หล่อครบเครื่องทั้งความสามารถและเครื่องหน้า จะเป็นนักร้องก็ได้ หรือจะเป็นนักแสดงก็ดี สำหรับ “บูม สหรัฐ เทียมปาน” หนุ่มน้อยวัย 17 ปี จากโรงเรียนหอวัง ที่หลังจากตัดสินใจเข้าประกวดในวันนั้น จนวันนี้สามารถเอาชนะใจคนดูทางบ้านและกรรมการไปได้ จนคว้าแชมป์ The Star Idol เป็นคนแรกของประเทศไทยได้สำเร็จ
เส้นทางของหนุ่มน้อยวัย 17 ปีคนนี้ ไม่ได้สวยหรูและโรยด้วยกลีบกุหลาบ เขาเริ่มเรียนร้องเพลงมาตั้งแต่อายุ 4 ขวบ ด้วยเหตุผลเพราะว่าแม่ซื้อนมผง และมี Voucher ส่วนลดเรียนร้องเพลงแถมมาให้ จากนั้นชีวิตเขาก็เปลี่ยนจากเด็กที่ซุกซนทั่วไป ก็กลายมาเป็นเด็กกิจกรรม รักในการแสดง ไม่ว่าจะดนตรี เรียนร้องเพลง จนเคยได้ร่วมงานกับซูเปอร์สตาร์ชื่อดังอย่าง “เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์” มาแล้วบนเวทีคอนเสิร์ต
“ผมเริ่มร้องเพลงตอน 4 ขวบครึ่ง และมาจับกีตาร์ตอน ป.6 เพราะตอน ป.5 มีวงดนตรี ก็เลยไปขอแม่ซื้อกีตาร์โปร่ง (คิดว่าการเล่นดนตรีเพื่อใช้จีบสาวไหม?) เคยนะครับ แต่ไม่ได้ผลนะครับ (หัวเราะ) ตอนนั้นที่ผมเล่นกีตาร์ตอน ม.1 ก็แต่งเพลงให้ผู้หญิง เนื้อเพลงจะประมาณว่าผมจีบพี่ ม.2 ไม่ติดครับ (หัวเราะ) เป็นเพลงอกหักเพลงแรก เพลงที่ 2 คือเพลงเหงา เลยแต่งเพลงเกี่ยวกับความเหงา ส่วนเพลงที่ 3 จีบเขาไม่ติด ก็แต่งเพลงอกหักอีกครับ พอมาเพลงที่ 4 ก็ใช้เป็นเพลงจีบสาว เขาไม่รู้ว่าผมจีบเขา แต่ผมก็ส่งไปให้เขานะครับ และก็ใส่ชื่อเขาเข้าไป เป็นแนวเพลงแบบอินดี้ (ร้องเพลงโชว์)
คือทีแรกแม่ผม เขาซื้อนมผง ตอนนั้น 4 ขวบครึ่ง แล้วในนมผงมันมี Gift Voucher ส่วนลดโรงเรียนร้องเพลง 500 บาท ทีนี้แม่ก็เลยถามว่าบูมอยากเป็นนักร้องไหม แต่ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่แม่บอกว่าถ้าเป็นแล้ว คนรู้จักเยอะ รายได้ดีด้วย ผมก็เลยตอบตกลง ก็เลยลองไปเรียนดูก็รู้สึกว่ามันสนุกดีครับ ผมก็เลยลองเรียนไปเรื่อยๆ
ระหว่างเรียนก็ได้ของเล่น 1 อาทิตย์ ได้ 1 ชิ้นก็เลยชอบ แต่มันทำให้เรารู้ว่าเราอยากเป็นนักร้องจริงๆ ก็ตอนที่ได้ไปขึ้นคอนเสิร์ตของพี่เบิร์ด ตอนนั้นอยู่ ป.3 ครับ ได้ร้องเพลง ‘อยู่คนเดียว’ กับเพลง Too Much So Much Very Much จะมีเด็กประมาณ 10 คนได้ขึ้นไปบนเวที แล้วก็มีท่อนร้องของตัวเองครับ ก็ไปเต้นกับพี่เบิร์ด ซึ่งการที่เราได้ไปยืนอยู่ตรงนั้น ก็เพราะโรงเรียนที่เราได้ไปเรียนจาก Voucher นั่นแหละครับที่ส่งผมไป ซึ่งต้องขอบคุณแม่มากๆ ที่หยิบมาถูกยี่ห้อมากๆ สปอนเซอร์ต้องเข้าแล้วแหละ(หัวเราะ) เดี๋ยวผมไปเป็นพรีเซนเตอร์ให้เลย
ผมดีใจมากๆ ที่ได้เจอพี่เบิร์ด เขาเป็นซูเปอร์สตาร์ ผมเจอเขาครั้งแรกในลิฟต์ที่ตึกแกรมมี่ ตอนนั้นต้องมาซ้อมก็รู้สึก โอ้ว..ดูเปล่งประกายมากๆ และพอเราได้ไปยืนบนเวทีกับพี่เขา ผมรู้สึกชอบ รู้สึกว่าเวทีมันใหญ่มาก ตอนนั้นไปเล่นที่เมืองทอง คนดูเป็นหมื่น แล้วแต่ละคนก็จะมีป้ายไฟ มาเชียร์มันดูยิ่งใหญ่มาก ทุกคนรอฟังตอนอยู่บนเวทีทั้งเสียงเพลงเสียงกรี๊ด มันเป็นบรรยากาศที่หายากในชีวิต ซึ่งผมอยากมีบรรยากาศแบบนั้นอีกครับ”
แต่อย่างที่บอกว่าชีวิตของ The Star Idol 1 คนแรกของประเทศไทย ใช่ว่าจะสวยหรูเหมือนในหน้าจอ เพราะกว่าจะมีวันนี้ ก็หมดไปเป็นล้านเหมือนกัน
“วันที่ผมได้แชมป์ พ่อแม่ก็ดีใจ ภูมิใจมากครับ ดูจากสีหน้านะ แต่ยังไม่ได้คุยอะไรกันเลย แต่ผมก็มีความรู้สึกดีที่ทำให้เขาภูมิใจ และวันนี้เป็นวันทำงานวันแรก ก็รอทำงานไปเรื่อยๆ จะเอาเงินไปทำให้ครอบครัวสบายขึ้น พ่อกับแม่จะได้ไม่ต้องทำงานครับ
ผมเป็นลูกคนเดียว แต่ว่ามีพี่ชายคนละแม่ ผมก็รู้สึกขอบคุณนะครับ ที่เขาคอยส่งผมเรียน ส่งทำกิจกรรมต่างๆ คอยเสียเงินให้ผมได้เรียนในสิ่งที่ผมอยากเรียนอะไรเยอะแยะมากมาย เรียนการแสดง เรียนร้องเพลง เรียนเต้น เรียนพิธีกร เรียนเยอะ เขาจะคอยไปส่ง คอยจ่ายเงินเรียนให้ผม แล้วทุกครั้งที่ไปเรียนร้องเพลง ผมก็จะได้ของเล่นครับ ครั้งหนึ่งก็หนึ่งชิ้นมันเลยเป็นแรงบันดาลใจให้ผมอยากไปเรียนในทุกๆ ครั้ง
ซึ่งยอมรับว่าแต่ละคอร์สค่าใช้จ่ายมันค่อนข้างสูง และจริงๆ ตอนเด็กๆ ผมไม่ใช่เป็นคนที่เจออะไรปุ๊บแล้วอยากเรียนเลย คือทางคุณแม่จะไปเจอแล้วมาถามว่าอยากเรียนไหม ผมก็จะบอกว่าอยาก ผมรู้สึกว่าสนุกดีเวลาได้ไปเรียนอะไรแบบนั้น ผมชอบทำกิจกรรม ถามว่าหมดเยอะไหมเหรอครับ คุณแม่บอกว่ารวมๆ ก็เป็นล้าน ผมเรียนร้องเพลงมา 10 ปี แต่พอค่าเรียนมันสูง แล้วช่วงเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยดี ช่วงโควิด ผมก็เลิกเรียน เพราะผมเห็นว่ารายได้ที่บ้านมีเข้ามาน้อยลง ผมก็อยากแบ่งเบาที่บ้านด้วย เอาเงินส่วนนี้ไปใช้ตรงอื่นดีกว่าครับ”
จากวันนั้นที่เป็น “ม้านอกสายตา” จนวันนี้กลายเป็น “คนที่มีคนรัก” มันทำให้ชีวิตเด็กหนุ่มธรรมดาคนนึงจะเปลี่ยนไปตลอดชีวิตจากตอนนี้เป็นต้นไป
“ผมยังไม่เคยทำอะไรแบบนี้ ก็ยังไม่ชิน (ยิ้ม) กับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่อันดับแรกก็ต้องดูแลสุขภาพก่อน จากปกติที่เป็นคนไม่ค่อยซีเรียสอะไร แต่ช่วงนี้ก็ต้องพักผ่อนให้เพียงพอ ต้องระมัดระวังตัวเองให้มากขึ้น จะพูดอะไร จะต้องระวังทุกอย่าง ส่วนเรื่องส่วนตัวบางเรื่องก็ต้องเป็นเรื่องสาธารณะ เพราะเราเข้ามาอยู่ในวงการ ก็พร้อมจะรับสิ่งใหม่ๆ รู้สึกว่ามันน่าสนใจ น่าตื่นเต้น ผมไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้ามันจะเป็นยังไง แต่ผมก็จะทำให้ดีที่สุดครับ
และผมไม่เคยคิดว่าจะมีคนชอบผมขนาดนี้ เพราะทุกครั้งที่ผมไปประกวดเวทีต่างๆ ผมก็ไม่ได้เป็นที่น่าจดจำสักเท่าไหร่ ก็แค่มาประกวด แต่ผมเองก็ได้ประสบการณ์จากตรงนั้นนะ แต่พอมาเวที The Star Idol รู้สึกว่าผมได้อะไรเยอะมากกว่าประสบการณ์ ผมได้เจอประสบการณ์ใหม่ๆ มีแฟนคลับเพิ่มขึ้น อย่างบางคนก็เอาเสื้อผ้ามาให้ ผมเป็นคนชอบแต่งตัว แต่ตอนนั้นผมไม่มีเงินซื้อ ผมก็เก็บเงินไปเรื่อยๆ แต่ตอนนี้แฟนๆ ส่งมาให้ที่บ้าน ผมเกรงใจนะครับ แต่ก็ขอบคุณพี่ๆ ครับ พวกเขาตั้งใจส่งมาให้
(วันนั้นเราน้อยใจไหม ที่เป็นม้านอกสายตา?) ผมไม่ได้น้อยใจนะครับ ทุกครั้งที่ไปประกวดเวทีต่างๆ แล้วไม่ได้เป็นที่น่าจดจำเท่าไหร่ ผมแค่รู้สึกว่าผมสนุกกับสิ่งที่ทำตอนนั้น ทุกครั้งที่อยู่บนเวทีแล้วผมชอบแค่นั้นเลยครับ แต่พอมา The Star Idol ผมก็ยิ่งชอบการอยู่บนเวที แล้วมีคนชอบผมด้วย ก็เป็นสิ่งที่ดีครับ และก็มีแฟนๆ มารอครับ ผมก็รู้สึกเกรงใจ เพราะบางครั้งก็ต้องรอนาน แต่ผมก็รู้สึกขอบคุณมากๆ ครับ ก็มีถ่ายรูปกับแฟนๆ ให้เขามีความสุข”
ย้อนกลับไปในวันที่มาออดิชั่น ว่าอยากจะกลับบ้านทุกครั้ง เพราะแข่งไปก็สู้กับใครเขาไม่ได้หรอก!
“ตั้งแต่รอบแรกที่ผมเดินเข้าตึกมาเพื่อจะมาสมัคร จริงๆ วันนั้นมาที่ตึก ผมอยากจะกลับบ้านไปเลยครับ เพราเห็นแต่คนคือเก่งมาก เอาอุปกรณ์มาพร้อม และพอเข้าไปในห้องออดิชั่น ครูสอนร้องเพลงเคยบอกว่าให้ยิ้มเยอะๆ ผมก็ไม่เข้าใจ แต่พอเข้าไปเห็นกรรมการ ผมก็ยิ้มตามที่ครูสอนเอาไว้ (ทำท่ายิ้ม) และเวลาคุยผมก็ยิ้มตลอด ผมพยายามเป็นตัวเองให้มากที่สุด พยายามไม่เครียด แต่ก็มีความตื่นเต้น ความคิดมารวน (แล้วยิ้มแบบนี้มันได้ผลไหม?) ไม่ครับ (หัวเราะ) มันต้องได้ผลสิครับเพราะกรรมการก็เป็นกันเองกับผมมาก เขาดูชอบนะ ผมรู้สึกสบายใจตอนออดิชั่น และพอออกจากห้องออดิชั่นมา ก็รอสายโทรศัพท์นานมาก จนคิดว่าตัวเองไม่ผ่านแน่นอน แต่ระหว่างกลับบ้านอยู่บนบีทีเอส เขาก็โทร.มาว่าเราผ่าน และให้เข้ามาเทรน
จนผ่านมารอบ 60 คนที่ต้องร้องต่อหน้ากรรมการ พอร้องเสร็จปุ๊บ เห็นคนอื่นร้องบ้าง ตอนนั้นมีความรู้สึกว่าอยากกลับบ้านอีกแล้ว โอ้โห้เขาเก่งมากจริงๆ ผมอยากทำแบบนั้นได้บ้าง ก็ลองไปฝึกทำดู ผมฝึกทุกวัน อัดคลิปและส่งให้ทีมงานดูว่าเราโอเคไหม ผมชอบอัดคลิปตอน 5 ทุ่ม-เที่ยงคืน แต่ผมสงสารข้างบ้านมากเลยครับ เพราะคีย์เพลงมันสูงมาก มันต้องใช้พลังเสียง แต่ทำไงได้ผมต้องซ้อม ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ ผมเกรงใจเขา จากนั้นผมก็มีความรู้สึกว่าผมอยากทำให้ได้เหมือนพี่ๆ เขา พอมันทำได้แล้วมันเท่นะครับ คือผมอยากเท่ไงครับ เพราะคนเวลาทำอะไรได้ มันจะดูเท่ไงครับ ผมอยากเท่บ้าง ผมกลับไปฝึก ซึ่งพอเรามาโชว์ ผมก็ชอบนะครับ ซึ่งความเท่ในความรู้สึกผมคือการที่คนดูแล้วชอบ เราจะรู้สึกว้าวกับมัน มันเป็นความภูมิใจ คือเรารู้สึกสำคัญ อยากเป็นคนสำคัญครับ อยากดูเท่ในสายตาคนอื่น”
แต่สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้เลยคือคอมเมนต์ในเชิงลบที่ทุกคนต้องเจอ เมื่อเขาเป็น “คนสาธารณะ” แล้ว เขาจะจัดการกับมันยังไง?
“มีคนเคยบอกว่ามีคนรักก็ต้องมีคนเกลียด มันเป็นสิ่งคู่กันอยู่แล้ว ตอนแรกที่ผมเห็นก็พยายามทำใจครับ แต่ช่วงนี้ถ้าเห็นมีคนมาว่า ผมเองก็รับฟังไว้ ถ้าอันไหนที่ช่วยให้ผมปรับปรุงตัวเอง แก้ไขตัวเอง ผมก็รับฟังไว้ แต่ถ้าอันไหนที่ว่าเรื่องโน่น นี่ นั่น จริงๆ ก็ไม่ถึงกับดาวน์ขนาดนั้น แต่ที่เห็นก็มีเรื่องหน้าตา รูปลักษณ์ ผมก็พยายามไม่เก็บมาคิด ส่วนวิธีสร้างภูมิคุ้มกันผมรู้สึกว่าคนชอบเยอะกว่า ผมโอเคนะครับ เพราะจริงๆ คนที่คอมเมนต์ไม่ชอบผมหรืออะไรก็มีอยู่ส่วนนึง คนชอบเยอะกว่าผมก็จะคอยสร้างความสุขให้กับคนเหล่านั้น ซึ่งบอกกับตัวเองว่า เขาให้ตำแหน่งนี้กับผมแล้ว ผมอยากพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น อย่างแรกเลยคือการพูด (ยิ้ม)”
