xs
xsm
sm
md
lg

(ชมคลิป)“ภูมิ The Star Idol” เคยคิดสั้น! เพราะอยู่ไปก็ไม่มีความสุข รับหลงแสงสี ชีวิตเสเพล แต่ดีขึ้นเพราะคำของ “แม่”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



แม้จะไม่ได้เป็นแชมป์ The Star Idol แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า “ภูมิ พงศ์รชตะ ไชยศิวามงคล” หมายเลข 4 หนุ่มหน้าไทยอายุ 19 ปีจากกาฬสินธุ์ ก็คือหนึ่งใน “ตัวเก็ง” ของปีนี้ เพราะเขาโดดเด่นมาตั้งแต่รอบออดิชั่น และคะแนนก็นำในแต่ละโชว์ จึงไม่แปลกใจว่าทำไมเขาถึงได้มายืนในรอบ 2 คนสุดท้าย

แต่ในเมื่อไม่ได้แชมป์ แต่เจ้าตัวก็ยืนยันว่าเขาทำตามฝันที่ตัวเองตั้งใจเอาไว้ได้สำเร็จ ซึ่งชีวิตของ “ภูมิ” ไม่ได้สวยหรูเหมือนคนอื่น แต่ต้องสู้เพื่อมีชีวิตที่ดีกว่า จนบางทีก็ออกนอกลู่นอกทางจนเข้าขั้น “เสเพล” เกือบคิดสั้นฆ่าตัวตาย เพราะชีวิตอยู่ไปก็ไม่มีความสุข แต่สิ่งหนึ่งที่ดึงสติให้เขากลับมาเป็น “ภูมิ” ในวันนี้ได้ นอกจากตนเองแล้ว แต่ยังมีคำพูดของแม่ที่เป็นห่วงอยู่ที่บ้าน

“ใช่ครับ พี่นนท์ (ธนนท์ จำเริญ) เคยบอกไว้ ว่าผมเป็นร่างที่ 2 ของพี่นนท์ ก็ดีใจนะครับที่พี่นนท์พูดอย่างนั้น เพราะผมไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งจะมีศิลปินที่เราคอยดูเขาอยู่ตลอด มาพูดกับเราแบบนั้น ซึ่งด้วยหน้าตามันก็มีความคล้ายกันจริงๆ เพราะจริงๆ แล้วผมก็เป็นแบบนี้อยู่แล้วนะครับ แต่แค่ด้วยลุคที่เปลี่ยนไป แต่ผมก็รู้สึกว่าตัวเองหล่อขึ้นด้วยครับ (ยิ้ม) ก็คือมันจะมีช่วงที่เข้าไป 8 คน จากปกติเป็นคนผมตรง ก็ลองไปดัดให้หยิกดู ก็รู้สึกว่าเอาไม่อยู่ (หัวเราะ) ก็เลยไปยืดกลับให้เป็นผมตรงเหมือนเดิม ก็ดีครับเป็นอะไรใหม่ๆ ที่ได้ลองทำดู แล้วก็รู้สึกว่าพัฒนาการของตัวเองทั้งเรื่องการร้อง การเต้น การเข้าสังคม เข้าหาผู้คน พูดคุยอะไรก็ดีขึ้น เพราะปกติผมชอบเข้าหาคนอื่น แต่ไม่ได้เป็นคนที่พูดเก่งมาก จะชอบฟังมากกว่า มีอะไรสำคัญๆ ก็ค่อยพูดออกไปทีเดียว การเป็นว่าทำให้เรากล้าที่จะพูดมากขึ้น ทำให้เรามั่นใจในตัวเองมากขึ้นด้วย

และสิ่งที่อยากทำในวงการบันเทิง หลักๆ เลยก็ร้องเพลงนี่แหละครับ ได้เป็นศิลปิน ได้ขึ้นคอนเสิร์ตใหญ่ๆ มิวสิกเฟสติวัลต่างๆ ได้ทัวร์ทั่วประเทศไทย นี่คือสิ่งที่ฝันไว้สูงสุด แล้วสิ่งที่รองลงมาคือผมอยากเป็นนักพากย์ครับ พากย์หนัง พากย์การ์ตูน ผมดูโฆษณาในทีวี แล้วผมชอบพากย์ตาม อยากลองไปเป็น Voice Over ดู (ทำไมถึงอยากเป็นนักพากย์?) เพราะมันไม่เห็นหน้ามั้งครับ (แต่วันนี้เราหล่อแล้วนะ?) ผมคิดว่าผมน่าจะทำได้ ผมก็เลยอยากที่จะลองทำดู แต่ที่สำคัญเลย คืออยากเป็นนักร้อง อยากเป็นศิลปินครับ”

แม้จะไม่ได้เป็น “แชมป์” อย่างที่ตัวเองตั้งเป้าเอาไว้ตั้งแต่แรก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า “ภูมิ” ก็คือ “ตัวเก็ง” คนนึง ที่นับจากวันนี้ชีวิตเขาได้เปลี่ยนไป ตั้งแต่เขาได้ยืนอยู่บนเวที The Star Idol

“ชีวิตมันเปลี่ยนไปครับ มีคนรู้จักเรามากขึ้น แล้วก็มีคนเข้าหาเรามากขึ้น มีคนให้ความสนใจเรามากขึ้น จากเมื่อก่อนที่ผมเคยไปประกวดร้องเพลงรายการอื่นมาก่อน ก็มีคนรู้จักเราประมาณหนึ่งอยู่แล้ว แล้วภูมิก็ทำช่องยูทิวบ์ด้วย ก็มีคนติดตามเราจากตรงนั้นบ้าง ก็ไม่ได้เยอะขนาดนี้ แต่วันนี้มันเปลี่ยนไปเลย เรากลายเป็นบุคคลหนึ่งที่ทุกคนกำลังมองเราอยู่ เรามีคำว่าไอดอลอยู่บนหน้าผากของเรา เราต้องเป็นตัวอย่างที่ดี คือผมเคยคิดที่จะไม่เรียน แล้วหันมาทำงานดีกว่า เพราะมันเหนื่อยมั้งครับ เหมือนกับว่าเรา อยากโฟกัสอะไรอย่างเดียว แต่ผมกลับมาคิดดูอีกที เราอยู่ตรงนี้ เราเป็นไอดอล เราต้องเป็นตัวอย่างที่ดี เราต้องทำให้ทุกคนเห็นว่าเราทำงานไปด้วย เรียนไปด้วยได้ เราทำให้มันสำเร็จทั้งสองทางได้ ตอนนี้ก็เลยไม่คิดที่จะออกจากเรียนแล้ว แต่แค่พักไว้ก่อน แล้วปีหน้าคงกลับเข้าไปใหม่

ผมอยากจะขอบคุณตัวเอง ที่ตั้งแต่วันแรกที่มีความฝัน แล้วไม่เคยทิ้งมันสักวัน ถึงจะมีวันที่มันไม่ไหวแล้วจริงๆ ไม่อยากจะทำมันแล้วจริงๆ แต่มันก็จะมีอะไรที่ทำให้ภูมิกลับมาเป็นแบบเดิม เป็นคนเดิมได้ตลอด ก็คือตัวเองนี่แหละ ที่ดึงตัวเองกลับมา มันอาจจะเหนื่อยบ้าง ท้อบ้าง แต่สุดท้ายความพยายาม มันทำให้รู้สึกว่าความสำเร็จมันสนุก และสิ่งนึงที่ผมไม่เคยทิ้งและยังทำให้มีกำลังใจในการทำต่อไปคือครอบครัว ผมคิดว่าอยากที่จะทำตรงนี้ตอบแทนแม่ เพราะว่าภูมิไม่ได้เกิดมาในครอบครัวที่อยู่ในฐานะปานกลาง แต่ค่อนข้างที่จะต่ำกว่านั้น ภูมิอยากที่จะพลิกฐานะของครอบครัวตัวเอง ให้มันขึ้นมาดีให้ได้ อยากที่จะหาเงิน คือแม่ผมเป็นครู ถ้าเกิดภูมิสำเร็จเมื่อไหร่ จุดที่สำเร็จของภูมิก็คือ จุดที่ภูมิเลี้ยงแม่ได้แล้ว ภูมิก็ไม่อยากให้แม่ทำงานแล้ว อยากให้แม่ลาออกอยู่บ้านสบายๆ อยากที่จะส่งน้องเรียนให้จบ ไม่ต้องให้แม่เป็นคนหาเงิน อยากเป็นเสาหลักของบ้าน คือภูมิอยู่กับแม่อยู่กับน้อง ป๊าผมเสียไปตอนผมอยู่ ป.6 แล้วแม่ก็ดูแลคนเดียวมาตลอด ซึ่งมีลูก 3 คน ภูมิก็เลยอยากที่จะเป็นเสาหลักของครอบครัว ดูแลครอบครัวครับ”

จาก “เด็กเกเร” ที่ไม่คำว่า “ไอดอล” อยู่ในหัว ไม่สนใจ “ครอบครัว” ใช้ชีวิตเสเพลไปวันๆ แต่วันหนึ่งชีวิตเปลี่ยนไป หลังจาก “เคยคิดสั้น”

“วันนี้แม่ผมแฮปปี้มากๆ ครับ ดูแม่มีความสุขมากขึ้น ไม่เคยเห็นแม่ยิ้มอย่างนี้มานานมาก จากที่เมื่อก่อนผมก็เป็นเด็กเกเร ผมไม่ได้มีคำว่าไอดอลในหัวเลย ก่อนที่จะมาที่นี่ ถ้าไม่ได้อยู่ตรงนี้ (ก็คงจะเสเพลไปเลย?) ใช่ครับ อาจจะเป็นอะไรอย่างนั้น แบบเกเร ไม่สนใจครอบครัว ใช้ชีวิตวัยรุ่นแบบติดเพื่อนครับ

เพราะมีจุดที่ภูมิเคยคิดจะฆ่าตัวตาย แล้วก็ทำมันแล้ว แต่ผมไม่ตาย แล้วคนที่อยู่ข้างๆ ภูมิ วันที่ภูมิกลับมามีสติอีกวันหนึ่งก็คือแม่ครับ ภูมิก็เลยอยากที่จะตอบแทน คิดได้แล้ว ว่าเพื่อนชวนออกไปเที่ยว ออกไปโน่นไปนี่ มีเพื่อนเป็น 10 ชวนออกไปเที่ยว แต่แม่คนเดียวที่รอเรากลับบ้าน ภูมิก็เลยคิดว่าไม่มีอะไรสำคัญเท่าครอบครัว ถึงวันที่เราจะเข้าโรงพยาบาลจริงๆ ที่เราจะเป็นจะตายจริงๆ คนที่อยู่ข้างเราก็คือคนในครอบครัวเรา ซึ่งภูมิไม่ได้ให้คำสัญญาอะไรกับตัวเอง แต่ภูมิแค่ตั้งมั่น ตั้งใจกับตัวเองมากกว่า ว่าจะทำให้ได้ครับ

ตอนที่คิดสั้น อายุประมาณ 16 ครับ ผมสุดเหวี่ยงตอนอายุ 16 นะ ซึ่งผมมองว่ามันโง่เกินไป มันเป็นความคิดที่โง่ มันไม่มีเหตุผล มันไร้สาระมาก ที่คิดจะทำอะไรแบบนั้น ตอนนั้นมันอาจจะมองว่า ชีวิตไม่มีความสุข แต่ตอนนี้มองกลับไปแล้วแบบว่า ความสุขของชีวิตคือการได้ใช้ชีวิต ทุกวันมันไม่ได้มีสีเดียวให้เราเจอ ซึ่งในแต่ละวันมีหลายอรรถรสมาก ที่เราจะได้เจอ มันเป็นสีสันของชีวิต เราต้องสนุกไปกับมัน

บวกกับตอนนั้นมีภาวะซึมเศร้าด้วย มันหลายๆ อย่าง ผมเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ คนเดียว เจอสังคมใหม่ เจอสังคมรุ่นพี่ที่โซตัส หลายๆ อย่างรวมกัน กลายเป็นว่าเราคิด คิดไม่จบไม่สิ้น คิดว่ามันจะจบแล้ว แต่มันก็ไม่จบ วนๆ อยู่ในหัว ปัญหาเดิมๆ ก็เลยอยากจบๆ ไปซะ

ซึ่งผมตัดสินใจกินยาไป 8 เม็ด ตอนนั้นแกะยามาใส่มือ แล้วก็พูดกับตัวเอง ถ้าเกิดวันนี้กูไม่ตาย กูก็ได้เมา สรุปก็กินครับ แล้วหลังจากนั้นก็เมา แล้วก็รู้สึกว่ามันไม่ถูกกับสิ่งที่ทำลงไป พอคืนนั้นแม่ผมรู้ แม่ก็จองตั๋วรถมาที่กรุงเทพฯ เลย จากนั้นแม่ก็มาอยู่กับเราที่กรุงเทพฯ และหลังจากนั้นก็มีไปใช้ชีวิตกับเพื่อนบ้าง คือภูมิเป็นคนติดเพื่อน แต่ในความรู้สึกนั้น คือมันเริ่มคิดได้มากขึ้นเรื่อยๆ พอเราคิดได้จริงๆ อยู่กับแม่ดีกว่า (ณ วันนั้นที่เราคิดสั้น ตื่นขึ้นมาเจอหน้าแม่ ท่านบอกอะไรเรา?) แม่แค่บอกว่าไม่รักตัวเองเหรอ ทำไมถึงทำแบบนี้”

แม้โอกาสจะยังไม่มาถึง แต่ “ภูมิ” ก็ไม่เคยเลิกฝัน พัฒนาตัวเองในทุกๆ วันจนกว่าเวลานั้นจะมาถึง และวันนี้ “โอกาส” ที่เขาฝันไว้ มันได้มันถึงซะที!

“ภูมิพร้อมรับทุกโอกาสอยู่แล้ว เมื่อที่โอกาสเข้ามาในชีวิตภูมิ ภูมิก็คว้าตลอด ภูมิเคยเป็นนักร้องกลางคืน เล่นดูโอ้แล้วเขาให้ค่าตัว 600 บาท หาร 2 คน ได้ 300 บาท ปกติมันจะได้เรตขั้นต่ำ 600 ต่อคน แต่อันนี้เราได้ 300 คือผมเล่นฟรีก็ได้ แต่ผมได้ออกไปเล่นดนตรี ได้ออกไปร้องเพลง แค่ให้คนได้เห็นผม ว่าผมร้องเพลง ผมมีความสุขแล้ว ผมก็ทำมันมาเรื่อยๆ ผมบอกกับตัวเองว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ก็จะไม่หยุดครับ ไม่ถอยครับ ผมพร้อมชนเสมอครับ และตอนว่าง ภูมิก็จะซ้อมร้อง ออกกำลังกาย คือภูมิคิดว่าสำหรับการซ้อมของภูมิ ภูมิไม่ได้ซ้อมหนัก บางคนซ้อมวันละ 8-12 ชั่วโมง ของภูมิซ้อมวันละ 2-3 ชั่วโมง ที่เหลือก็คือออกกำลังกายกับพักผ่อน ทำให้ตัวเองรู้สบายที่สุด

ผมไม่เคยรอโอกาส คืออย่างผมมีเพื่อนที่เป็นศิลปินที่แกรมมี่ แล้วพ่อเพื่อนเขาก็จะเป็นคนหางานให้ เขาก็จะแบบว่าภูมิมาตรงนี้แทนหน่อยนะ ผมไปหมดเลย ถึงไม่ว่างก็อยากจะไปมากๆ ถึงมันไม่ใช่งานที่ได้ตังค์เยอะ มันเป็นงานฟรี ภูมิก็อยากไป มันเป็นความสุขของภูมิ คือภูมิรู้สึกว่า อยู่ข้างบนเวที แล้วแค่มีคนฟังเรา มีคนรู้สึกไปกับเรา เขามีความสุข เราก็มีความสุข”

ขอบคุณตัวเองที่ยังอยู่ และ “ภูมิ” คนเดิมได้ตายจากไปตั้งแต่วันที่ “คิดสั้น”

“ขอบคุณตัวเอง ขอบคุณพระเจ้าครับ ก็นั่นแหละ สุดท้ายมันอยู่ที่การกระทำของภูมิด้วย ถ้าภูมิจะทำให้ตัวเองตายจริงๆ มันคงตายไปแล้ว ซึ่งวันนั้นยาที่ผมกินไป มันคงฆ่าตัวเองคนเก่าตายไปแล้ว ผมก็เลยรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนใหม่แล้ว ผมไม่คิดจะทำอะไรแบบนั้น แล้วผมก็อยากจะบอกทุกคน ว่าใครที่กำลังคิดไม่ดีรู้สึกแย่กับตัวเอง อยากให้นึกถึงเรื่องดีๆ ครับ เรื่องดีๆ ที่เคยเกิดขึ้นในชีวิต แล้วมองอนาคตข้างหน้า ว่าเรื่องนี้สุดท้ายมันก็ผ่านไป มันไม่ได้เจอกับเรื่องนี้อย่างเดียวทุกวันๆ มันจะมีเรื่องดีๆ เข้ามาแน่นอน ไม่ใช่พรุ่งนี้ก็ต้องมีสักวันแน่นอน ถ้าไม่คิดจะมองมัน ก็ไม่มีทางมีความสุขได้ครับ ถ้าอันนี้จะเอาไปให้คนอื่นได้ฟังอะนะครับ ภูมิบอกเลยว่ามันไม่ใช่ความคิดที่ดีนะ มันเป็นความคิดที่คิดน้อยมาก แค่เสี้ยวเดียว มันจะไม่ได้มีความสุขอีกตลอดไป เราจะไปไหนแล้วก็ไม่รู้ คือมีชีวิตดีกว่า ใช้ชีวิตให้สนุกดีกว่า สนุกไปกับมันไม่ว่าจะเกิดเรื่องดีหรือร้าย

ผมเข้าใจชีวิตมากขึ้น แต่ผมไม่ได้คิดว่าตัวเองโตพอ ที่จะเข้าใจอะไรได้ทุกอย่าง แต่ผมก็คิดว่าตัวเองเข้าใจชีวิตตัวเอง เข้าใจคนอื่นมากขึ้นครับ ว่าแต่ละคนไม่เหมือนกัน คนครอบครัวเดียวกัน พี่น้องกัน ก็ยังมีความคิดไม่เหมือนกันเลย แต่ละคนมีทัศนคติ มีความคิดที่ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว ภูมิก็เลยไม่ได้เอาอะไรมาแบ่งแยก ว่าใครจะเป็นยังไง แค่แต่ละคนชีวิตไม่เหมือนกัน การถูกเลี้ยงดู การโตมาในสภาพแวดล้อมที่เป็นอยู่ไม่เหมือนกัน ภูมิก็ไม่ได้เกิดมาในครอบครัวที่ดีพร้อม แต่จะเรียกว่าเป็นเด็ก Wanna be ก็ได้ครับ อยากที่จะเป็น คือภูมิเข้ากรุงเทพฯมา เพราะอยากมาอยู่ใกล้แสงสีครับ อยากเข้ามาอยู่ใกล้ความฝันของตัวเองให้ได้มากที่สุด อยู่กาฬสินธุ์มันเมืองเล็ก ภูมิอยากที่จะออกไปเล่นดนตรีกลางคืน มันก็มีนักดนตรีขาประจำอยู่แล้ว เราจะไปหาโอกาสมันก็ค่อนข้างยาก ซึ่งมาในกรุงเทพฯ มันก็มีหลายตัวเลือกให้เราได้ไปลองออดิชั่น ภูมิก็ไปออดิชั่นหลายๆ ร้าน ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ส่วนมากจะไม่ได้(ยิ้ม) และที่ได้ เขาก็ไม่ได้จ้างเรานานขนาดนั้น ผมก็ยังขวนขวายอยู่ตลอด ถ้าเกิดสมมติไม่ได้อยู่ตรงนี้ ภูมิก็ไม่เลิกเล่นดนตรีครับ ก็ยังจับไมค์ร้องเพลงอยู่เหมือนเดิมแน่นอน”















กำลังโหลดความคิดเห็น