“แอม เสาวลักษณ์” เปิดใจ 2 ปีช่วงโควิดงานหาย เงินหด ต้องปรับทัศนคติ ความคิด มุมมองหลายๆ อย่างเกี่ยวกับโรคระบาด การใช้ชีวิตใหม่หมด ยังคงต้องกินยาโรคซึมเศร้าอย่างต่อเนื่อง เพราะโรคนี้ไม่เคยหายไปจากชีวิต บอกทุกวันนี้ได้เพ้นท์กระถาง เพ้นท์บอร์ดสร้างรายได้เสริม แต่ไม่ได้สร้างความสุข แต่ทำแล้วให้รู้สึกว่าชีวิตจะได้มีอะไรทำให้ผ่านไปได้แต่ละวัน
ช่วง 2 ปีที่ผ่านมากับภาวะโควิดที่ระบาดไปทั่วโลก อาชีพที่กระทบหนักๆ อีกหนึ่งอาชีพก็คงหนีไม่พ้นศิลปินนักร้อง อย่างนักร้องดีว่าของวงการอย่าง “แอม เสาวลักษณ์ ลีละบุตร” ก็เป็นอีกคนที่ออกมายอมรับว่างานทุกงานโดนแคนเซิลหมด รายได้เป็นศูนย์ โชคดีที่ช่วงหลังมานี้สถานการณ์เริ่มคลี่คลาย เริ่มมีงานเข้ามาบ้าง และที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน 2564 นี้ ก็คือ The Nightclub Concert Ep.4 สาว สาว สาว Threegether
แต่ก่อนหน้านั้นเจ้าตัวก็หันมาเริ่มเพ้นท์กระถาง เพ้นท์สเก็ตบอร์ดสร้างรายได้เสริม ซึ่งสาว แอม เผยว่าช่วงที่โควิดระบาดหนักๆ ต้องคอยนั่งลุ้นตลอดว่าจะได้ทำงานไหม หรืองานจะโดนแคนเซิลหรือเปล่า ซึ่งผลก็คือไม่เหลือสักงาน
“ก็หมดเลยค่ะ เริ่มจากที่แรกๆ ก็ยังมีลุ้นกันตอนที่มันมาใหม่ๆ ว่าพอถึงเวลานั้นจะค่อยยังชั่วหรือยัง จะได้ไปไหม งานถัดไปเป็นยังไง และจริงๆ เราก็มีแพลนก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่องขึ้นที่จะไปนิวซีแลนด์ ไปโน่นนี่ เพื่อจะไปเที่ยวด้วย เราก็ลุ้นกันมาตลอดเลยจากการที่จองโน่นนี่ไว้ว่าสรุปแล้วมันจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ไหม เราจะได้บินหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ คือทุกๆ อย่างเลยค่ะ ทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวก็ถูกแคนเซิลไปทีละอย่าง จนกระทั่งปิดทั้งหมด ก็ต้องปรับตัว ปรับชีวิตใหม่หมดเลย
รายได้หายไปหมด (หัวเราะ) แต่เราก็ยังโชคดีอย่างนึงคือไม่ใช่คนที่เป็นพวกชอบแบรนด์ ชอบยี่ห้อ ตั้งแต่เด็กจนโตก็หลายปีแล้ว ไม่ค่อยเสียงตังค์ไปกับของมียี่ห้อต่างๆ ไม่ได้ใช้ของแบรนด์เนม ไม่ค่อยอยู่ในความสนใจของเราเลย ก็เลยรู้สึกว่าเรายังโชคดีตรงนี้ เราไม่ใช่เป็นคนแต่งตัว ไม่ใช่คนชอบช้อปปิ้ง ชอบซื้อของแพงหรืออะไร เราก็อยู่อย่างที่เคยอยู่ เพียงแต่เพิ่มเติมการระวัง เพราะมันมีโรคระบาดเกิดขึ้น และแน่นอนว่าก็ต้องดูเนอะ จากเมื่อก่อนเราจะรู้ว่าเราใช้ตรงนี้เดี๋ยวเราไปทำงานเราก็จะมีมาทดแทน แต่ว่าตอนนี้บอกตรงๆ เลยทุกคนก็ต้องดูแบงก์กิ้งของตัวเองที่มันลดลงๆ เพราะมีแต่รายจ่าย ส่วนรายได้ก็น้อยนิด ถ้าพูดถึงงานที่เคยทำคือแคนเซิลไปเลย 2 ปี”
ยังคงต้องกินยาโรคซึมเศร้าอย่างต่อเนื่องจนถึงตอนนี้
“พอดีว่าเราก็เป็นอยู่แล้วก่อนที่จะมีโรคระบาด ก็ยังมียาทานจากคุณหมอ กลายเป็นว่าความทุกข์หรือความวิตกกังวลของเรามันก็ไม่ได้ต่างจากคนอื่น และครั้งนี้มันเป็นไปทั่วโลก มันไม่ใช่ว่าแค่บ้านเรา ครอบครัวเรา เมืองเรา ประเทศเรา เพราะฉะนั้นไม่มีใครที่จะไปห้ามสิ่งนี้ มันก็เหมือนเป็นภัยพิบัติอย่างหนึ่งเหมือนกัน ทำให้เราเข้าใจมากขึ้นถึงคำว่าเพื่อนร่วมทุกข์ สัตว์โลกร่วมทุกข์ อันนี้เข้าใจมากขึ้นเยอะ เพราะมองไปทางนี้ก็ตายเยอะ ทางนั้นก็ไม่มีที่ฝัง ทางนี้ก็ไม่มียารักษา เพราะฉะนั้นก็ต้องพยายาม
ไอ้ความซึมเศร้ามันมักจะเกิดจากการที่เราวิตกกังวลเรื่องตัวเองมากๆ ว่าเราจะทำยังไง เราแพนิค ทีนี้การดูทั่วโลกหรือดูภาพรวมมันก็จะทำให้เรารู้สึกว่ามันไม่ใช่เราคนเดียวที่ต้องเจอกับเหตุการณ์แบบนี้ แล้วคนอื่นเขาทำยังไงกันล่ะ เพราะฉะนั้นเราก็ไม่ควรที่จะโวยวาย หรือบ่นว่าอะไร เพราะไม่มีใครอยากให้มันเกิดขึ้น แต่มันเกิดขึ้นไปแล้วเราก็ต้องแก้ปัญหา หรือปรับการใช้ชีวิตของเราไป บอกตรงๆ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าตังค์หมดแล้วจะทำยังไง ก็ยังไม่รู้ ตอบไม่ได้ เพราะไม่ได้เก็บไว้เยอะแยะ ไม่ได้ร่ำรวยอะไรแบบนั้น
ทุกวันนี้ก็ยังทานอยู่ค่ะ ปัจจุบันคิดว่าการไปหาจิตแพทย์มันไม่ค่อยน่ากลัวเหมือนสมัยก่อน จริงๆ แอมสมควรมีจิตแพทย์ตั้งแต่เด็กเลยแหละ (หัวเราะ) เพราะบ๊องตั้งแต่เด็ก แต่สมัยนั้นมันไม่มีจิตแพทย์เด็ก เราไม่เคยได้ยินคำว่าจิตวิทยาเด็กหรือการช่วยเหลืออะไรแบบนี้ มันจะมีแต่แค่คนดี คนบ้า ถ้าไปหาจิตแพทย์แปลว่าบ้า แต่ปัจจุบันนี้ทุกๆ คนก็รู้สึกคุ้นกับคำนี้มากขึ้น เราก็เห็นว่าความแปลกประหลาดมันน้อยลง แอมเฉยๆ นะ คนอื่นเขาจะปิดบังหรืออะไร แต่เราเฉยๆ กับการเดินไปเคาท์เตอร์ ไปหาจิตแพทย์ ก็เมื่อมีหมอให้รักษา เหมือนเราปวดกระเพาะเราก็ต้องไปหาหมอกระเพาะ เราก็มองว่ามันเป็นเรื่องปกติมากๆ ไม่ได้มีอะไรเสียหาย ไม่ได้ไปปล้นใคร (หัวเราะ)”
หันมาเพ้นท์กระถาง เพ้นท์บอร์ด ทำให้แต่ละวันผ่านไปได้
“ถ้าจะพูดถึงชั่วโมงนี้ พูดถึงความสุข คิดว่ามันก็คงอึมครึมๆ คงไม่มีว่าสุขจังเลย ตอนนี้มันไม่มีอย่างนั้น นอกจากสมมติว่าเราปฎิบัติธรรม หรือนั่งสมาธิได้ถึงขั้นสูง ซึ่งหลังๆ มานี่สมาธิวอกแวกเชียว (หัวเราะ) เพราะข่าวมันก็เปลี่ยนไปทุกวัน วันนี้เป็นแบบนี้ พรุ่งนี้เป็นแบบนี้ เราก็ไม่รู้ว่าจะต้องยังไงบ้าง ก็เอาแค่ทนหรือฝ่าฟันกับความทุกข์ที่ทุกคนมีตอนนี้ไปให้ได้ ประคองไปให้ได้โดยที่ไม่ทำตัวเอง หรือไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน แค่นี้ก็รู้สึกว่าเป็นบุญเต็มทีแล้ว
ไม่ต้องหวังหรอกว่าจะสุขที่ไปทำอันนี้ อันนั้นแล้วมีความสุข เพราะไฟลต์บังคับรอบตัวเราจากข่าวสารนี่คือเรียลลิตี้ความเป็นจริงที่เกิดขึ้น มันอาจจะพูดได้ยากว่าฉันไปทำอันนั้น อันนี้แล้วมีความสุข มันจะเหมือนโกหก ลึกๆ แล้วทุกคนต้องกังวลอยู่ทั้งนั้นแหละ แต่แค่เอาวะ คลี่คลาย (หัวเราะ) อะไรก็ได้ที่ทำให้เราผ่านไปในแต่ละวันโดยที่ไม่ลุกขึ้นไปไล่ตีหัวชาวบ้านเขา (หัวเราะ)
คิวกระถางรอยาวถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ มันอยู่ที่เราว่าทำช้าหรือเร็ว เพราะมันไม่ได้ทำได้ทุกวัน คือมันปวดตาด้วยไงคะ เพราะดันอุตริมาทำตอนที่เราก็อายุมากแล้ว ถ้าไม่มีแว่นวันไหนก็ไม่ต้องทำ ปวดตาด้วย ปวดตัวด้วย จริงๆ มันอาจจะดูเหมือนง่ายๆ นะ พี่ก็ป้ายไปปื้ดๆ สิ เดี๋ยวก็ขายได้แล้ว มีคนพูดแบบนี้นะ แต่มันไม่ปื้ดสิ มันเมื่อยนะ (หัวเราะ) มันเหนื่อย มันปวดตาอะไรต่ออะไร แต่มันก็ทำได้ ไม่มีอะไรที่จะต้องบ่น (หัวเราะ) คิวตอนนี้ก็พยายามทำในหนึ่งอาทิตย์ให้มันเสร็จ อย่างเมื่อก่อนไม่ค่อยมีเดตไลน์ ตอนนี้ก็เริ่มสร้างเดตไลน์ให้ตัวเองว่างานควรจะเสร็จอะไรบ้าง”
ปลื้มใจที่แฟนๆ ยังไม่ลืมกัน
“อย่างแรกเลยขอบคุณที่เรายังไม่ลืมกันนะคะ ถ้ายังมีคนถามถึงหรือว่ามีคนจำเราได้ ก็คือความปลื้มใจแล้วล่ะที่ยังถามถึง อยากฟังเพลงอยู่ หรือยังเปิดเพลงของเราอยู่ หรืออยากฟัง ถามมาอยู่เรื่อยๆ ว่าเมื่อไหร่พี่แอมจะร้องตรงนั้น ตรงนี้ บางทีอยู่บ้านก็อัดเล่นๆ ในไอแพดแล้วก็โพสต์ไปบ้าง ก็ร้องไปเรื่อยเปื่อย เผื่อให้น้องๆ หรือแฟนเพลงได้รู้สึกว่ายังใกล้กันอยู่บ้าง
แต่ทั้งหมดแล้วก็คือขอบคุณทุกคนจริงๆ เพราะว่าชั่วโมงนี้ที่เราสวดมนต์มา บทสวดแผ่เมตตามา ก็สวดมาตั้งนานหลายปี แต่กี่ครั้งกันที่เราจะรู้สึกว่ามันใช่ มันเข้าใจลึกซึ้ง แต่ครั้งนี้เราเข้าใจเพื่อนร่วมโลกลึกซึ้งยิ่งขึ้น ที่มีความทุกข์ร่วมกัน เราก็พยายามอย่าเบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย เพราะทุกคนก็ทุกข์เหมือนๆ กัน อันนี้มันทำให้เราเข้าใจบทสวดที่เราท่องเป็นนกขุนทองกันมา จนตอนนี้พอฟังสวดแล้วมันเรียลขึ้นมากเลยค่ะ”