xs
xsm
sm
md
lg

“คลาวเดีย” เล่าชีวิตเฉียดตายกรีดข้อมือตัวเอง ป่วยหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทนาน 10 ปี หวิดเดิน-พูดไม่ได้!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นักแสดงมากความสามารถ “คลาวเดีย จักรพันธุ์” เปิดใจกับรายการ คุยแซ่บShow ทางช่อง วัน 31 ถึงอาการป่วยจากโรคกระดูกทับเส้นประสาทนานกว่า 10 ปี หวิดพิการ เดินและพูดไม่ได้ พร้อมเผยนาทีเฉียดตายพลาดกลางกองถ่าย เกือบดับมาแล้ว อีกทั้งยังอัปเดตความรัก 12 ปี กับนักธุรกิจหนุ่มชาวพม่า “ออง ทีฮา” ที่ตอนนี้ไม่คิดแต่งงานแล้วจริงๆ

ไม่ได้เล่นละครมานานเท่าไหร่แล้ว?
“จริงๆ ก็เล่นเรื่อยๆ นะ กระเช้าสีดานี่ถ่ายต่อจากคลับฟรายเดย์ เราถ่ายทีละเรื่อง คนก็เลยคิดว่าเราไม่ค่อยรับงานหรือเปล่า แต่จริงๆ เริ่มรับมาเรื่อยๆ ประมาณ 3-4 ปี กระเช้าสีดากระแสดีมากดิฉันจะถูกตั้งฉายาว่าเป็นตัวแทนหมู่บ้าน คนดูเหมือนจะอินเวลาเราเล่น เราจะรักนางเอกมาก และจะคอยช่วยนางเอกกับน้องตลอดเวลา เรื่องนี้ทุกคนเล่นกันเต็มที่มาก มีบางฉากที่ตบกับกรีน (อัษฎาพร สิริวัฒน์ธนกุล) ฉันจะเป็นลม

มีการพลาดอะไรไหม?
“ก็มีนะ มีฉากนึงที่ตลกมากเลย เหมือนนุ่น (วรนุช ภิรมย์ภักดี) เลิกกับปีเตอร์ (ปีเตอร์ คอร์ป ไดเรนดัล) แล้วไปเซ็นใบหย่า แล้วลงมาข้างล่าง กรีนก็เหมือนกวนๆ โห...เราหมั่นไส้มาก ก็ตบ ถีบ พอถีบเสร็จไถลลงเลย ล้มลงไปกับพื้น แต่มันไม่ได้ออนแอร์นะ เราไถลลงไปทุกคนเขาก็เล่นต่อ แล้วเราก็ลุกขึ้นมาเหมือนจะต่อ พอคัตปุ๊บก็หัวเราะกันใหญ่เลย”

เห็นบอกว่าบางฉากหน้ามืดเลย?
“หน้ามืด คือเป็นดาวสีทองๆ ส่วนใหญ่จะเป็นฉากตบ พอคัตปุ๊บเราคงเปลี่ยนฟีลเร็วไปสักพักก็วูบเลย ลงไปนั่ง กองถ่ายก็ต้องวิ่งเอายาดมมาให้ ดาวเต็มเลย เรื่องนี้คนมาคอมเมนต์ว่าอวบขึ้น ก็อวบจริง ตอนนี้ลงมา 3 กิโลกว่าแล้ว คือผอมลง ตอนนั้นหยุดไปโควิดด้วย กินเยอะ บวกกับอายุเราไม่น้อยแล้ว รู้สึกว่าหายใจก็อ้วนแล้ว เราไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย เจ็บหลัง ก่อนจะเปิดกล้องกระเช้าสีดาก็เข้าโรงพยาบาลด้วย แล้วมันก็อ้วนขึ้น มีช่วงนึงเราเป็นผีตู้เย็น ชอบกินตอน 3 ทุ่ม”

เรื่องความรักดูสุกงอมมากเลย?
“ก็พอได้อยู่ เขาเป็นหนุ่มพม่า ทำงานที่นี่ เกิดที่นี่นะ เรียนที่นี่ ก็เจอกันที่นี่ด้วย เหมือนเขาเรียนหนังสือกับเพื่อนของเพื่อนเรา เรียนอินเตอร์ แต่เราเด็กโรงเรียนไทยนะ แล้วไปเจอกันโดยบังเอิญ แล้วก็ตอนนั้นเขาอยู่อเมริกา เราก็ไม่ได้คิดว่าทุกอย่างมันจะสานต่อกันได้ ปรากฏว่าเราก็คุยกันแบบวันละเป็น 10 ชั่วโมง แล้วเวลามันแตกต่างกันมาก 6 โมงเช้าเรา คือ 6 โมงเย็นเขา ช่วงนั้นพอคุยไปแล้วถูกคอ เจอกันที่เมืองไทยก่อน เขามาอยู่ที่นี่แค่ 2 อาทิตย์ เองปีละครั้ง อยู่ดีๆ ก็เจอกัน เสร็จปุ๊บ เขากลับไปโทร.มาจีบ จนเรายอมคุยด้วย คือคุยกันเยอะมาก ตอนนั้นยอมนอนดึก ตอนกลางวันนอน ตอนกลางคืนคุยกับแฟน แต่ตอนนี้ไม่มีแล้วนะ คุยไม่ถึง 1 นาทีก็วางแล้ว”

ตอนนั้นคุยไป คุยมา ตัดสินใจย้ายไปอยู่ที่อเมริกาเลย?
“ก็ไปเที่ยวด้วย แล้วด้วยความคิดถึง เหมือนพอเรากลับมา เราคิดถึงเขาเยอะ ก็กลับมาแป๊บนึง ตอนแรกไปแป๊บเดียว กลับมาแล้วไปใหม่”

เห็นบอกว่ากลับไปครั้งนี้ไม่ต้องกลับมาแล้ว คุณผู้ชายบอกไม่ต้องรับงานเลย ให้ไปอยู่ที่อเมริกาเลย?
“ไม่จริงนะ เขาก็คิดถึงแหละ เขาบอกว่ามาอยู่ด้วยกัน เราก็เริ่มไปเยอะขึ้น แต่เราก็ไม่ได้ไปอยู่แบบตลอดนะ เพราะวีซ่าเราก็อยู่ไม่ได้นาน ก็ไปๆ กลับๆ แต่ก็เหมือนอยู่ที่โน่นเยอะ ไปยาวเหมือนกันนะ”

สรุปไปกี่ปี?
“นาน ไปๆ กลับๆ คบมาเกือบ 13 ปี แฟนกลับมาได้ประมาณ 6-7 ปี ก็ไปประมาณ 3-4 ปีที่เทียวไป เทียวมา พอเราไปอยู่ตรงนั้นนาน อยู่ตรงนี้ก็รับงานไม่เต็มที่ เพราะละครเวลาถ่ายมันต้องถ่ายหลายเดือน จริงๆ มองย้อนกลับไปก็เสียดายเหมือนกันนะที่เราไม่ได้รับงาน แต่ก็คิดว่าเหมือนโชคชะตามันเป็นแบบนี้ ก็มีความสุขดี”

พอเรากลับมารับงานละครครั้งนี้เขาว่ายังไงบ้าง?
“เขาไม่ว่าเลย คืออองเป็นคนทำงาน เขาก็ชอบให้เราทำงาน แล้วเขาก็รู้ว่าเราทำงานแล้วเรามีความสุข เขาสนับสนุนเต็มที่เลย บางทีงานเราเสร็จดึกเหมือนกันนะ เขาก็เขาใจไม่เคยว่าอะไรเลย ให้กำลังใจด้วย บี๋เก่ง”

เห็นเขาบอกดูแลดีดั่งเจ้าหญิงเลย จริงไหม?
“ก็ไม่เชิง ทุกคนชอบคิดว่าเราเป็นนกน้อยในกรงทอง แต่จริงๆ ก็ไม่ได้ขนาดนั้นนะ ก็แฟนกันดูแลกันปกติ มีเซอร์ไพรส์วันเกิดบ้าง ซื้อโน่นนี่ให้ เพราะเราไม่เคยขออะไร ยิ่งช่วงนี้เรารู้สึกว่ามันสิ้นเปลือง ไม่ต้องก็ได้นะ ขอเงินสด พูดเล่น ก็ไม่ได้ขออะไร”

แฟนซื้อกระเป๋าให้แพงมาก แต่บอกขอเงินสดดีกว่า กระเป๋าก็ยังอยู่ เงินสดก็ตามมา?
“ก็มา แต่เราก็ไม่ได้ซีเรียสอะไร เพราะว่าตอนนี้อยู่ด้วยกันเขาก็ดูแลเราหมด เราจะกินอะไร เขาก็ดูแลเราหมด แม้กระทั่งไปสปาเขายังให้บัตรเครดิตไปรูด เขาบอกบี๋ๆ มาๆ เอาไปใช้ เราก็รีบรับเลย แต่เราไม่เคยขอนะ”

เห็นว่าแฟนรวยมาก?
“ไม่ๆ เขาเป็นคนทำงาน แล้วก็ธุรกิจเขาคนอาจจะมองว่ามันเป็นธุรกิจใหญ่ คือเขาทำโรงไฟฟ้า แต่ว่าเขาก็คือคนทำงานคนนึง แล้วก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไรเหมือนในข่าวขนาดนั้น คือปกติ”

คบกันมาเกือบ 13 ปี เห็นว่าต้องปรับตัวเยอะเลย?
“จริงๆ ตอนนี้ไม่ค่อยมีแล้วนะ ช่วงแรกๆ มันก็มีบ้าง ช่วง 2 ปีแรกจะเป็นอะไรที่สวยงาม พอเริ่มเข้าปีที่ 3 ตัวจริงก็จะเริ่มออกละ บางทีก็จะมีตีกันเรื่องเล็กๆ กลายเป็นเรื่องใหญ่ อย่าง บี๋ อยากกินอะไร เราก็แบบอยากกินอินเดีย เขาก็บอกไม่เอาๆ ไม่อยากกิน นึกในใจแล้วจะถามทำไม ถามเราแต่ละที พอสรุปก็ต้องกินแบบเขา พอถามบางทีเราบอกยังไงก็ได้ เขาก็บอกทำไมไม่ช่วยเขาคิดเลย”

มีเรื่องนอนด้วย?
“คือเขาจะชอบนอนกรน จริงๆ ตอนกรนมันอันตรายนะ บางทีเราก็แบบจะโอเคเปล่าวะ บางทีเราก็ปรึกษาเพื่อน เพราะบางคู่ก็เป็น ตอนเราปรึกษาหมอ เขาก็บอกว่ามันอันตราย แล้วมันต้องใส่เครื่องที่คล้ายๆ เอเลี่ยน เรามีความรู้สึกว่าจริงๆ มันไม่ดี บางทีเรานอนไม่หลับด้วย มันสนั่นหวั่นไหวจริงๆ เราต้องชิงนอนก่อนเลย เพราะว่าถ้าเราไม่ได้นอน แล้วมันมีเสียงกรน บางทีเราก็ไม่หลับเหมือนกัน ก็จะมีตีกันเรื่องนี้ เราอยากให้เขาไปซื้อเครื่องอันนี้มา เขาก็โมโหใหญ่เลย เขาบอกไม่ใส่หรอก จริงๆ ถ้าเขายอมนะ เพื่อนเราที่ใช้มันดีมากเลย”

คบกันมาเกือบ 13 ปี มีวางแผนอนาคตการแต่งงานไหม?
“จริงๆ ไม่ได้ซีเรียสอะไรขนาดนั้น เคยคิดแบบเมื่อ 6-7 ปีที่แล้ว แต่ตอนนี้เรามีความรู้สึกว่ามันไม่ได้เป็นอะไรที่ตอบโจทย์ว่าคนอยู่ด้วยกัน 2 คนแล้วแต่งงานแล้วทุกอย่างมันจบ เราคิดว่าคนสองคนมันจะอยู่ด้วยกันได้หรือเปล่า เข้ากันได้หรือเปล่า คลาวเดียคิดว่าพอเราผ่านการอยู่ด้วยกันมาประมาณ 7-8 ปี มันเริ่มจูนกัน มันเริ่มรู้แล้วว่าตอนนี้เขาหงุดหงิดอะไรตรงนี้อยู่ เราก็ตีเพลิน ตีเนียนไป คนเรามันมีอารมณ์ มันก็จะมีการหงุดหงิดใส่กันบ้าง ถ้าคนนึงหงุดหงิด แล้วอีกคนบอกทำไมมาหงุดหงิดใส่ฉัน มันก็จะกลายเป็นเรื่องที่ไม่จบไม่สิ้น แต่ละคนมีความคิดที่ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว แต่พอเรามาถึงตรงนี้แล้วเรารู้จักเขาแล้วว่าจริงๆ เขาเป็นคนนิสัยจิตใจดีมาก มีขี้หงุดหงิดบ้าง เรารู้สึกว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติ ทุกคนไม่ได้เพอร์เฟกต์ร้อยเปอร์เซ็นต์”

ฝั่งผู้ชายซีเรียสไหม ถ้าไม่แต่งงาน?
“เขาก็มีพูดๆ บ้าง แต่ก็เห็นเงียบๆ ไป แต่ก็มีคนที่แบบชอบพูดเยอะมากๆ คือคุณพ่อ คุณแม่แฟน เหมือนเขาอยากให้เราแต่งงาน เขาอยากมีหลาน อยากให้เรามีลูกมากกว่าเหมือนบิวต์ลูกชายตัวเอง แต่ก็ไม่กล้าพูดเยอะ”

แล้วเราวางแผนเรื่องการมีลูกไหม เห็นบอกว่าแอบไปฝากไข่มาแล้ว?
“จริงๆ ไม่ได้แอบหรอกนะ รู้สึกว่าเราโค้งสุดท้ายตอนนั้น 39 ปี มีหลายคนบอกว่า ถ้า 40 ปี ไข่มันจะดิ่งลง เราก็เลยไปฝากดีกว่า เราก็รู้สึกว่าตัวเองคิดถูกนะ ถ้าสมมติสักวันเราอยากจะมีขึ้นมา มันก็มีไข่ที่เราฟรีซไว้ ถ้าเรามีธรรมชาติไม่ได้ แต่ตอนนี้ยังไม่คิดภาพเรามีลูกเลยนะ ถ้าถามตัวเราเองก็ไม่ได้อยากจะมีขนาดนั้น”

ทำไมถึงไม่พร้อมมีลูก?
“เคยอยากมีแล้วด้วยความที่แก่แล้วมั้ง 40 ปีขึ้นไปแล้ว เราก็ไม่ได้อะไร แต่จริงๆ เรามีลูกนะ เป็นชิวาว่า คือเรารักหมามาก คือหายใจเข้า หายใจออกเป็นหมา รักเหมือนลูก คือมีพ่อ มีแม่ และมีลูกเป็นน้องหมา เราเลยรู้สึกว่าอาจจะมีน้องหมาด้วยมั้งก็เลยรู้สึกว่ามันไม่ได้ขาดอะไร เราก็รู้สึกว่าเรามีลูก ก็เหมือนมีครอบครัว พ่อ แม่ ลูก อยู่ ก็เลยยังไม่ได้อะไร แต่ถ้าวันนึงแฟนลุกขึ้นมาแล้วบอกว่าอยากมี เราก็คงจะมี”

หลายคนไม่ค่อยรู้เรื่องเราอาการป่วย หมอนรองกระดูก?
“ใช่ๆ อันนี้หนักมากเลย เราเป็นมาสักพักแล้วนะ ประมาณ 8-9 ปี ตอนอายุประมาณ 33-34 ปี ช่วงนั้นเราบินเยอะด้วยมั้ง แล้วนั่งเครื่องมันนาน เรามีความรู้สึกว่าทำไมเราปวดมากเลย ตอนแรกคิดว่าเดียวก็หาย ก็เริ่มปวดมาก ก็ไปหาหมอ หมอเอ็กซเรย์ดู หมอบอกว่าหมอนรองกระดูกเราเสื่อม L4-L5 ข้างล่างที่สุดมันเสื่อม เรามีความรู้สึกว่าเมื่อก่อนเราสูงเกือบเท่าแฟน แต่ทำไมเราเหมือนตัวเล็กลง ปรากฏไปทำพาสปอร์ตใหม่เตี้ยลงจริงๆ ลงมา 3 เซนฯ เลยนะ จาก 170 เหลือ 167 ลงมาเยอะมาก”

คุณหมอบอกไหมว่ามันอาจจะเป็นเพราะว่าสมัยก่อนตอนเด็กๆ เคยมีอุบัติเหตุ?
“ก็เป็นไปได้ เราเรียนเต้นด้วย แล้วตอนเด็กๆ เลย เคยก้นกบหัก เหมือนเราคุยโทรศัพท์ แล้วแม่ไม่รู้ว่าเราจะนั่ง เอาเก้าอี้ออก เราก็นั่งลงไป แล้วมีตกม้า ตอนถ่ายละคร แต่มันก็ยังไม่ได้เป็นอะไรมาก พอเริ่มเป็นตอนนั้นก็เป็นโรคนี้แล้ว แล้วมาเป็นหนักมากๆ เลย แปลกมากชอบมาเป็นหนักก่อนเปิดกล้อง เคยมีช่วงก่อนรับกระเช้าสีดา เราเล่นทะเลแปร ก่อนหน้านั้นก็เป็นหนักเหมือนกัน ตอนนั้นเราไม่มีแรงเดิน มันเป็นตรงหลังแล้วลงขา”

เวลาอาการกำเริบคือเดินไม่ได้เลย?
“คือมันไม่มีแรง มันทับเส้นประสาท มันชาด้วย ปวดมาก ต้องไปแอดมิท ต้องฉีดยาเข้าเส้น แล้วก็ต้องทำกายภาพ แล้วต้องกินยาเยอะมากๆ เลย อันนั้นคือก่อนทะเลแปร พอหลังจากนั้นก็ดีขึ้น แล้วมากออกกำลังกายจนติด ตอนนั้นหุ่นดี หุ่นเฟิร์ม ออกเสร็จปุ๊บก็มาเป็นอีกแล้ว เหมือนไปทำท่าผิดแหละ แล้วกลับมาเป็น คราวนี้เป็นที่คอด้วย แล้วเป็นข้างบนมันจะลงแขน แล้วก็ชาขึ้นหัว ตอนแรกเราก็คิดว่าเราเป็นหมอนรองกระดูก แล้วชาแขน ก็ธรรมดา สักพักมันขึ้นปาก สักพักมันไม่มีแรงพูด แล้วมันไปที่ปลายประสาท แล้วมันเป็นหนักถึงขั้นที่แบบเราไม่มีแรงพูดเลย อันนี้ก่อนที่จะเริ่มกระเช้าสีดา ก็ต้องเข้าโรงพยาบาล หมอคิดว่าเป็นสโตรก คือต้องเข้าอุโมงค์แล้วฉีดสีเข้าไป เพื่อที่จะเช็กให้ชัวร์ว่าเรามีเส้นเลือดอะไรแตกหรือเปล่า สรุปไม่มี ถือว่าดี ก็เข้าโรงพยาบาลเป็น 10 วันเลย คราวนี้เข้าหนัก พูดไม่ได้ แล้วก็เครียด เพราะว่าจะถ่ายละคร ตอนนั้นก็เลยหยุดออกกำลังกายเลย แล้วเป็นสาเหตุในการน้ำหนักขึ้น แต่ตอนนี้ก็ดีขึ้นแล้ว วิธีการรักษาคือเราจะต้องยืดเยอะๆ”

เห็นบอกว่าอยู่โรงพยาบาล ทานยาเยอะมาก?
“เยอะมากเป็นกำๆ เครียดจนเพื่อนมาเยี่ยมต้องเอาหนังสือสวดมนต์มาให้ เราก็อ่านแล้วรู้สึกสบายใจขึ้น แล้วสักพักมันก็ดีขึ้น เราห่วงงานด้วยไง เราจะหายทันไหม แล้วช่วงแรกๆ ที่ถ่ายยังคุยกับพี่เอ๋ ผู้กำกับอยู่เลยว่าเพิ่งหาย เป็นโรคนี้ ก่อนจะเล่นฉากแรกๆ เลย เหมือนพูด ร , ล ไม่ชัด แล้วเราเป็นคนชอบพูดภาษาชัดเจน เราต้องแบบมานั่งคิดว่าจะพูดได้ไหม แต่ตอนหลังก็ดีขึ้น”

กลัวอะไรมากที่สุด?
“พอเริ่มมาขนาดนี้เราไม่ขออะไรมากเลย เราอยากมีสุขภาพที่ดี เรื่องสุขภาพมันเป็นเรื่องสำคัญ มันซื้อกันไม่ได้ คือตอนนี้ใช้ชีวิตแบบ 2 ทุ่มครึ่งอาบน้ำแล้วจ้า 4 ทุ่มพยายามนอนแล้ว ตื่นเช้า กินอาหารที่มีประโยชน์ พยายามไม่กินของหวาน”

ตอนนั้นคุณหมอก็ให้ออปชั่นนึงในการผ่าตัดใส่เหล็กเข้าไปด้วย?
“ถ้าเป็นหนักมาก มันเป็นออปชั่นนึงอยู่แล้วถ้าสมมติเป็นหมอนรองกระดูก คือการผ่าตัด คือแทนที่จะเป็นกระดูกของเราเขาจะใส่เหล็กไว้ แต่เรารู้สึกว่ามันเป็นเรื่องใหญ่มากเลย คือโรคนี้มีการรักษาทางเลือกเยอะมากเหมือนกัน ก็คือไปกายภาพ ไปหาหมอจัดกระดูก หรือไปหาหมอยืด คือเราก็ไปมาเยอะนะ บางทีเขาก็จะยืดหลังเรา หรือทำท่ายืดเป็นประจำ มันก็จะดีขึ้น การที่เสื่อมมันไม่หายเสื่อมหรอก แต่ว่ามันจะไม่เคลื่อนไปทับเส้นประสาท เราก็จะใช้ชีวิตปกติได้ แต่เราก็ต้องดูร่างตัวเองด้วยนะ ไม่ใช่เราเป็นอย่างนี้แล้วเราจะไปออกกำลังกายแบบหักโหมก็ไม่ได้ มันจะมีท่านอนออกกำลังกาย เกร็งตัวอะไรแบบนี้”

ต้องระวังอะไรเป็นพิเศษ?
“รองเท้าอย่าสูงเกินไปนั่งให้ดี ท่าที่เราใช้ชีวิต อย่าไปเผลอเล่นโทรศัพท์แล้วก้ม แต่ด้วยความที่เราเป็นอย่างนี้มาเยอะ เพราะฉะนั้นเราระวังอยู่แล้ว”

เห็นเขาหน้าฝรั่งแบบนี้แต่เป็นคนเห็นผีนะ?
“ตั้งแต่เด็กๆ ไม่รู้หรอก จำไม่ได้ คือเด็กมากเลย แล้วคุณแม่มาเล่าให้ฟังตอนอายุ 13 ปี คือเรากลัวผีมาก แม่ก็ไม่กล้าเล่าให้ฟัง ตอนประมาณ 3-4 ขวบ ย้ายไปอยู่ที่บ้านคุณยาย เพราะที่บ้านยังทำไม่เสร็จ มาอยู่บ้านยายได้สัก 1-2 วัน อยู่ดีๆ ตื่นตอน 4 ทุ่มถึงเที่ยงคืน มาเล่นกับใครก็ไม่รู้ ซึ่งไม่มีตัวตน ซึ่งตอนเด็กๆ เราไม่รู้จักคำว่าผี เวลากลัวอะไรก็จะพูดคำว่าซ่อนกลิ่น เหมือนตอนนั้นมันมีละครหรืออะไรสักอย่างที่น่ากลัว เราก็แบบซ่อนกลิ่นๆ แม่ก็บอกพี่เลี้ยงใครไปสอนคำว่าผี ทำไมลูกรู้จักคำดี ก็ไม่มีใครสอน แล้วแม่ก็เริ่มเครียดมากเลย พอกลับมาถึงบ้านทุกวันจะหลับไปแล้ว เป๊ะๆ เลยนะ 4 ทุ่มถึงเที่ยงคืนจะตื่นมาเล่นขายขนม คุณแม่เขาหลอนมาก เขาก็ไม่รู้จะทำยังไงก็ปรึกษาญาติ แล้วไปปรึกษาพระ แล้วมาที่บ้านเหมือนมาทำบุญ ทำพิธีให้ แล้วก็ทางพระก็บอกว่าเจ้าที่เป็นเด็ก แล้วพอฟังแม่ก็รู้สึกขนลุก แล้วเราก็ชอบได้กลิ่น เวลานอน เซ้นส์”

ตอนโตมาก็เคยเจอ?
“ไปเจอที่พม่า ไปพักที่บ้านแฟน เจอครั้งแรกเหมือนนอนอยู่แล้วเราขยับไม่ได้ แล้วมีคนมานั่งดู แต่อันนี้เรารู้สึกว่าเขามาดี ใส่ชุดขาว เห็นหน้าไม่ชัด เหมือนมีหมวก ก็เล่าให้แม่ฟัง แม่บอกไหว้เจ้าที่หรือยัง ก็ไปไหว้เจ้าที่ก็จะเห็นองค์เล็กๆ อยู่ข้างใน แฟนเขาชอบหาว่าเพี้ยน บี๋อย่าหลอนได้เปล่า คือเขาไม่เก็ตไง แล้วมีอยู่ครั้งนึงนอนอยู่เหมือนมีคนมากระซิบเป็นภาษาเราก็ไม่ค่อยได้ศัพท์ เราก็ขยับตัวไม่ได้ ก็สวดมนต์ แผ่เมตตา พอสักพักเหมือนฟังเขารู้เรื่อง เขาบอกว่าเดี๋ยวฉันจะจับเธอให้ร้องสะบั้น พอสิ้นสุดคำพูด เราก็หลับไป พอออกจากบ้านไปแล้วแฟนบอกฉันเจอ หลังจากเธอเจอ 5 นาที เหมือนมีใครมาตบเท้า ทั้งๆ ที่ไม่มีใครอยู่ แล้วหลังจากนั้นเขาก็ไม่ว่าเราอีกเลย”

ช่วงวัยรุ่นมันเกิดอะไรขึ้น ได้ยินว่าถ่ายละครแล้วไปกรีดแขนตัวเอง เกือบเสียชีวิตเลย?
“เป็นฉากฆ่าตัวตาย เป็นฉากต้องกรีดมือ เหมือนตอนถ่ายเขาจะใช้ของปลอม มีเลือดมีอะไรตลอด อันนี้เป็นความผิดเราเอง เหมือนเขาจะอินเสิร์ชแค่เลื่อนขึ้นมา แต่เขาใช้ของจริง เหมือนเราจำไม่ได้ แล้วเราอิน แล้วเขาบอกว่าจะอินเสิร์ช แล้วเขาเปลี่ยนแสง เปลี่ยนอะไรไป 20 นาที แล้วเราก็ลืม เป็นคนที่แบบว่าเป็นคนที่แสดงอะไรแล้วอิน เราก็ปาดไปอย่างแรง ตอนแรกมันไม่เจ็บนะ แต่ทุกคนคือช็อกมาก แล้วเราก็จับแต่ไม่ได้แรงนะ แต่มันปลิ้นออกมา นี่รอยแผลเป็น เย็บไป 33 เข็ม คือมันเห็นกระดูก หมอบอกกรีดสวยมาก เราก็โชคดีและไม่แพนิคจนเกินไป หมอบอกว่าถ้าขึ้นมาอีกนิดเดียวมันจะโดนเส้นประสาทใหญ่ แล้วจะทำให้มือเราไม่ฟังก์ชั่น คือเป็นความผิดของเราเองนะ คือเราเองนี่แหละที่อินเกินไป จริงๆ มันไม่ได้ใช้ภาพตรงนั้น เรื่องนี้ซวยมากเลย หยุดถ่ายไปสักแป๊บมาโดนต่อเสือต่อยอีก เป็นไข้อีก”

















กำลังโหลดความคิดเห็น