xs
xsm
sm
md
lg

(ชมคลิป) ล้วงหมดไส้ “กาละแมร์” ฝ่าวิกฤตดรามา ไม่ตาย ไม่หาย ไม่จม เตรียมคัมแบ็กหน้าจอ คืนกำไรให้สังคม

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เจอวิกฤตหนักสุดอ่วมสุดในชีวิตเลยก็ว่าได้ สำหรับพิธีกรสาว “กาละแมร์ พัชรศรี เบญจมาศ” ถ้าเป็นคนอื่นอาจเสียหลัก แต่สำหรับกาละแมร์กลับลุกขึ้นสู้ แม้ก่อนหน้านี้จะเฟดตัวเองออกจากหน้าจอก็ตาม ล่าสุดกาละแมร์เปิดใจให้ MGR Online ฟังแบบสบายพร้อมรอยยิ้มที่คุ้นเคยว่า กว่าจะผ่านตรงนั้นมาได้ต้องเสียน้ำตา แต่มันก็คุ้มค่ากับความอดทน ย้ำตอนนี้เธอได้ใบรับรองจากแล็บยืนยันว่าผลิตภัณฑ์ของเธอเป็นจริงตามที่ลูกค้าได้สัมผัสมา

วันนี้กาละแมร์กลับมาพร้อมรายการใหม่ “แมร์มาเหมา” การคืนจออีกครั้งกับบ้านหลังเดิมอย่างช่อง 3 ด้วยคอนเซ็ปต์รายการช่วยเหลือพ่อค้าแม่ค้าในช่วงยามวิกฤตเช่นนี้ เกิดจากคำสั้นๆ “ยิ่งให้ยิ่งมีความสุข” พร้อมความสุขของผู้หญิงคนนี้ในวัย 45 ที่มีเพียบพร้อมทั้งเงินทอง ชื่อเสียง จากนี้ไปเธอต้องการอะไร แมร์พร้อมเคลียร์ให้ทุกคำตอบ




“ช่วงที่ผ่านมาถือได้ว่าเป็นช่วงของการที่เราได้เรียนรู้ เติบโต และได้มีการพัฒนาทั้งตัวเองและพัฒนาองค์กร มันทำให้เราได้มีเวลาที่จะพัฒนา อย่างเช่น เราได้มีโอกาสทำงานวิจัยซึ่งเป็นงานวิจัยลงลึกในระดับเซลล์ยังไม่เคยมีใครทำมาก่อนในเรื่องเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ก็ลงทุนทำกันไปหลายล้านเหมือนกัน เพื่อเราอยากรู้ว่าเมื่อรับประทานเข้าไปแล้วมีผลยังไงต่อเซลล์ตรงไหนอะไรยังไงบ้าง ส่งไป 5 ตัวเกือบ 10 ล้านเพื่ออยากรู้ว่ามันออกฤทธิ์ตรงไหนยังไงกับอวัยวะต่างๆ บ้าง ซึ่งผลออกมาก็เป็นไปตามที่สรรพคุณต่างๆ ที่เราเคยทำ มันก็เป็นการสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคมากขึ้น ทุกอย่างมันมีการเรียนรู้ มีการเติบโต และมีการพัฒนา ชีวิตต้องดำเนินต่อไปค่ะ

ซึ่งวิกฤตที่แมร์เจอ แมร์ว่ามันไม่ใช่แค่แมร์คนเดียวที่เจอเรื่องนี้ แมร์ว่าทุกอย่างอะไรที่เกิดขึ้น ย่อมดีเสมอ เราก็ต้องปรับเมื่อมันเกิดเรื่องนี้ขึ้นแล้วเราได้อะไรจากมัน เวลาที่แมร์เกิดปัญหาอะไรขึ้น แมร์จะถามตัวเองก่อนเสมอเลยว่า เรื่องนี้ต้องการจะมาบอกอะไรเรา ต้องการทำให้เราเติบโตขึ้นในทิศทางไหน เราได้อะไรจากเรื่องนี้บ้าง มันต้องมีเวลาที่มานั่งตกผลึกตรึกตรองคิดใคร่ครวญและมีสติกับมัน

ดังนั้นพอเรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นโควิดหรือเรื่องตัวเองอะไรก็ตาม ทุกอย่างเข้ามาเราต้องมานั่งคิดแล้วว่าเราจะเอายังไง เรื่องนี้สอนอะไร เราได้อะไรจากเรื่องนี้บ้าง เรียนรู้เข้าใจแล้ว แก้ไขพัฒนามันแล้วไปต่อ เพราะชีวิตมันจะต้องไปต่อ เมื่อเราได้มองชีวิตตัวเองแล้วมองไปชีวิตคนอื่น เราสามารถทำอะไรให้คนอื่นได้อีกนอกจากเรื่องของตัวเองแล้ว

เพราะฉะนั้นในช่วงโควิดที่ผ่านมา เราอยู่บ้านแต่จะเห็นทางโซเชียลมีเดียต่างๆ ตลอดว่าตรงไหนอยากขอความช่วยเหลือบ้าง แล้วแมร์ยิ่งเข้าใจในความหมายของการเป็นผู้ให้มากขึ้น แล้วแมร์ตระหนักและรู้ซึ้งมาตลอดว่าเราเป็นเราทุกวันนี้ เป็นกาละแมร์ทุกวันนี้ คือเราได้รับความรักและความเมตตาจากทุกคนเยอะมาก ดังนั้นเมื่อเขาให้เรา แล้วในวันที่เราพร้อมแล้วในวันที่หัวใจเรามันเติมเต็ม เราก็อยากจะให้เขากลับ เพราะฉะนั้นยิ่งให้เขาเราก็ยิ่งได้ แมร์ก็เลยทำเรื่องเหล่านี้มาเรื่อยๆ

ทุกอย่างเป็นไปในแนวโน้วที่ดีค่ะ อย่างที่บอกทุกอย่างเกิดขึ้นดีเสมอ แล้วมันทำให้องค์กรเราพัฒนามากขึ้น มันทำให้ตรงนี้ต้องมีการเพิ่มเติมบุคลากร ตรงนี้ต้องแก้ไขวิธีการ ทำให้ทุกอย่างได้เติบโตขึ้นค่ะ อีกอย่างก่อนหน้านี้เราก็ไม่รู้ว่าต้องทำยังไง แมร์ว่าทุกอย่างเวลาจะเข้ามา มันก็ต้องตั้งสติ เกิดอะไรขึ้นเรื่องนี้เข้ามายังไงจริงไม่จริง แล้วเราต้องทำยังไง แมร์ว่าเคสบายเคส ไม่สามารถที่จะตั้งไว้ก่อน ไม่รู้จะตั้งยังไงเหมือนกันเพราะเราไม่รู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ตั้งอย่างเดียวคือตั้งสติ”

กว่าจะยิ้มได้อีกครั้ง ต้องเสียทั้งน้ำตาไปเท่าไหร่? แต่ “ชีวิต” ก็ต้องเดินต่อไป ใช้ความอดทนเป็นที่ตั้ง!

"โอ้โห พูดเลยจะว่ามันส์มันก็มันส์นะ แต่ว่ามันมันส์แบบเลือดและน้ำตาเลยนะมันก็มาหมด แต่ว่าทุกชีวิตมันต้องเดินต่อ แน่นอนอย่างแรกมันคือการตั้งสติก่อนว่าเกิดอะไรขึ้นกับเรา เสียใจทำไม ทุกข์ทำไม เศร้าทำไม สาเหตุมันคืออะไร มันต้องมานั่งคุยกับตัวเองเลย มีสติแล้วนั่งคุยกับตัวเอง เรียนรู้แล้วรู้เรื่องแล้วว่ามันเกิดขึ้นเพราะอย่างนี้แล้วเราต้องทำยังไงต่อ การแก้ไขมันคืออะไร เรายังขาดตรงนี้เพิ่มผลวิจัยเข้ามา เรียนรู้การอดทนรอคอย เพราะผลการวิจัยแต่ละอย่างไม่ใช่ว่าวันสองวันได้ เพราะฉะนั้นมันต้องรอเกินครึ่งปีที่เราต้องอดทน เราอยากรู้ว่าสิ่งที่ลูกค้าบอก แล้วผลทางวิทยาศาสตร์ออกมามันเป็นยังไง ในวันที่ผลการวิจัยออกคนทั้งบริษัทก็เฮ แล้วเราจะกลับมายิ้มอีกครั้ง เพราะฉะนั้นมันต้องอดทนให้ได้และผ่านมันไปให้ได้ และมีสติอยู่กับปัจจุบันในสิ่งที่ทำอยู่เสมอ และที่สำคัญการทำธุรกิจมันมีเรื่องให้แก้ไขปัญหารายนาทีก็มี รายชั่วโมงก็มี เพราะฉะนั้นมันต้องอยู่กับปัจจุบันตลอด

ในส่วนของเรื่องการทำบุญ คือแมร์ทำไป แมร์ไม่ได้คิดหวังอะไรเลย เราทำเพราะเราอยากทำ ล่าสุดมีเว็บหนึ่งมารวบรวมว่าไปทำอะไรมาบ้าง เราก็งงว่านี่เราทำเยอะขนาดนี้เลยเหรอ เป็นร้อยที่เลยเหรอเขาเอามาจากไหน แต่ทุกครั้งในการได้ช่วยเหลือ หรือว่าทำบุญไป สิ่งแรกที่ได้เลยคือ เราสบายใจ เงินของเราที่หามาได้มันมีคุณค่า เรารู้สึกว่าชีวิตมันมีคุณค่าที่เราได้ลืมตาตื่นมา เพราะฉะนั้นในการทำบุญหรือการช่วยเหลือ คนถามว่ามันช่วยให้พ้นวิกฤตไหม แมร์ว่ามันก็ช่วยนะ มันก็ช่วยในแบบว่า เราก็สบายใจในการที่เราจะทำสิ่งนี้ และมันทำให้รู้ว่าเป้าหมายของการมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร และที่สำคัญเวลาที่เราเจออุปสรรคมันทำให้เราไม่ท้อถอยง่ายๆ เพราะเรารู้ว่าถ้าเราประสบความสำเร็จหนึ่งคน หรือว่าการที่เราทำเป้าหมายเราสำเร็จแล้วมันจะมีอีกหลายคนที่ได้รับประโยชน์จากเรา

ซึ่งการทำบุญ แมร์ว่าอย่างน้อยมันช่วยเรื่องจิตใจเรา และมันทำให้เราคิดแต่เรื่องดีๆ และทำเรื่องดีๆ มันก็เป็นบุญอย่างหนึ่ง ทำให้เราทำสิ่งที่มีประโยชน์ต่อไป ไม่มาคิดหมกมุ่นคิดลบคิดร้าย มันจะไม่ได้เป็นอย่างนั้น เราก็มีแพลนทำไปเรื่อยๆ ตอนแรกคิดถึงขนาดจะทำมูลนิธิเลยนะ เคยไปถามรู้สึกว่าเรื่องมันเยอะเหมือนกัน ยุ่งยากมากเลย งั้นก็ไม่ต้องแล้วกัน อยากทำก็ทำไม่จำเป็นต้องมาแบบมูลนิธิชื่อนี้ เอาเป็นว่าเราสบายใจทำตรงไหนเราก็ทำดีกว่าค่ะ”

สรุป “ของดีจริง” หรือว่า “เรามูเก่ง” !!

“แหม...เราจะไปบอกว่าเราเก่งอย่างเดียว เผื่อสมมติว่าท่านให้มาเดี๋ยวท่านเอาคืนไง คือเราเต็มที่ ทำผลิตภัณฑ์ให้ดี ซื่อสัตย์กับลูกค้า เอาใจเขามาใส่ใจเรา เรื่องนี้เราถือสามาก แมร์ว่าเอาเราพออยู่ได้ แล้วลูกค้าเขายังได้กินต่อเนื่อง เขาจะได้สุขภาพดีกันต่อไป

ก็โอเคเจอกันครึ่งครึ่ง ถามว่ามูไหม แน่นอนค่ะคุณ คนทำธุรกิจอยู่ที่ว่าจะพูดไม่พูด แมร์ว่ามันเป็นเรื่องของความมั่นใจ สิ่งที่ช่วยเหลือทางจิตใจเรา แล้วแมร์มานั่งวิเคราะห์ด้วยว่าเวลาเราไปสถานที่ต่างๆ วัด ศาลเจ้า หรือสิ่งใดก็ตามที่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สถานที่เหล่านี้เวลาไปอย่างแรกเลยที่เราต้องรู้สึกคือเราสบายใจ บวกกับความมั่นใจที่เรามีอยู่เสมอและเชื่อในศรัทธาอะไรต่างๆ มันยิ่งทำให้เรามีแรงกำลังในการที่จะทำเป้าหมายเราให้สำเร็จและเป็นจริง เพราะฉะนั้นแมร์ก็รู้สึกว่ามันไม่มีอะไรเสียนะ มีแต่ได้กับได้ แล้วแมร์เชื่อว่าหลายคนที่เขาทำแล้วสำเร็จ ทำแล้วปัง เขายิ่งให้ เพราะแมร์เรียนรู้แล้วว่ามันยิ่งให้มันยิ่งได้ อย่างน้อยได้กับตัวเราเองเลย พอเราจิตใจดี เราสบายใจ เรามีแรงไปทำต่อ”

จากเป็น “ผู้ให้” กลายมาเป็นรายการ “แมร์มาเหมา”

“ที่ทำ ‘แมร์มาเหมา’ เกิดจากการที่เราช่วยคนมาเยอะแล้ว พอจะทำรายการต้องทำอะไรที่เราอยากทำมากๆ และเราไม่เคยทำมาก่อน ก็เลยคิดทำรายการนี้ขึ้นมา การทำเพื่อออกสื่อมันมีนัยยะสำคัญ แรงที่เราช่วยได้แค่ 1 ร้าน เมื่อมันออกสื่อไปแล้วคนจะเห็นเยอะมากขึ้น เขาจะรู้จักร้านนี้มากขึ้น ซึ่งแมร์เชื่อว่ารายการนี้เป็นรายการเล็กๆ รายการหนึ่งออกไปให้กำลังใจคนทำมาค้าขาย

เพราะในฐานะคนทำมาค้าขาย คนทำธุรกิจ เรารู้เลยว่าสิ่งที่มีความสุขที่สุดคือการได้มีลูกค้ามาซื้อ ดังนั้นการได้ออกไปลงพื้นที่จริงมันทำให้แมร์ได้เห็นถึงชีวิตความเป็นอยู่ของคนจริงๆ อีพีแรก ป้าคนหนึ่งขายขนมเบื้องไส้ทะลักอันละ 10 บาท แล้วก็ซื่อสัตย์กับลูกค้าตลอดให้ไส้เยอะตลอด แล้วป้าอายุจะ 70 มีไม้เท้าแล้วแกพยายามหลบ เราก็ถามว่าป้าเป็นอะไร ป้าบอกไม่เป็นอะไรหรอกมันก็ตามประสา แต่จริงๆ ป้าเขาปวดสะโพกกับปวดเข่า เขาต้องยืนตั้งแต่ตีสี่ที่เขาลุกขึ้นมาทำไส้ต่างๆ จน 6 โมงเย็น การที่เราไปเหมาของเขาหนึ่งวันให้เขาได้กลับบ้านตอนเที่ยง อย่างน้อยมันเหมือนเป็นของขวัญชีวิตวันหนึ่งว่าไม่ต้องยืนขายของถึงเย็นแล้ว

และนอกจากแมร์มาเหมาแล้ว จะมีแมร์มามู คือมีคนถามแมร์เยอะมาก มีคนตั้งชื่อให้แล้วว่า แมร์มามู คนชอบถามแมร์เยอะมากว่าไปไหว้ที่ไหน ไปไหว้ยังไง คราวนี้ก็เลยคิดว่าในเมื่อคนไทยกับวัฒนธรรมนี้ยังไงมันก็อยู่กันตลอดแหละ ไปไหนเจอสิ่งศักดิ์สิทธิ์เราก็ยกมือไหว้ อย่างน้อยเคารพผู้ใหญ่ไว้ เพราะฉะนั้นแมร์ว่านี่เป็นสิ่งที่ยึดเหนี่ยวคนไทย และเป็นสิ่งที่เป็นกำลังใจให้เราได้สู้ฝ่าวิกฤตกันต่อไป เพราะฉะนั้นย่านมูและย่านเหมาจะอยู่ใกล้ๆ กัน ทำไปพร้อมกันในรายการเดียวกัน แมร์มาเหมาเสร็จก็มีแมร์มามู ให้เห็นถึงว่าแรงกายก็ใช้เต็มที่เต็มเหนี่ยว แต่แรงใจก็ไม่ละเว้นนะ ก็คือช่วยทุกทาง”

การ “คืนจอ” อีกครั้ง คือตัวตนจริงๆ ของ “กาละแมร์”

“เพราะว่าแมร์คิดถึงคนดู ไปไหนคนก็ยังถามอยู่ตลอดเวลาเมื่อไหร่ อยากเห็นในรายการทีวี แมร์รู้สึกว่าแมร์ได้มีพื้นที่สนุกของเรา เพราะการทำธุรกิจมันเป็นเรื่องจริงจัง ประชุม ต้องตัดสินใจ ขอมีพื้นที่หน่อย มีความสุขของเรา แล้วก็ได้ไปเจอคนอย่างที่เราอยากเจอที่้เราสนุกได้ช่วยเขาทำแล้วมีความสุข นอกเหนือจากว่าอีกพาร์ตหนึ่งของชีวิตที่เรามีเรื่องต้องรับผิดชอบ

เราก็ได้ทำในส่วนนี้ที่เราสนุกของเรา ซึ่งจะได้ดูกันแล้ววันพุธที่ 17 พ.ย. นี้เป็นตอนแรก ห้าทุ่มทางช่อง 3 กด 33 ทุกวันพุธ นอกจากนี้ก็มีรายการอื่นติดต่อมานะ แต่ว่าก็ยังไม่ได้ตกปากรับคำเพราะว่าในหลายๆ รายการมีข้อจำกัดเช่น ต้องเป็นรายการสดบ้าง ถ้าสด 5 วัน ดิฉันก็ไม่ไหวค่ะ ดิฉันก็บินบ่อยกว่าแอร์ก็กาละแมร์นี่แหละค่ะ (หัวเราะ) เราก็มาดูชีวิตส่วนตัวเราว่าจากงานทำบริษัทแล้วเรายังไหวไหมกับการที่ไปทำรายการต่อ เดี๋ยวดูในความเหมาะสมว่าในเนื้อหารายการได้เข้ากับเราจริงๆ นะ (เป็นรายการใหม่หรือรายการที่เราเคยทำมาแล้ว?) เป็นรายการใหม่ค่ะที่ติดต่อมา”

มีทุกอย่างพร้อมขนาดนี้ “ความสุข” แท้จริงของ “กาละแมร์” คืออะไร

“เราอายุ 45 แล้ว พอวันเกิดอายุ 45 เราก็มานั่งคิดกับตัวเองเราได้อะไรทุกอย่างแล้ว คือคุณอยากได้อะไร เราเป็นคนชอบคุยกับตัวเอง คุณกาละแมร์คุณอยากได้อะไรอีก คุณได้ทุกอย่างที่ต้องการแล้ว ส่วนเรื่องผัวยกไว้นะ ไม่ได้ซีเรียส มีก็ขอให้ดี ถ้าไม่ดีก็ไม่อยากจะมี แต่ว่าที่ผ่านมาก็ได้ทุกอย่างแล้ว

ก็เลยคิดว่าชีวิตนับจากนี้เราจะใช้ชีวิตให้เป็นประโยชน์ที่สุดเพื่อที่จะได้ช่วยเหลือคนอื่นอย่างเต็มกำลังความสามารถของเรา และแม้ว่าเราจะประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะได้ชื่อเสียง เงินทอง จะสำเร็จในหน้าที่การงาน หรือคุณจะได้อะไรก็แล้วแต่ แต่สิ่งที่เราได้มามันจะเป็นประโยชน์ต่อคนอื่นต่อไป เพราะสำหรับเรามันเลยจุดนั้นมาแล้ว มันเลยจุดที่เราอยากได้อะไรอีก ไม่ได้มีอะไรที่จะทำเพื่อตอบสนองตัวเองอีก

แต่ถ้าจะได้อะไรมาบางอย่าง เงินทองชื่อเสียงอะไรก็แล้วแต่หรือว่างานที่ประสบความสำเร็จ เพื่อที่เราจะได้ไปบอกเล่าให้คนอื่นฟังว่า คุณมันมีคนทำได้จริงๆ นะ ถามว่ามันยากไหม มันก็ยาก แต่มันไม่ยากเกินความสามารถถ้าคุณตั้งใจทำเหมือนคนเคยไปเหยียบดวงจันทร์ได้แล้วคราวนี้คนจะรู้ถึงวิธีการไปดวงจันทร์ได้ มันก็เหมือนเราถ้าวันนี้เราเห็นคนหนึ่งเขาประสบความสำเร็จ เราก็ดูเขาทำได้งั้นเราก็มีโอกาสทำได้เช่นเดียวกัน

ถ้าคนอย่างกาละแมร์ทำได้ คุณรู้จักกาละแมร์มา 20 กว่าปี หรือบางคนรู้จักเรามานานกว่านั้นเป็นเพื่อนเรามา 40 กว่าปี มันก็คือเด็กตัวดำๆ คนนั้นแล้ววันนี้มันทำได้ ดังนั้นเราก็ต้องทำได้สิ แล้วถามว่าเรื่องเขาเจอน้อยเหรอ ไม่น้อยนะ แต่มันก็ยังไม่ตาย ยังลุกขึ้นมาใหม่แล้วมันก็ยังไปต่อได้ แมร์ว่าการมีชีวิตอยู่ต่อของคนๆ หนึ่งแล้วทำชีวิตให้สำเร็จ มันจะมีประโยชน์ต่อคนอื่นต่อไป แมร์ก็เลยตั้งใจว่าหลังจากอายุ 45 ของแมร์เป็นต้นไปมันคุ้มค่าแล้ว เพราะฉะนั้นในส่วนตัวเราไม่ต้องการอะไรแล้ว ชีวิตที่เหลืออยู่เราจะทำเพื่อเป็นประโยชน์ต่อคนอื่นให้สูงสุด”













กำลังโหลดความคิดเห็น