xs
xsm
sm
md
lg

(ชมคลิป) “แหม่ม” ยอมห่างสามี ให้ตามไปเฝ้าลูกชายทั้งสองคนที่อังกฤษ ไม่หวงลูกมีแฟน มองเป็นเรื่องธรรมชาติ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“แหม่ม” เผยไม่แปลกใจที่หลานจะงงว่าตนเคยดังมากๆ ในยุค90 เพราะเป็นเด็กรุ่นใหม่ที่อาจจะไม่ค่อยได้ดูทีวี บอกแค่คุยกันขำๆ เผยต้องห่างสามี เพราะต้องตามไปเฝ้าลูกชายสองคนที่ไปเรียนที่ประเทศอังกฤษ เหตุห่วงว่าสถานการณ์โควิดยังไม่ปกติ ถ้าเกิดฉุกเฉินจะได้ดูแลได้ทัน บอกไม่ห่วงถ้าลูกชายจะมีแฟน เพราะเป็นเรื่องธรรมชาติ ตนได้แต่สอนว่าสิ่งไหนดี สิ่งไหนไม่ดีให้เท่านั้น



กลายเป็นคลิปที่หลายคนเห็นแล้วชอบอกชอบใจ ที่นางเอกสาวสุดฮอตยุค90 อย่าง “แหม่ม คัทลียา กระจ่างเนตร” และ “อ้อม พิยดา จุฑารัตนกุล” กำลังบอกหลายชายว่าสมัยก่อนหน้านี้พวกตนเคยโด่งดังมากมาก่อน แต่ดูเหมือนหลานชายจะไม่ค่อยเชื่อสักเท่าไหร่ ซึ่งสาวแหม่มก็เผยว่าเป็นการคุยกันขำๆ และไม่แปลกใจที่หลานจะไม่เชื่อ เพราะเกิดไม่ทันยุคนั้น

“จริงๆ ก็คุยเล่นกันสนุกๆ นะคะ ก็ไม่นึกว่าจะกลายเป็นที่ถูกพูดถึงในวงกว้าง เพราะแค่แซวๆ แหย่ๆ กัน หลานก็ไม่รู้จริงๆ เขาก็ไม่ได้โตมาในยุคที่เราเล่นละครเยอะๆ เขาเพิ่งจะโตมาอายุ 18 เอง ก็ตลกดี อ้อมเขาก็ถ่าย บอกว่าน้าก็เคยมีชื่อเสียงเหมือนกันนะ หลานก็มองแล้วไม่เข้าใจ เขาเป็นเด็กรุ่นใหม่ เขาก็ไม่ได้ติดตามงานเรา จริงๆ จำไม่ได้ว่าคุยเล่นอะไรกันอยู่ค่ะ อ้อมก็เลยบอกว่าจอชรู้ไหมว่าน้าแหม่มเขาดังมากนะ ก็แหย่เล่นกันขำๆ ค่ะ น้องก็งง แบบน้าสองคนนี่เพ้อเจ้อหรือเปล่า (หัวเราะ)

น้องอยู่เมืองไทยค่ะ แต่เขาเป็นเด็กรุ่นใหม่ที่ไม่ได้ดูละคร บางคนก็ไม่ได้ดูทีวี เดี๋ยวนี้เขาก็จะดูยูทิวบ์หรืออะไรของเขาไป คือยุคของแหม่มน่ะพวกเขายังไม่เกิด (หัวเราะ) เขาเพิ่ง 18 เอง แต่เราก็ไม่ถึงขนาดจะไปบังคับเปิดให้เขาดู ก็พูดกันขำๆ แค่นั้นแล้วก็เปลี่ยนเรื่อง แต่ที่เห็นน้องทำหน้างงเราก็ไม่ได้ตกใจ เพราะว่าเด็กอายุ 18 ถ้าเขารู้จักเราสิน่าจะแปลก เพราะไม่ได้เกิดในยุคที่เราเล่นละคร แล้วถ้าเขาจะมาย้อนดู จะเริ่มย้อนดูจากอะไรล่ะ เขาก็รู้จักแค่ว่านี่คือน้าแหม่ม นี่คือน้าอ้อม”

ไม่ห่วงลูกชายสองคนไปเรียนที่อังกฤษ เพราะสามีคอยไปดูแลใกล้ชิด
“ตอนนี้ลูกสองคนอยู่อังกฤษค่ะ มีแค่คนเล็กอยู่ที่เมืองไทย ถามว่าเป็นห่วงไหม เอาจริงไม่ห่วง เพราะว่าคุณพ่อไปอยู่เฝ้าด้วย เพราะด้วยสถานการณ์มันยังไม่ปกติ เราก็มีประสบการณ์จากหลายๆ ครั้งที่มันยังอยู่ในช่วงโควิดแล้วลูกต้องบินไปบินกลับเรียนหนังสือ เราก็อยากให้เขาได้เรียนแบบปกติที่สุด พ่อก็เลยต้องอยู่ เนื่องจากว่าคนโตก็โตแล้วอาจจะดูแลตัวเองได้ประมาณนึง แต่คนที่สองเพิ่งจะ 11 ขวบเกิดสมมติฉุกเฉินมีระบาดอะไรกันขึ้นมาอีก ปิดประเทศแล้วลูกเราจะอยู่ไหน จะอยู่กับใคร จะกลับบ้านยังไง ก็เลยมีคุณพ่อเฝ้าอยู่

แหม่มกับน้องเนสซี่ก็อยู่ดูแลทุกอย่างที่อยู่ในเมืองไทย (หัวเราะ) แหม่มว่าสถานการณ์นี้มันเป็นสถานการณ์ที่ไม่ปกติสำหรับทุกๆ บ้าน แต่เราจะต้องเจออะไรกันแบบไหน แต่ทุกคนก็ต้องเสียสละนะ พ่อแม่ก็ต้องเสียสละ เพราะเราก็ไม่รู้ว่าถ้าเราปล่อยเขาไป แล้ววันนึงอังกฤษปิดประเทศแล้วลูกจะบินกลับยังไง ถ้ามันเข้าสู่สภาพปกติแล้วมันก็คงกลับไปสู่วิถีเหมือนเดิม”

ไม่ห่วงและไม่หวงถ้าลูกชายจะมีแฟน บอกเป็นเรื่องธรรมชาติ
“ในส่วนของความเป็นสามีภรรยาที่ต้องห่างกันเนี่ย ด้วยงานของเขาสามารถบริหารผ่านซูม ผ่านโซเชียลได้อยู่แล้ว โทรศัพท์โทรคุยกันได้หมด เผอิญโชคดีว่าเรามีกิจการของเราเองทุกอย่างก็ทำผ่านโทรศัพท์ แหม่มก็อยู่ฝั่งนี้ มีอะไรเราก็ดูแลอยู่แล้ว ห่วงเรื่องสาวๆ ของลูกไหมเหรอ ทุกอย่างมันก็เป็นไปตามธรรมชาติแหละ เราก็อยู่ใกล้ชิดและพยายามสอนให้เขารู้ว่าอะไรดี อะไรไม่ดี ให้เขาเห็นทั้งด้านดีและไม่ดี เราก็มีหน้าที่สอน แต่สุดท้ายจะยังไงมันก็เป็นชีวิตของเขาค่ะ

ถามว่าหวงลูกชายไหม ถ้าพูดถึงธรรมชาติมนุษย์เรายังมีครอบครัว มีแฟน มีลูกเลย วันนึงเขาก็ต้องมี มันก็เป็นวัฎจักรปกติค่ะ แต่แค่ว่าดูแลใกล้ชิดหน่อยว่าถึงวัยอันควรหรือยัง หรือหน้าที่ในตอนนี้อะไรสำคัญที่สุด ถ้าหน้าที่ต้องเรียนหนังสือก็ต้องเรียนหนังสือ อาจจะมีแฟนได้ เป็นเพื่อนกันแล้วก็ชวนกันเรียนหนังสือ มันมีองค์ประกอบเยอะค่ะที่เราจะต้องคอยประคับประคองและดูแล”

สอนให้พี่น้องรักกัน ดูแลกัน เหมือนตนกับ “วิลลี่ แมคอินทอช” ที่รักกันดูแลกันมาตลอด
“เป็นห่วงในเรื่องของความปลอดภัยมากกว่าว่าเดินทางจะเป็นยังไง สุขภาพ การใช้ชีวิต อันนั้นน่าจะเป็นห่วงมากกว่า เพราะแหม่มเชื่อว่าเราใช้ความใกล้ชิดกับลูกและสอนทุกอย่างที่เราคิดว่าดี ที่เราคิดว่ามันเป็นประโยชน์ เราก็ใกล้ชิดและใส่ให้เต็มที่ ถามว่าถ้าไม่มีพ่อแม่ไปด้วย เขาสามารถดูแลกันเองได้ไหม ตอนนี้ก็ตอบไม่ได้นะ แต่บอกไปแล้วว่าเป็นพี่น้องต้องรักกัน เพราะแหม่มกับพี่วิลลี่ก็รักกันมาก และช่วยกันดูแล ถ้าวันไหนที่คุณแม่ไม่อยู่ต้องบินไปดูงานต่างประเทศ พี่ชายก็ดูแลเราดี๊ดี และเราก็เชื่อฟังพี่ชายอะไรแบบนี้แหม่มว่ามันเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ที่สำคัญพอสมควร ใกล้ชิด รักกัน ดูแลกัน สถาบันครอบครัวสำคัญมาก

อะไรที่มันดีที่เราเคยได้รับมา เราก็เอามาใช้และปรับกับยุคสมัยนี้ค่ะ ส่วนสามีเองเขาก็มีวิธีคิด วิธีสอนที่บางอย่างเราก็นึกไม่ถึง ก็มาเสริมกันไป ก็ไม่ค่อยมีอะไรขัดกันนะคะถ้าเรื่องการสอนลูก เพราะเราก็อยู่บนโลกของความเป็นจริง เราก็สอนให้ดีที่สุดอยู่แล้ว และหลักๆ เราต้องเอาเหตุและผลเป็นที่ตั้งค่ะ เพราะเหตุและผลมันไม่โกหกใครอยู่แล้ว เราก็ไม่ได้จะใช้อารมณ์ เราโตแล้ว ต้องมีเหตุผลค่ะ”

บอกลูกชายได้วิชาการทำอาหารจากพ่อไปเต็มๆ
“ก็ไม่เคยถามนะว่าลูกอยากมาทำงานในวงการไหม แล้วก็ยังไม่มีการพูดถึง เพราะเราก็บอกว่าตอนนี้หน้าที่หลักของเขาคือต้องเรียนหนังสือ อย่างคนโตก็เข้าสู่มัธยม มันก็ไม่ได้ง่าย การแข่งขันก็เยอะ ต้องตั้งใจเรียนเพื่อตัวเขาเองไม่ใช่เพื่อเราหรอก สุดท้ายเขาจะเป็นยังไงเราก็รักอยู่แล้ว เพราะเขาเป็นลูกเรา แต่เราก็อยากให้เขาตั้งใจเรียนที่สุด เพื่อสุดท้ายแล้วเขาจะได้ไม่ผิดหวัง หรือเสียใจถ้าเขาตั้งใจเต็มที่

เขาจะเป็นเชฟไหมเหรอ เชฟคงจะเป็นประกอบกันอยู่แล้ว เพราะพ่อเขาก็ทำกับข้าวเก่ง คือที่เห็นว่าทำกับข้าวเพราะว่าทั้งสองคนโดยเฉพาะแมคไปอยู่เมืองนอก แล้วถ้าเกิดเขาหิวหรือเขาคิดถึงอาหารไทย เขาก็จะได้มีวิชาติดตัวที่จะทำทานเองได้ แหม่มว่าการทำอาหารมันก็สำคัญ เขาทำอาหารเก่ง เพราะเราน่ะทำไม่เก่ง พ่อเขาก็เลยถ่ายทอดวิชาสุดฤทธิ์ ก็โชคดีที่คุณพ่อสอน แล้วเราก็มีฟาร์ม มีผลิตภัณฑ์ดีๆ ที่เราดูแลอยู่แล้ว เราก็เอาผลิตภัณฑ์ฟาร์มนี่แหละมาให้ลูกทำ จะไก่ จะหมู จะไข่อะไรต่างๆ”











กำลังโหลดความคิดเห็น