สน.ก็หลายรายแล้วที่ออกหมายจับคือรายแรกแล้วก็ได้ตัวมา”
เผยคู่กรณีให้เหตุผลในการด่าทอว่าทำตามเพื่อน รับไม่ได้ที่สุดคือด่าว่าหลานจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุดไม่มียอมความ
ดร.สิริพร : “เขาก็อ้างว่าเห็นคนอื่นทำก็เลยทำบ้างคือไม่มีเหตุผลเห็นคนอื่นด่าก็ด่าบ้าง ถ้าไม่ด่าแอดมินจะไล่ออกก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าสังคมอะไร”
สุภรัตน์ : “แล้วบางคนมีบัตรผู้พิการอีกคือเดินไม่ได้เอาถุงฉี่ใส่มาด้วยที่รถเขา ก็โอ้โห นี่ขนาดน้องพิการนะ น้องยังทำขนาดนี้เลยจะให้สงสาร เราก็บอกว่ายังให้ทรมานเล่นไปก่อนว่าเวลากังวลมันเป็นยังไง”
ดร.สิริพร : “ก็จะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด”
สุภรัตน์ : “เราไม่ได้ต้องการเงินทองอะไรเราอยากให้เขารู้ว่าคำพิพากษามันเป็นยังไง”
ดร.สิริพร : “ถ้ามีใครมาเปิดเพจอีกแล้วอันนี้ไม่ใช่เฉพาะเคสของลูกเราลูกสะใภ้เราหลานเรานะ คนทั่วไปก็เถอะ คุณเที่ยวไปด่าเขาทำไมทำอย่างนั้นมาตรฐานสังคมจะเป็นยังไง การบูลลี่การใช้คำหยาบคายมันไม่ใช่คนที่เขาซึมเศร้าฆ่าตัวตายจากการโดนบูลลี่ก็มีมันรุนแรงมาก แล้วสังคมจะอยู่ยังไง ที่คุณเที่ยวด่าเที่ยวว่าชาวบ้านแล้วไม่ได้รู้ว่าความจริงเป็นยังไงทำกันไม่หยุดหย่อนเด็กเล็กก็ไม่เว้น เราถึงจำเป็นจะต้องดำเนินคดีให้ถึงที่สุดยังไงเราก็ไม่ยอม
ที่รับไม่ได้เลยคือหลานเราเขายังเป็นเด็กเขายังบริสุทธิ์ ทำไมถึงต้องมาโดน ไม่เข้าใจเลยว่าจิตใจทำได้ยังไง แล้วที่บอกพิสูจน์ตัวตนมาแล้วเป็นผู้หญิงบางคนมีลูกด้วย ถ้าใครมาว่าลูกตัวเองตัวเองจะรับได้ไหม รับไม่ได้หรอก มันยอมความกันไม่ได้ เราไม่เรียกร้องเงินทองไม่ต้องการอะไรเลยเราแค่พิสูจน์ให้สังคมเห็นว่ามันทำไม่ได้นะทำกันอย่างนี้ สังคมจะเป็นยังไงต่อแล้วเราก็ต้องออกมาปกป้องลูกเราลูกสะใภ้เราหลานเราเราจะปกป้องให้ถึงที่สุดเราจะทำให้เต็มที่”
เล่าบางเคสคู่กรณีอยู่ต่างประเทศบอกคดีหมิ่นประมาทมีอายุความ 10 ปี ชี้เงินไม่มีความหมายขอเดินหน้าปกป้องศักดิ์ศรีของลูก-หลานและความถูกต้อง
สุภรัตน์ : “เราไม่ได้เล่นก็ไม่รู้ทวิตเตอร์เฟซบุ๊ก ก็ไม่เข้าใจว่าทำทำไม มันควรจะใช้ในทางที่ถูกแต่นี่มาใช้ในทางที่ผิดด้วยเมืองไทยมันมีจุดอ่อนที่ว่ามันไม่จำเป็นต้องเปิดเผยตัวตนจริงเป็นชื่ออื่นรูปอื่น”
ดร.สิริพร : “มีบางคนอยู่ต่างประเทศด้วยทางปอท.สันนิษฐานว่าทางแอดมินอยู่ต่างประเทศ เวลาที่เราเริ่มโพสต์เริ่มประเด็นจะเป็นเวลากลางคืนของที่เมืองไทยแต่ก็ไม่รู้แหละคดีนี้มัน 10 ปีเรามีเวลามันเพิ่งจะครบ 1 ปีไปยังมีเวลาอีก 9 ปีที่จะตามตัวทำเรื่องทำหมายจับที่ออกหมายฟ้องทุกอัน มีอายุความ 10 ปี เราก็จะทำให้ถึงที่สุดให้รู้กันไปว่าจะหนีถ้าหนีได้ถึง 10 ปี แล้วคนที่อยู่ต่างประเทศถ้าเข้ามาประเทศไทย ตอนที่เขามาก็คงจะได้เจอกัน เราไม่ต้องการเงินจะมา 5 ล้าน 10 ล้านเราก็ไม่เอาเราอยากให้เป็นเคสตัวอย่างของสังคม เงินทองไม่มีความหมายเราต้องการปกป้องศักดิ์ศรีของลูกเราหลานเราและความถูกต้อง”
บอกเรื่องนี้กระทบต่อหน้าที่การงานของ “มิกกี้” ด้วย ซัดง่ายเกินไปกับการเอ่ยคำขอโทษแล้วจบกันจากนี้ให้ทุกอย่างขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศาล
สุภรัตน์ : “เขารู้ทุกเรื่อง จริงๆ เราเองไม่อยากให้เขารับรู้มาก เราไม่อยากให้เขารับรู้เลยโดยเฉพาะเรื่องหลาน แต่มันปิดไม่ได้บางทีมีผู้หวังดีส่งมาบ้าง”
ดร.สิริพร : “บางทีก็มีคนส่งมาหามิกกี้มาถามว่าจะดำเนินคดีไหม จะยอมความไหม อะไรต่อมิอะไร เราก็บอกลูกว่าไม่ต้องไปโต้ตอบอะไรแต่เราก็แคปไว้หมดหลักฐานทุกอย่างเราก็ส่งให้กับทางร้อยเวรที่เป็นเจ้าของคดีนี้ ทางฝั่งเราเองก็มีคนติดต่อมาแต่เราไม่รู้ว่าเขาคือเจ้าของเพจรึเปล่าเขาแมสเสจเข้ามาแต่ไม่รู้ว่าเขาใช้ชื่อจริงหรือเปล่า เขาไม่เปิดเผยตัวตน มีคนติดต่อเข้ามาอยากขอคุยด้วย อยากขอโทษแต่เราไม่คุยด้วย ได้แต่แคปเก็บหลักฐานทั้งหมดรอส่งทำสำนวน”
สุภรัตน์ : “ตอนนี้แค่คำขอโทษมันง่ายไป 2 คำมันสั้น กว่าจะได้คนมาคนนึงเราขึ้นลงปอท.กันมาเยอะคนที่ทำผิดควรจะได้ทำอะไรมากกว่านี้ เราก็ส่งฟ้องศาลไปว่ากันตามกฎหมาย”
ดร.สิริพร : “ว่ากันตามกฎหมายให้ทุกอย่างอยู่ที่ดุลยพินิจของศาล การทำให้คนอื่นเสียหายทำให้สังคมเข้าใจผิดมันก็ไปกระทบงานของทั้งเจนี่ทั้งมิกกี้ เพราะมิกกี้เคยทำงานให้ลูกค้ารายนึงเป็นลูกค้าต่างประเทศก็มีคนกลุ่มนี้เขาไปหาเรื่องไประรานในเพจของลูกค้าจนลูกค้าต้องดาร์กโพสต์ คือเขาไม่ลบข้อความของมิกกี้ออกแต่เขาต้องดาร์กโพสต์เพื่อไม่ให้คนพวกนี้เขาไปยุ่งกับงาน คือมันทำกันเกินไปไประรานถึงงานที่เขาทำ ไประรานพื้นที่ส่วนตัวเขาไปด่าว่าเขา ก็ไม่รู้ทำไปทำไมไม่ว่าเขาจะลงรูปลงภาพทำกิจกรรมครอบครัวอะไรก็จะเข้าไปเอารูปแล้วไปแต่งข้อความเป็นตุเป็นตะทำร้ายพ่อแม่ลูก แล้วก็ลามมาถึงครอบครัวคือเลอะเทอะมาก
มีรูปมิกกี้ออกกำลังกายก็ไปด่าเขาว่าไม่มีความรู้อะไรมาทำเป็นแอ็กออกกำลัง ทำไมเขาถึงจะไม่มีความรู้เขาจะทำได้ยังไงเขาจบปริญญาโทเขารู้ เขาเรียนมาทางนี้ คุณไม่รู้แล้วมาด่าเขาอย่างเดียวว่าเป็นเทรนเนอร์กระจอกงอกง่อยมาเกาะเจนี่บ้างเป็นแมงดาบ้าง มันไม่ใช่ไง มิกกี้เขาก็มีพ่อมีแม่มีครอบครัวมันรุนแรงมาก แล้วไปว่าเจนี่เขาต่างๆ นานาไปแคปรูปที่เขาทำงานมาเขียนวิพากษ์วิจารณ์มาเขียนเลอะเทอะใช้คำพูดชนิดที่ว่าจิตใจทำด้วยอะไร”
เป็นห่วงความรู้สึกของหลานในอนาคตหากต้องมาเห็นข้อความบูลลี่พวกนี้
สุภรัตน์ : “พ่อแม่เขาก็รำคาญ มาลองเป็นเราพวกนั้นเขาอยู่ในที่มืดเราอยู่ในที่สว่างกว่าจะได้คนๆ นึงคดีนึงมันยากมากเลยปอท.เขาทุ่มเทให้เรามาก (เป็นห่วงความรู้สึกของหลานในอนาคตถ้าเกิดเขาได้มาเห็น?) หลานก็ต้องลิงก์มาจากพ่อแม่ก่อนพ่อแม่เขาห่วงอยู่แล้วตอนนี้หลานยังไม่รู้เรื่องอะไรต้องอีกสักพักนึงแต่เรื่องพวกนี้มันหนีไม่พ้นหรอกถ้าตราบใดยังมีการเล่นอย่างนี้อยู่ อยู่ที่นี่มันก็ต้องโดน เราต้องต่างคนต่างทำหน้าที่กันไปใครจะเล่นก็เล่นไปเราก็ทำของเราเราก็ตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลมแต่ถามว่าเขาจะหยุดกันไหม เราทำถึงขนาดนี้ก็คิดว่าคงจะไม่หยุดมันไม่มีทางเลย แต่ไม่ให้ทำอะไรเลยก็คงไม่ได้ก็ไม่รู้ว่าจะให้ทำยังไง”
อยากสร้างมาตรฐานสังคมการบูลลี่ผู้อื่น
สุภรัตน์ : “ก็ถ้าไม่มีงานทำก็อย่าเที่ยวไประรานคนอื่น ไม่ใช่แต่เฉพาะครอบครัวผมนะ แต่พูดถึงทุกคนเลยไม่ว่าจะดาราคนอื่นบุคลธรรมดาควรจะให้เกียรติกัน”
ดร.สิริพร : “การจะอยู่ในสังคมคุณต้องให้เกียรติคนอื่น ถ้าคุณไม่ชอบคุณก็แค่ไม่ติดตามเขาไม่ใช่มาเปิดเพจด่าเขาแล้วการใช้คำพูดหยาบคายคุณไม่ละอายใจเหรอที่คุณเขียนไปขนาดนั้นแล้วมาทำร้ายเขา ถามว่ารู้จักเขาไหม เขาได้ไปทำอะไรให้คุณหรือเปล่า นี่ไม่ใช่เฉพาะลูกเราลูกสะใภ้เราหลานเรา แต่เราพูดถึงทุกคนในสังคมด้วยการอยู่ร่วมกันก็ต้องให้เกียรติกันบ้าง
ถ้าไม่ชอบไม่อยากให้เกียรติเขาคุณก็ผ่านไปเลยไม่ต้องไปยุ่งกับเขาไม่ใช่มาทำแบบนี้ หลายเคสเลยที่เราเห็นในสังคมแล้วเรามองว่ามันไม่ถูกต้องมันเกินไปแล้วคนที่เขาได้รับผลกระทบมันหนักนะในเรื่องของจิตใจ มันหนักมากขนาดเราไม่ได้โดนตรงๆ เราซัปเฟอร์มากกว่าลูกเราลูกสะใภ้เราหลานเรา เรานอนไม่หลับกันมาตลอด
จนกระทั่งปอท.บอกว่าพิสูจน์ตัวตนได้เราก็เริ่มมีความหวัง พอออกหมายเราก็เริ่มมีความหวัง พอมีการออกหมายเรียกเราก็เริ่มจะฟังจะมองเห็น อย่างที่มาวันนี้เราอยากจะถามผู้ต้องหาว่าคุณทำทำไม คุณได้รับการว่าจ้างหรือหรือว่าคุณจงเกลียดจงชังอะไร คุณทำทำไมแล้วคุณรู้ไหมว่าคุณจะต้องมาอยู่ในห้องขังต้องประกันตัวแล้วอายุความมัน 10 ปีมันคุ้มไหม อยากจะฝากไว้นะคะว่าอย่าทำอย่างนี้กันเลย บูลลี่เขาเลิกกันไปหมดแล้วประเทศที่พัฒนาแล้วทุกคนที่เขามีการศึกษาเขาไม่บูลลี่คนอื่นหรอก
ก็หวังว่าให้เขาหยุดเถอะอย่าทำร้ายกันเลยอยู่กันอย่างสงบเถอะ ปัญหาอื่นมันมีเยอะแยะแล้ว อย่าสร้างเรื่องกันอีกเลย แล้วทำอย่างนี้ไซเบอร์เขาเก่งใช้เวลาหน่อยแต่จับได้ อย่าทำเลย อายุความหมิ่นประมาทมัน 10 ปีให้รู้กันไปว่าคุณจะหนีกฎหมายหนีความผิดได้ อยู่ต่างประเทศก็เหมือนกัน คุณอย่าคิดว่าคุณจะรอดนะ คุณอย่ามาเมืองไทยก็แล้วกันภายใน 10 ปีนี้คุณอย่ามา คุณรอด แต่ถ้าคุณมาคุณก็ไม่รอดเพราะฉะนั้นหยุดเถอะอย่าทำเลย”
จากนั้นทั้ง “ดร.สิริพร” และ “สุภรัตน์” ก็ได้เข้าไปพูดคุยกับผู้ต้องหาหลังจากคุยกับผู้ต้องหาแล้วก็ออกมาเปิดใจกับสื่อมวลชนอีกครั้งว่า…
ดร.สิริพร : “เราก็ถามว่าใช้คำพูดไม่สุภาพกับมิกกี้เจนี่แล้วก็หลานทำไม เขาก็ยกมือไหว้ขอโทษก็พูดออกมาว่าเพื่อนด่าเขาเลยต้องด่าด้วย เราได้ยินก็เดินออกมาเลย คือไม่เข้าใจ แล้วเข้าไปอยู่ในเพจที่ไม่เป็นเรื่องเป็นราวก็ไม่เข้าใจแล้วว่าเข้าไปร่วมวงสนทนาได้ยังไง เหตุผลง่ายๆ แค่นั้นทำให้ต้องเดินทางออกจากบ้านมานอนค้างอยู่ในคุกนี่ ก็ยังอยู่ต้องรอร้อยเวรยังไม่ได้ประกันตัว”
สุภรัตน์ : “คนนี้จับได้เป็นคนแรกหลังจากที่ตามกันมาเดือนกว่าๆ ครั้งแรกที่เราส่งหมายจับ 27 ตุลาคม ก็ไปเฝ้ากันที่บ้านแล้วไม่เจอ เลยบอกว่าตอนนี้หมายมาแน่แล้วก็มาจริงๆ ก็มีเกือบ 10 ราย รายนี้เป็นรายแรกที่ถูกจับตอนนี้ได้คุยกันมาประมาณ 5-6 คนแล้ว ตอนแรกเรายังไม่ได้ออกหมายจับถ้าใครไม่มาก็ออกหมายเรียกเป็นผู้ต้องหา ก็ทำตามขั้นตอนกฎหมาย”
คำขอโทษจากคู่กรณีไม่สามารถเยียวยาความรู้สึกบอกช้ำที่ผ่านมาได้
สุภรัตน์ : “เราไม่รู้สึกอะไรมันง่ายไปนิดนึง”
ดร.สิริพร : “คือวันนี้เราได้มาทำหน้าที่พ่อหน้าที่แม่ให้กับมิกกี้-เจนี่แล้วก็ทำหน้าที่ปู่กับย่าให้หลานแล้วเราก็จะทำต่อไป ถ้าใครมารังแกก็ต้องใช้กฎหมายต่อไป เราอยากจะปกป้องครอบครัวของลูกเราเพราะครอบครัวของลูกเราไม่ได้ทำร้ายใครไม่ได้เป็นปัญหาของสังคมใดๆ เลย แล้วทำไมเขาต้องโดนกระทำขนาดนี้แล้วคุณพ่อเป็นทนายมีความรู้ทางกฎหมายเราก็ต้องทำให้ถึงที่สุด ก็ขอให้เป็นตัวอย่างว่ามันเดือดร้อนไหมต้องมานอนในห้องขังเพราะเห็นเพื่อนด่าเลยด่าด้วย มันคุ้มไหมต้องมาติดอยู่ในห้องขังไม่รู้เมื่อไหร่จะได้ประกันตัว แล้วจะยังไงต่อ มันไม่คุ้ม นี่เป็นตัวอย่างแล้วอย่าทำกันอีก ใครที่คิดจะทำจะว่าจะทำร้ายใครจะบูลลี่ใครหยุดเถอะอย่าทำเลย”
