เปิดใจผู้สร้าง 4kings ปลื้มรายได้มุ่งสู่ 100 ล้าน หวังกวาดรายได้ถึง 200 ล้าน เล็งสร้างภาค 2 ยันไม่ได้ดังเพราะกระแสเด็กตีกัน แต่เจตนาหวังให้เป็นอุทาหรณ์ ด้าน “เป้ อารักษ์” เสียใจ คนเข้าไปดูหนังแล้วหัวร้อนจนออกมาตีกัน
กวาดรายได้อย่างต่อเนื่องทีเดียว สำหรับภาพยนตร์เรื่อง 4KINGS ที่ล่าสุดก็ได้จัดงานฉลองรายได้มุ่งสู่ 100 ล้านเป็นที่เรียบร้อย แต่นอกจากรายได้ที่พุ่งทะยานแล้วก็ยังตามมาด้วยกระแสข่าวเด็กเข้าไปดูแล้วออกมาตีกัน โดบอ้างว่าเป็นผลมาจากการดูหนังเรื่องนี้ ซึ่งก็ทำให้มีหลายๆ ฝ่ายออกมาวิพากษ์วิจารณ์กันไม่น้อย ล่าสุดในงานฉลองรายได้ครั้งนี้ทาง “คุณเนติธร พรพิทักษ์สิทธิ์” ผู้อำนวยการสร้าง และพระเอกของเรื่องอย่าง “เป้ อารักษ์ อมรศุภศิริ” ก็ได้ออกมาเปิดใจถึงกรณีดังกล่าวเช่นกัน
เนติธร : “ทางค่ายก็มีความคาดหวังมาตั้งแต่แรกแล้วว่าจะทำหนังให้มันประสบความสำเร็จเนอะ ทีนี้พอหนังประสบความสำเร็จแล้ว ก็มีความตื้นตันใจมากและอยากจะพัฒนาวงการภาพยนตร์ไทยไปให้สุด ก็จะมีภาค 2 และมีต่อๆ ไปอีกครับ เพราะตอนนี้ก็จีบพี่เป้ไว้แล้ว”
เป้ : “ไอ้เรื่องภาค 2 ผมยังไม่รู้ครับ รู้พร้อมๆ กันนี่แหละครับ (หัวเราะ)”
เนติธร : “เรื่องภาค 2 เนี่ยจริงๆ ก็ตั้งใจไว้ตั้งแต่ต้น เพราะเรื่องของ 4 สถาบันนี้มันมีเยอะมาก เล่าให้จบในภาคเดียวไม่ได้ ก็เลยวางแพลนเอาไว้อยู่แล้วว่ามีภาค 2 ถามว่าไม่กลัวเจ๊งถึงได้คิดเตรียมภาค 2 ไว้หรือเปล่า คือทางผู้บริหารได้จัดทีมไปรีเสิร์ชข้อมูลมาแล้วครับว่าเด็กอาชีวะในแต่ละปีจบไม่น้อยกว่าแสนคน พอผ่านมาเรื่อยๆ ระยะเวลา 20-30 ปีเนี่ยปรากฏว่าฐานคนดูหลายล้านคน เขาก็เกิดมีความอยากย้อนยุค ย้อนวัยไปดูหนังในยุค 90 สมัยที่ตัวเองเรียน ก็เลยมีความมั่นใจมากครับว่าหนังเรื่องนี้จะดี
ถามว่าดังเพราะกระแสไหม คือหนังเราไม่ได้ทำให้เด็กมาดูแล้วเกิดความฮึกเหิมหรือตีกันนะครับ เจตนารมณ์ของค่ายคืออยากจะสื่อให้เด็กและเยาวชนดูเป็นตัวอย่างในเรื่องของอุทาหรณ์สอนใจว่าสิ่งที่คุณทำเนี่ย มันจะเกิดผลร้ายๆ ในอนาคตตามมา แต่สิ่งที่ออกมาพอมีคนไปดูหนังแล้วมาตีกันจริงๆ อันนี้ก็เหนือความคาดหมายจริงๆ ครับ เพราะหนังมันจะเป็นซีนดรามาซะเยอะ แต่ว่าคนที่ยังไม่ได้เข้าไปดู เขาก็เข้าไปดูอย่างพี่เป้เนี่ย ใส่ช็อปยังไงก็หล่อครับเขาก็เลยคาดเอาไว้ว่าจะโชว์ความเท่ แล้วก็แฝงด้วยความรุนแรง แต่จริงๆ ไม่มีเลยครับ”
เป้ : “ผมคิดว่าถ้าดูแล้วจะรู้สึกอีกแบบนึงแน่นอนครับ เพราะว่าเจตนาของผู้กำกับ เจตนาของทางผู้สร้าง และนักแสดงทุกคน คือการตีกันมันเป็นเรื่องในอดีต เป็นอุทาหรณ์มากกว่า และปัจจุบันอยากให้ทุกคนกลับมารักกัน ก็ไม่ใช่แค่มีตีกันอย่างเดียวนะ มีหลายๆ ภาพที่ช่างกลต่างสถาบันเดินออกมาข้างนอกแล้วใส่ช็อปคนละสีแล้วมาถ่ายรูปด้วยกันหน้าโรงหนังก็เป็นเรื่องที่ผมประทับใจครับ แต่ก็อยากฝากน้องๆ ที่เข้าไปดูหนังกันทุกคนนะครับ ออกมาแล้วได้โปรดอย่าตีกันเลยนะครับ ถ้าชอบหนังอย่าตีกันเลยครับ
ถามว่าเตรียมใจกับกระแสแบบนี้ไหม คือเราค่อนข้างชอบบทภาพยนตร์ ชอบเจตนาของผู้กำกับและผู้สร้างว่าความจริงเขาก็ถ่ายฉากรุนแรงไว้เยอะนะ แต่ตัดทิ้งหมด เพื่อให้หนังมันไปในทางที่มีประโยชน์ต่อคนดูครับ ไม่ได้ไปยุแยง เพราะฉะนั้นคนที่เข้าไปดูแล้วผมคิดว่าน่าจะไม่อยากออกมาตีกัน แต่ถ้าเกิดน้องๆ เขาเลือดร้อนอยู่ ผมก็คิดว่าผมเข้าใจนะ แต่ก็ได้แต่ขอร้องว่าอย่าตีกันเลย มันไม่ใช่แค่เรื่องของภาพยนตร์ ไม่ใช่เรื่องของพลังที่คุณจะได้จากมัน มันเป็นเรื่องของกฎหมาย เรื่องของความเจ็บตัว ที่บางทีคุณไม่สามารถย้อนกลับมาได้นะถ้าคุณพลาดพลั้งอะไรไปบางอย่าง ก็ฝากด้วยแล้วกันครับ
หลายกระแสมีบอกว่าจะมีการไปตบช็อป ตบเข็มขัดกันเหรอ ในหนังมันไม่มีเลยนะครับ ความจริงวัฒนธรรมในยุค 90 นั่นน่ะมันจะมีเรื่องนี้ แต่ในหนังเขาไม่โชว์เรื่องนี้เลย เพราะเขาต้องการจะปกป้องการที่จะทำเลียนแบบไว้แล้ว ถ้าเกิดว่าคนที่ไปทำโดยที่ไม่ได้เลียนแบบหนังแล้วจะมาโทษหนังก็ไม่ถูก”
บอกหนังผ่านสายตาผู้ใหญ่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่เสียใจที่คนดูแล้วออกมาตีกัน
เนติธร : “ที่มีผู้หลักผู้ใหญ่หลายท่านออกมาแสดงความคิดเห็น วันนี้ผมก็เพิ่งไปพบพี่เต้ (มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์) มา ตอนที่เขาชักชวนเด็กอาชีวะไปดูหนัง ซึ่งผมก็ได้มีการถามเขาต่อหน้าเลยครับว่าคิดยังไงกับหนังเรื่องนี้ เขาก็บอกว่าได้รับฟังมาหลายกระแสว่าหนังเรื่องนี้ทำออกมาแล้วมันดี เขาก็ให้การสนับสนุนและออกมาชักชวนให้คนมาดู เรื่องการขอเซ็นเซอร์เพิ่มเติมไม่มีครับ เพราะว่าหนังเรื่องนี้ทางบริษัทเอ็มพิคเจอร์ก็ได้ส่งให้ทางกบว. (คณะกรรมการบริหารวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์) ทำการจัดเรต ซึ่งผู้ใหญ่ก็ได้ดูแล้วว่า 15+ เอง ก็แสดงว่าหนังมันไม่ได้มีความรุนแรงอะไรเท่าไหร่”
เป้ : “ถามว่าเสียใจไหมที่กระแสมาเป็นแบบนี้ แน่นอนว่าถ้ามีคนตีกันผมไม่รู้สึกดีอยู่แล้ว พอมีคนตีกันเพราะหนังที่เราเล่น เราไม่รู้สึกดีอยู่แล้วครับ ก็อยากจะให้คนที่เข้าไปชมมีความสุขกับหนัง เพราะผมเชื่อว่าหนังดี และ 60 กว่าล้านในวันนี้มันก็พิสูจน์แล้วว่าคนไทยสามารถเข้าถึงได้จริงๆ ก็ไปดูกันและมีความสุขกันดีกว่าครับ คือหนังมันก็มีหลายแบบเนอะ แล้วเราจะบอกว่าถ้าทำหนังแบบไม่มีเรื่องในประวัติศาสตร์ เราไม่ได้ปฏิเสธว่าเรื่องแบบนี้มันไม่เคยเกิดขึ้น เพราะมันเกิดขึ้นจริง เราสามารถทำได้ ควรมีภาพยนตร์หลายๆ แบบครับ แต่ไม่ใช่ว่าดูแล้วจะทำให้คนไปตีกับคนอื่น ซึ่งกฎหมายมันบอกอยู่แล้วว่าคุณอย่าไปตีกับคนอื่น ศีล 5 ก็บอกอยู่แล้วว่าอย่าไปตีกับคนอื่น ฉะนั้นก็ฝากด้วยครับ”
ตั้งเป้ารายได้ 200 ล้าน ยืนยันทำหนังเพื่อให้เป็นอุทาหรณ์สอนใจ
เนติธร : “เบื้องต้นทำสัญญาไว้ 3 อาทิตย์ แต่ถ้าเกิดมีกระแสคนดูยังดูต่อเนื่องก็ยังมีต่อไปเรื่อยๆ ครับ ตั้งตัวเลขไว้เท่าไหร่เหรอ ผมมองไว้ว่าประมาณ 200 ล้านครับ ในส่วนของต้นทุนอันนี้ขอไว้เป็นความลับดีกว่าครับ เพราะเราจ่ายในเรื่องของการตลาดไปเยอะ เพราะเราอยากจะชักชวนให้เด็กและเยาวชนมาดูหนังเรื่องนี้ เพราะทางผู้บริหารก็อยากให้เด็กมาดูหนังเรื่องนี้แล้วเป็นอุทาหรณ์ และกลับไปมีแต่ความเป็นมิตร มีแต่มิตรภาพต่อกันครับ ถามว่าคืนทุนไหม ยังอีกไกลครับ (ยิ้ม)”
เป้ : “ถือว่าเป็นเรื่องที่ในเวลานี้หนังไทยที่ซบเซาไปสักพักนึง ก็กลับมาทำให้วงการหนังกลับมาคึกคักอีกครั้ง ก็ขอบคุณผู้อำนวยการสร้างด้วยนะครับ ที่ทำให้วงการภาพยนตร์ไทยกลับมามีความหวังอีกครั้งนึง”
เนติธร : “ภาค2 ตอนนี้ส่งให้ทีมพัฒนาบทอยู่ครับ ก็ยังคงมีอุดมการณ์เดิมของหนังอยู่ครับ”
เป้ : “ก็ขอบคุณสำหรับทุกคนที่เข้าไปดูนะครับ และขอบคุณทุกคนที่ติดตาม ไม่ว่าจะเป็นทางด้านแง่ดีหรือทางด้านแง่ตักเตือนว่าไม่ควรเข้าไปดู (หัวเราะ)ก็ขอบคุณมากๆ จริงๆ นะครับ ก็อยากให้ทุกคนเข้าไปพิสูจน์กันเองในระหว่างที่มันยังอยู่นะครับ”
เนติธร : “ผมก็ขอฝากไว้ว่าบางท่านก็ยังไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้ ก็อยากให้เข้าไปดูกันและค่อยมาคิดตามว่าหนังเรื่องนี้มันดีหรือไม่ดีอย่างไร แล้วค่อยมาวิจารณ์กันครับ แต่หนังเรื่องนี้ทางผู้สร้างเจตนาดี อยากจะสอนในเรื่องบาปบุญคุณโทษ เวรกรรม สิ่งที่เขาทำจะต้องได้รับผลตามมาประมาณนี้ครับ ขอให้ไปดูกันครับ”