ถ้าจะให้เครดิตกับหนังจารกรรมเรื่องนี้ ผู้เขียนขอมอบประกาศนียบัตรส่วนบุคคลให้กับ รอว์สัน มาร์แชล เธอร์เบอร์ ทั้งในฐานะผู้กำกับการแสดง และผู้เขียนบท RED NOTICE ด้วยเหตุผลที่ว่าถ้าเขาไม่ใส่บทพูดที่จิกกัดกันตลอดเวลาระหว่างนักแสดงนำฝ่ายชายทั้งสองเข้าไปตั้งแต่ต้นจนจบ ว่าก็ว่าเถอะครับ หนังอย่าง RED NOTICE อาจเป็นหนังธรรมดาๆ สำหรับ ‘คอหนัง’ ประเภทนี้ได้เลย
แต่ครั้นเมื่อผู้เขียนบทจับ ‘สงครามปาก’ ยัดใส่ให้ ‘ฮาร์ตลีย์’ ดเวย์น จอห์นสัน กับ ‘บูธ’ ไรอัน เรย์โนลด์ส ปะทะกันอย่างถึงกึ๋นและแทบไม่มีใครยอมใครในช่วงเวลาเกือบสองชั่วโมงของการดำเนินเรื่อง ตรงนี้เองทำให้ RED NOTICE กลายเป็นหนังดูสนุก ชวนติดตามแถมเรียกรอยยิ้มตรงมุมปากแทบจะทุกเวลา
จุดเด่นอีกประเด็นหนึ่งของหนังได้แก่การพลิกมุข หักมุมที่ฉับไว ไม่รีรอให้คนดูคาดเดา เริ่มต้นตั้งแต่การเปิดตัวของ ‘เจ้าหน้าที่’ ต่อด้วย ‘จอมโจรสมองเพชร’ หรือแม้กระทั่งสาวงามสะท้านปฐพีนาม ‘บิชอป’ ที่รับบทโดยกัล กาด็อต เพราะเรียกความสนใจก่อนจะลากจูงเข้าไปในจุดหักเห เปลี่ยนแปลงเรื่องราวที่หนังพยายามเล่นเอาเถิดเอาล่อกับคนดูชนิดไม่ยอมให้ผ่อนคลาย กระนั้นกลับได้ใจถึงขั้นต้องกดไลค์แบบรัวๆ
RED NOTICE นอกจากขายแก๊กพร้อมเหลี่ยมคมที่จัดว่าแพรวพราวพอสมควรแม้จะไม่ถึงกับท็อปไฟว์ในหนังแนวเดียวกัน แต่การที่ผู้กำกับจับเอาเสน่ห์ของดารานำทั้ง 3 ชีวิต ผู้มีแฟนคลับเหนียวแน่นมาจากหนังก่อนหน้านี้ที่แต่ละคนโชว์มนตราไว้ จึงยิ่งทำให้เหล่าเอฟซีทั้งหลายคงอิ่มเอมใจไปจนฉากสุดท้ายที่เปิดปลายบอกก่อนล่วงหน้าว่าอีกไม่ช้ามีภาคต่อตามมาแน่นอน
เกริ่นไว้ก่อนพอสังเขปว่า RED NOTICE ถึงขั้น ‘ขาย’ ให้ตัวละครเอกฝ่ายชายกลายๆ ว่าจะรักข้ามเพศอย่างจริงจัง ทั้งๆ ที่แรกๆ ของตัวหนังเหมือนจะแค่ต่อปากต่อคำธรรมดา ซึ่งพอเข้าใจและเดาออกครับว่าเป็นเจตนาของผู้กำกับที่จะเล่นและทดลองอารมณ์ของคนดู
ส่วนในเรื่องของฉากบู๊และการห้ำหั่นเฉือนคมของแต่ละฝ่าย เนื่องจากเดี๋ยวเป็นคู่หูแล้วผันผายไปอยู่ฝั่งตรงข้ามก็ชวนติดตาม ระทึกใจ ทุ่มทุนสร้างอย่างไม่มีคำติติง
อีกตัวละครหนึ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้สำหรับ ‘แดช’ ริทู อาร์ยา ในบทตำรวจหญิง ผู้เขียนเห็นว่าเธอ ‘มีของ’ เยอะ แต่บทในภาคนี้อาจจะน้อยไปหน่อยเลยถูกแย่งซีนทั้งที่พยายามแล้ว
อ้อ! หนังเรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับ ‘ไข่’ ไม่เฉลยครับ ไปหาคำตอบกันเอง