“ซิลวี่” เปิดด้านมืด แย่สุดในชีวิต คิดว่าตัวเองไร้ค่าจนหลงเดินทางผิด อยากผอม ติดยา ทำร้ายตัวเอง จนไม่มีความสุข เหตุเคว้ง 6 ปี ไม่ได้รับการผลักดัน ทั้งที่ใฝ่ฝันอยากร้องเพลง แต่ฮึดสู้ลุกขึ้นปั้นตัวเองจากโลกออนไลน์ ลั่นทุกประสบการณ์คือบทเรียน ไม่เอาอดีตเป็นปม เดินมาไกลแล้ว ตั้งเป้าต้องเป็นศิลปินระดับโลก
ประสบความสำเร็จเป็นศิลปินโกอินเตอร์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับ “ซิลวี่ ภาวิดา มอริจจิ” ในฐานะศิลปินเอเชียของค่าย วอร์นเนอร์ มิวสิก เอเชีย ที่ตอนนี้ได้ปล่อยซิงเกิลใหม่ “Queen” ซึ่งกว่าจะมีวันนี้วันที่ฝันเป็นจริง ซิลวี่ได้ผ่านการต่อสู้มามากมาย ทั้งการยืนหยัดที่จะเป็นตัวเอง ว่าฉันคือ LGBT และฉันจะสวยในแบบของตนเอง เพื่อที่จะให้สังคมได้เห็นและยอมรับความสามารถในฐานะนักร้องคนหนึ่ง วันนี้เรามาพูดคุยถึงเส้นทางการต่อสู้ยืนหยัดเพื่อความฝันกับการเป็นนักร้อง และวันนี้เธอได้เป็นศิลปินระดับเอเชียแล้ว
“หลายๆ คนคุ้นหน้าจากเวทีเดอะสตาร์ ที่ทำให้เราเข้าวงการมาได้ หลังจากนั้นก็ไปเดอะวอยซ์ เดอะแมสซิงเกอร์ ก็วนๆ อยู่ในวงการบันเทิง เป็นเจ๊ดันให้ตัวเองไปประกวดนั้นนี้ พยายามทำให้ตัวเองมีกระแส หาช่องทางในยูทิวบ์ปล่อยเพลงให้คนได้ฟังเราร้องเพลงอยู่เรื่อยๆ
จนมาถึงวันนี้ที่มาเป็นศิลปินเอเชียได้วันนี้เพราะเรามีเพื่อนประกวดเดอะวอยซ์มาด้วยกัน ชื่อว่าวาเลนติน่า พลอย เขารู้จักกับทางทีมฝรั่งที่ทำเพลง เราก็โชคดีที่วาเลนติน่าพลอยนึกถึง ก็นัดไปกินข้าวกันเราก็เล่าให้เขาฟัง โปรโมตตัวเองให้เขาฟัง เขารู้สึกว่าเรามี potential ก็เลยนัดกันไปทำเพลงก็ได้เลย เพลง XL เป็นเพลงแรกที่เข้าสตูดิโอเลย วันเดียวเสร็จ”
ผลักดันตัวเองเป็นยูทูบเบอร์ สร้างโอกาสบนโลกโซเชียลให้ตัวเองในฐานะนักร้องที่ภูมิใจในรูปร่างและความแตกต่างของตนเอง
“เราเคว้ง เราเซ็นสัญญากับค่ายเก่ามา 6 ปี เราได้เล่นละครเวที แต่ก็ต้องขอบคุณประสบการณ์ตรงนั้นที่ทำให้เราแข็งแรง เราอยากเป็นนักร้อง หมดสัญญาเราก็ขอเป็นอิสระ เราอยากฝันต่อ เราอยากไปสู่ความใฝ่ฝันที่เราอยากจะเป็นนักร้อง แต่มันไม่ได้รับการผลักดัน การไม่ได้รับการมองเห็นจากคนอื่นมันไม่ได้แปลว่าเราจะทำไม่ได้ ณ ตอนนั้นเราคิดว่าเราสต๊าฟอยู่ที่ใดที่หนึ่ง แล้วในที่นั้นเราเป็นไม่ได้ แปลว่าเราจะไม่สามารถหาโอกาสที่อื่นได้เลย เลยทำให้เราจมอยู่นาน
แต่พอวันนึงที่เราคิดได้ว่าทุกวันนี้เรามีโซเชียลมีเดีย คนที่ไม่ได้เข้าประกวดยังดังเองได้เลย เขาฟีดสิ่งที่เป็นตัวเองลงยูทิวบ์ลงไอจี อินฟูลเอนเซอร์ต่างๆ เขาก็ผลักดันปั้นตัวเองจากโลกออนไลน์ทั้งนั้น เราก็เอาบ้าง ไหนๆ เราก็มีฐานคนรู้จักอยู่แล้ว ก็ลอง ก็เลยทำช่องยูทิวบ์แล้วก็ไม่หยุดที่จะพัฒนาตัวเอง โคฟเวอร์บ้างลงคอนเทนต์เกี่ยวกับการรักตัวเอง ภูมิใจในรูปร่างของตัวเอง ภูมิใจในความแตกต่างของตนเอง”
ความกลัวไม่สามารถเอาชนะความฝันได้ มุ่งมั่นผลักดันตัวเอง ไม่แข่งกับใคร
“เราเริ่มจากที่เราไม่เปรียบเทียบกับคนอื่นก่อน เพราะที่ผ่านมาเราเปรียบมาเยอะแล้ว เราก็เริ่มจากการที่เราโฟกัสกับตัวเองจริงๆ เราไม่ได้แคร์เลยว่าคนอื่นทำอะไรบ้าง เรารู้แค่ว่าสิ่งที่เราทำคืออะไร เราเป็นเจ้าของชีวิตของตัวเอง มีหน้าที่รับผิดชอบตัวเองว่าอยากจะทำอะไร ก็ทำ จบ อย่าไปคิดเยอะ เราต้องปั้นตัวเอง เราต้องโคฟเวอร์เพลง จากคนที่ตัดต่อไม่เป็นก็ทำเองเป็น เรียนรู้เองทุกอย่าง พูดง่ายๆ คือใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ เอาเวลาที่ว่างทั้งหมดมาทำการทำยูทิวบ์อย่างจริงจัง เราไม่อยากให้คนลืมเรา ให้คนจำเราว่าซิลวี่เท่ากับนักร้อง
ลึกๆ ก็กลัว แต่ความกลัวไม่ได้จะมาชนะสิ่งที่อยากทำ ทุกวันนี้ก็ยังกลัวนะ แต่ก็ยังทำอยู่ดี ทุกวันนี้ยังกลัวคอมเมนต์แย่ๆ แม้ภายนอกจะดูสตรอง เราเป็นคนเรามีความรู้สึกเหมือนกัน แค่เรามีวิธีรับมือ เวลาเจอคอมเมนต์แย่ๆ เราก็แค่ไม่ใส่ใจ หรือเลือกจะด่ากลับ คือเหมือนเรามีภูมิคุ้มกันแล้ว เรารู้แล้วว่าเราควรจะรับมือกับมันยังไง”
ย้อนกลับไปตอนชีวิตเคว้ง ความอยากผอมเคยทำให้หลงผิดอยู่ช่วงนึง จนค้นพบว่าชีวิตไม่มีทางลัด
“มันก็เป็นเพราะแค่เราเป็นเด็กวัยรุ่นคนนึงที่ไม่เคยเจอแสงสีเสียง ก็อยากรู้อยากเห็น เป็นช่วงที่เราสูญเสียความเป็นตัวเองแล้วเราไม่รู้ว่าเราต้องการอะไร ตอนนั้นก็ลองใช้ชีวิตปาร์ตี้จนเป็นเรื่องปกติจนค้นพบว่าตัวเองไม่มีความสุข ก็ติดยาไปพักนึง เพราะไม่มีความสุขกับชีวิตตัวเอง แล้วก็ความเครียด ความอยากผอมด้วย เราผอมลงเพราะมันได้ มันเป็นช่วงๆนึงที่เราหลงผิด คิดไม่เป็น
พอเราเอาตัวเองไปอยู่ในจุดที่แย่ที่สุดของชีวิตตัวเอง เราไปเจอด้านมืดของตัวเองที่สุด ทำร้ายตัวเองทำร้ายคนรอบข้าง มันแย่ เหมือนไม่ใช่ซิลวี่คนเดิมที่รักตัวเอง มันไปถึงจุดที่คิดว่าถ้ามันมากกว่านี้เราอาจจะฆ่าตัวตายก็ได้ หรือเราอาจจะฆ่าใครสักคนนึง แล้วอยู่ๆมันก็มีสติขึ้นมาได้เอง โชคดีที่มีแม่คอยซัปพอร์ตเราอยู่ด้วย คอยชี้ทางบอกเรา พอแม่รู้ว่าเราเจอสถานการณ์แบบนี้เขาก็เลือกที่จะมาอยู่เคียงข้างเราเลย แล้วต่อสู้มาด้วยกัน
พอเราคิดได้ว่าเรารู้สึกอยากจะกลับมารักตัวเอง เรารู้สึกว่าน้ำหนักเราขึ้น ทางเดียวที่เราเจอคือรักตัวเองในแบบที่เราเป็น โยโย่ก็ช่างแม่-อ้วนขึ้นก็ช่างแม่-อย่างน้อยข้างในเรามันดีกว่าที่เราผอมแล้วเราไปหมกมุ่นกับอะไรก็ไม่รู้ บวกกับมีแม่คอยเป็นกองเสริมบอกว่าซิลวี่เป็นตัวของตัวเองเลย ซิลวี่ทำได้ ซิลวี่สวยในแบบของตัวเอง ซิลวี่มั่นใจ บทที่มันจะคิดได้เราก็คิดได้ด้วยตัวเราเอง ว่าไม่ได้แล้ว เราต้องกลับมา ซึ่งมันใช้เวลานานมาก ต่อสู้มาด้วยกันจนทำให้เราตั้งใจเรียนจนจบ จนประสบความสำเร็จในทุกวันนี้”
ยืนหยัดต่อสู้ที่จะเป็นตัวเอง ทั้งการเปิดเผยว่าเป็น LGBTQ+ จะสวยในแบบของตัวเอง จนวันนี้ที่สังคมเริ่มเปิดกว้างในความแตกต่างหลากหลายมากขึ้น
“วันนี้รู้สึกดีใจที่เราออกมาแบบนี้แล้วมันถูกที่ถูกเวลา ซิลเหมือนคน 2 ยุค ถ้าเป็นยุคที่แล้ว สิ่งที่ซิลทำมันอาจจะไม่เกิดอะไรขึ้นเลยก็ได้ อาจจะมีแต่แรงโจมตี ออกมาพูดว่าอีหยังวะ แต่ ณ วันนี้ก็ยังมีนะ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเห็นดีเห็นงามกับเราหมด คอมเมนต์แย่ๆ ก็ยังมี เพียงแค่ว่าซิลมีคนเข้าใจและคิดแบบซิลว่าเราสามารถมีความสุขได้โดยที่เราไม่ต้องมีหุ่นมาตรฐานที่เขาเป็น ก็ดีใจที่เรายังมีพรรคพวกที่คิดเหมือนกันโซเชียลใครโซเชียลมัน อยากลงอะไรเราก็ลง เพียงแต่เราต้องยอมรับกับคอมเมนต์แย่ๆ ที่จะเกิดขึ้น ก็ปล่อยให้มันพูดไป คอมเมนต์ดีๆ เราก็เก็บมันไว้ เราอยากทำอะไรเราก็ทำ ยิ่งเราโพสต์ลงโซเชียลมีเดีย จะทำให้คนรู้จักเราในแบบที่เราเป็น
วันนี้ถือว่าประสบความสำเร็จแล้วในระดับนึง ที่มีวันนี้ได้เพราะตัวเราเองที่เลือกที่จะสู้ ไม่ยอมแพ้ตั้งแต่วันที่ตัวเองเจอเรื่องแย่ๆ เราอยากเป็นคนดี ถ้าเราไม่คิดอยากจะกลับมาสร้างอะไรดีๆให้ตัวเอง วันนั้นซิลคงไม่กลับมาทำยูทิวบ์ ไม่กลับมาเรียบรู้ที่จะใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ ซิลคงจะจมอยู่กับความคิดตัวเองที่ว่าทำไมกูไปได้แค่นี้ เป็นได้แค่นี้ เราผลักดันตัวเองทุกอย่างจนมีวันนี้
ขอบคุณทุกประสบการณ์ที่ได้เจอมา ณ วันนี้ถามว่าอยากจะกลับไปแก้ไขอะไรไหม ซิลก็จะไม่แก้ สำหรับเรามันไม่ใช่ความผิดพลาดมันคือบทเรียน เราจะเอามันมาปรับใช้กับชีวิตต่อไปของเราให้ดีขึ้นกว่าเดิมได้อีกเยอะมาก ซิลเชื่อว่าในวันข้างหน้าซิลจะเป็นคนที่ดีขึ้น และเก่งกว่านี้อีก 100 เท่า”
ไม่ได้แอนตี้ความผอม เคยพยายามเป็นสาวผอม ขาว เรียบร้อยแต่ทำแล้วอึดอัด ไม่ใช่ตัวเอง
"เราไม่ได้แอนตี้การผอมนะ เราก็เคยอยากผอม ขาว ผมยาว เรียบร้อยเหมือนกัน เราเคยลอง เคยทำมาแล้วแต่มันไม่ใช่เรา เราทำแล้วเรารู้สึกอึดอัด พอมันถึงเวลาที่เราไม่ต้องคิดมากคิดเยอะ ก็ทำๆ ไปเถอะอย่างน้อยเราโดนด่าทั้งๆ ที่เราเป็นตัวเองมันยังดีกว่าเราโดนด่าทั้งๆ ที่เราพยายามเป็นใครก็ไม่รู้
ซิลเชื่อว่ายังมีผู้หญิงอีกหลายคนมากที่ขาดความมั่นใจ ขาดความกล้าที่จะเป็นตัวเอง กล้าที่จะเฉิดฉายในแบบของตัวเอง เพราะทุกวันนี้สิ่งที่ซิลได้รับไม่ใช่แค่คนอ้วนที่ขาดความมั่นใจ ผู้หญิงที่ผอมไซส์ XS ก็มาขอเข้าแก๊งด้วยเพราะโดนด่าเหมือนกันว่าผอมอะไรเบอร์นั้น คือถึงเราจะมองว่าตัวเองดีแล้ว แต่มันก็จะมีคนที่คอยพูดจาหมาๆ มาถึงให้เรารู้สึกแย่อยู่ดี ซิลอยากจะบอกทุกคนว่าเราเป็นพวกเดียวกัน แค่ต้องไม่ใส่ใจกับคำพูดพวกนี้
ความสวยเท่ากับความมั่นใจ ที่คนๆ หนึ่งมีความมั่นใจในแบบของตัวเอง เขาจะเปล่งประกายและเฉิดฉายออกมา แล้วมันทำให้คนๆ นั้นน่ามอง นี่คือนิยามความสวยของซิล เราไม่มีมาตรฐานว่าแบบนี้คือสวยแบบนี้คือไม่สวย ทุกคนสวยได้หมด ในแบบของตัวเอง อยู่ที่เรามอง แน่นอนว่ามันก็ต้องมีทั้งดีและไม่ดีแต่เราเลือกมองได้ เลือกมองในสิ่งที่เราสวยในแบบของตัวเอง”
ลุกขึ้นมาใหม่ได้เพราะเปิดโอกาสยอมรับให้ตัวเองได้ล้มเหลว และรู้ให้ได้ว่ายังมีวันพรุ่งนี้เสมอ
“หลักๆ เลยคือต้องยอมรับในตัวเองก่อนว่าการที่เราเคยล้มเหลว หรือการที่เราเคยอยู่ในจุดที่ต่ำสุดของชีวิตมันเป็นเรื่องที่โอเคที่เราจะต้องเผชิญ เราไม่จำเป็นต้องเพอร์เฟกต์ตลอดเวลา คนเราควรมีวันที่จะต้องล้ม ต้องท้อ เพราะมันคือสิ่งที่เราจะต้องเจอในชีวิต สิ่งเดียวที่ต้องหนักแน่นคือรู้ให้ได้ว่ายังมีพรุ่งนี้เสมอหายใจเยอะๆ ให้เวลาตัวเองเยอะๆ ในการที่จะพัฒนาตัวเอง ใส่ใจความรู้สึกของตัวเอง มีแค่ตัวเราเองเท่านั้นที่จะรู้ว่าเราจะต้องทำยังไง เราต้องการอะไร เราอยากจะคิด หรือเลือกใช้ชีวิตแบบไหน ฉะนั้นอยากทำอะไรก็ทำ อยากเป็นอะไรก็เป็นในแบบที่เราเป็น”
จากวันนั้นถึงวันนี้ที่ประสบความสำเร็จแล้วได้คุยอะไรกับตัวเองว่า…
“วันนี้มันท่วมท้น มันมีหลายความรู้สึกเกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน บางวันก็ร้องไห้ มันบอกไม่ถูก บอกไม่ได้เลยว่าร้องไห้ทำไม บางวันก็หัวเราะ มีความสุขคนเดียว เหมือนคนบ้า มันมีความรู้สึกอะไรก็ไม่รู้มากมายเกิดขึ้นเต็มไปหมด รู้แต่ว่ามันตื่นเต้น ปนแพนิค บางวันอาบน้ำอยู่ก็ต้องร้องไห้ออกมาเพราะว่ารู้สึกตื่นเต้นและเกร็ง
แต่เราว่ามันเป็นเรื่องดีนะที่เราได้ปล่อยอารมณ์เหล่านี้ออกมา ได้รู้สึกมัน มันแค่เป็นช่วงชีวิตที่เรารู้สึกว่ามันก้าวกระโดด เรารับมือกับมันไม่ทัน จากวันนั้นเรายังไม่มีอะไร แล้ววันนี้เราก้าวขึ้นมาเป็นศิลปินเอเชียก็เป็นอะไรที่สนุกดี
ก็เป็นอีกหนึ่งจุดพีกของชีวิต ซิลพลิกมาไกลอยู่ กลายเป็นว่าที่ผ่านมาเฉยๆ เลย จะไม่เอาเรื่องในอดีตมาเป็นปมให้กับตัวเองแล้ว ที่ผ่านมาเราเคยคิดนะว่ามันเป็นปม ทำไมเราไม่ได้ดีทั้งๆ ที่เรารู้ตัวว่าเรามีความสามารถ ทำไมถึงไม่มีใครเห็น จนเรารู้สึกด้อยค่า รู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่า ตอนนี้ไม่รู้สึกแบบนั้นแล้ว รู้สึกแค่ว่าเรามีดีอะไรก็โชว์มันออกมา แล้วก็ทำมันออกมาให้เต็มที่”
ฝันต่อก้าวขึ้นเป็นศิลปินระดับโลก
“แม้วันนี้เรามาถึงในจุดที่ฝันแล้ว แต่ก็จะไม่หยุดพัฒนาตัวเอง จะผลักดันและพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ จะทำให้ต่างชาติยอมรับในตัวเรา มองเห็นเราให้ได้ นี่ก็มาไกลจากความฝันมากแล้ว แต่เราก็จะพัฒนาตัวเองมากกว่าที่ให้ไปอีกจุดใหม่ๆ ให้ได้ เป้าหมายใหม่ที่ฝันเอาไว้ก็คือศิลปินระดับโลก แต่ยังไม่ปักธงนะอยากให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ ค่อยๆ ให้มันเป็นไป ทุกวันนี้โลกเขาก็วัดคุณค่ากันที่ผลงานแล้ว ไม่ได้วัดกันที่ชีวิตส่วนตัว มันเป็นเรื่องของเราที่เราจะใช้ชีวิตแบบไหน มันไม่ควรจะมาก้าวก่ายกัน”
แนะวิธีรู้จักตัวตน สร้างคุณค่าให้ตัวเองด้วยการให้เวลาในการสำรวจตัวเองให้มากๆ เรียนรู้ที่จะลองผิดลองถูก ผิดก็เริ่มใหม่จนเจอทางที่ใช่ของตัวเอง
“อยากฝากถึงทุกคนที่คิดว่าตัวเองไม่มีค่า ซิลเคยเป็นคนแบบนั้นมาที่คิดว่าตัวเองไม่มีค่าเลย มองไม่เห็นตัวเอง จนวันนี้ซิลคิดว่าทุกคนที่ได้เกิดมามีค่าในแบบของตัวเอง เราจะมีความเฉพาะเจาะจงของแต่ละบุคคลที่ไม่เหมือนกัน ฉะนั้นใส่ใจกับรายละเอียดของตัวเองเยอะๆ ให้เวลากับตัวเองเยอะๆ ที่จะไปสำรวจทั้งในแง่ของความชอบส่วนตัว ในแง่ของการแต่งตัว สิ่งที่ชอบและไม่ชอบ ไปลองไปสำรวจมาให้หมดแล้วทำมันออกมาโดยที่ไม่ต้องกลัวว่าใครจะคิดยังไง ถ้าทำแล้วมันผิดก็แค่เริ่มใหม่ อย่าไปคิดให้มันเยอะทำให้มันง่ายๆ ลองแล้วผิดเริ่มใหม่ มันยังมีวันพรุ่งนี้ให้เราแก้ไขอยู่ เรียนรู้ไปในทุกๆ วัน”