“พีท ทองเจือ” เผยอาการ “น้องโรเตอร์” ดีขึ้นมาก ตอนนี้ใช้วิธีกายภาพบำบัดและไคโรแพรคติก รับหมอเก่งสุดในไทย 5 คนพูดตรงกันต้องผ่าตัด นอยด์หนักหวั่นลูกกลับมาไม่เหมือนเดิม พึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มูเตลู และสวดมนต์ ลั่นปีหน้าเตรียมให้กลับมาแข่งรถเหมือนเดิม เพราะไร้ผลกับอาการบาดเจ็บ ส่วนอาการป่วยของลูกสาวคนโตยังต้องรักษาอยู่ ให้กำลังใจภรรยาที่สุด รักนะจุ๊บๆ
หลังจากที่ “น้องโรเตอร์” ลูกชายคนเล็กของนักแสดงรุ่นใหญ่ “พีท ทองเจือ” ประสบอุบัติเหตุจากเซิร์ฟสเก็ต ทำให้สะโพกกระแทก กระดูกส่วนที่เป็น growth plate ตรงหัวสะโพกเคลื่อนทำให้ขาข้างที่บาดเจ็บลงน้ำหนักไม่ได้ ต้องทำกายภาพและต้องหยุดพักกิจกรรมการแข่งขันทุกอย่าง ล่าสุด พีท ได้ออกมาอัปเดตอาการลูกชายในงานเปิดตัวซีรีส์ KinnPorsche The Series (รักโคตรร้าย สุดท้ายโคตรรัก) ณ สตูดิโอ พีเอ็ม เซ็นเตอร์ ซ.นวลจันทร์ 56 แยก 5 เผยว่าตอนนี้อาการโดยรวมดีขึ้นแล้ว
“ดีขึ้นแล้วครับ ตอนนี้น่าจะครบ 90 วัน คือตามกำหนดการเราจะดูอาการเมื่อครบ 90 วัน ถ้าไม่มีการเคลื่อนเพิ่มเติมของหัวกระดูกที่เคลื่อน แสดงว่าเราทำทุกอย่างถูกทิศทางแล้ว ตอนนี้ทิศทางก็ดีมากๆ เมื่อ 2 เดือน หรือประมาณ 70 วันที่แล้ว เราไปเอ็กซเรย์ ทุกอย่างก็อยู่ในที่ในทาง ไม่มีการเคลื่อนที่เพิ่ม ก็ถือว่าเป็นนิมิตหมายที่ดี ตอนนี้รออีก 2 อาทิตย์ ก็จะเริ่มเข้าสู่กระบวนการรักษาอีกสเต็ปหนึ่ง โดยที่ผ่านมาเรารักษาด้วยวิธีกายภาพบำบัดและไคโรแพรคติก (การรักษาแบบแพทย์ทางเลือกแขนงหนึ่งที่ช่วยปรับลักษณะกระดูกภายในร่างกายให้อยู่ตำแหน่งที่เหมาะสม) โดยที่ทั้ง 2 ทีม ยังไม่มีใครเข้าไปจัดการ ตรงหัวกระดูกที่เกิดเหตุ เหมือนต้องการสร้างกล้ามเนื้อตรงนั้นให้แข็งแรง ทีมจัดกระดูกก็จะดูแลเพื่อให้กระดูกรอบข้างมันพร้อม ตามหมายกำหนดการ 90 วัน ทั้ง 2 ทีมจะเริ่มเข้าไปทำงานตรงนั้นแล้ว
เขาใจสู้มากๆ คือวันที่เป็นวันแรกเขาสั่งวีลแชร์มาเองทางออนไลน์ แล้วมาเก็บเงินปลายทางที่บ้าน 1,280 บาท ผมก็เห็นแล้วว่าเป็นวีลแชร์ที่ไม่โอเค ก็เลยบอกเขาว่าซื้อที่มันแพงๆ กว่านี้ก็ได้นะ เดี๋ยวป๊าซื้อให้ เขาบอกไม่เอา เดี๋ยวเขาก็หายแล้ว เขามีความรู้สึกว่าเขาจะไม่เป็นไปตลอดชีวิต”
ยอมรับการตัดสินใจไม่ให้ลูกผ่าตัดนั้นยาก เพราะทุกหมอแนะนำว่าควรผ่า
“ยากมากครับ เพราะว่าคุณหมอที่เราไปหาทั้ง 5 ท่านเป็นคนที่เก่งที่สุดในเมืองไทย ทุกท่านก็จะพูดเหมือนกันหมดว่าผ่าเลยไหม แต่ผมกับภรรยาก็รวบรวมสติแล้วก็ขอถอยออกมาดูก่อน ว่าปัญหาที่แท้จริงมันคืออะไร หลังจากรักษาแล้วปลายเหตุคืออะไร สุดท้ายภรรยาก็ศึกษาจนได้ไปเจอกลุ่มคนที่เป็นเหมือนกันในประเทศสหรัฐอเมริกา เขาบอกว่าหลังจากผ่าตัดแล้วฝังน็อตไปตามที่โรงพยาบาลแนะนำ หลังจากนั้น 10-15 ปี จะต้องผ่าตัดอีกที และเปลี่ยนหัวกระดูกชิ้นนั้น เพราะมันต้องเสียหายแน่นอน เนื่องจากมันมีน็อตอยู่ แล้วเราเคลื่อนตัวตลอด เราเลยรู้สึกว่ามันไม่น่าใช่วิธีที่จะรักษาของครอบครัวเรา เพราะน้องยังไม่ 13 เลย ยังไม่หยุดการเจริญเติบโต เพราะฉะนั้นขาน้องจะยืดไม่เท่ากัน เราก็เลยสู้ด้วยวิธีอื่น”
บอกอาจต้องรออีก 3 ปีกว่าจะกลับไปเล่นเซิร์ฟสเก็ตได้ปกติ
“อยากให้กลับไปเล่นเหมือนเดิมครับ แต่ว่าถ้าไม่ได้ถูกกำหนดไว้ก็ต้องยอม เพราะว่าปีนี้มีจัดการแข่งขันหลายรายการ อย่างที่สนามของผมก็จัดชิงแชมป์ประเทศไทย โจทย์คือจริงๆ แล้วปีนี้น้องต้องเข้าแข่งทุกรายการ แล้วเราดูแล้วน้องน่าจะอยู่ในลำดับต้นๆ แต่ตอนนี้ก็ได้แต่ยืนดู ถามว่าถอนตัวไปหรือยัง คือตามแผนที่เราวางไว้ อาจจะให้น้องเป็นหนุ่มเต็มที่ น่าจะประมาณ 15-16 ปี เพราะตอนนี้กระดูกเขายังเป็นกระดูกอ่อนหมด ต้องให้กลายเป็นเหมือนผู้ใหญ่ ที่กระดูกมันแข็งแรงเต็มที่
ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าจะรอถึงเมื่อไหร่ แต่เราก็พยายามใจเย็นที่สุด แต่ว่าถ้าลองติดตามไอจีของภรรยา จะเห็นว่าคุณหมอเขาก็ทันสมัยมาก ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็คงสั่งว่าให้เลิกกิจกรรมนี้เด็ดขาด แต่ว่าคุณหมอบอกว่าพรุ่งนี้ให้เอาเซิร์ฟสเก็ตมาด้วยนะ แล้วก็ให้เล่นให้ดู เพื่อจะดูว่ากล้ามเนื้อตรงไหนที่จะต้องใช้ประจำ จะได้บริหารได้ถูกจุด เรียกว่าเป็นเวอร์ชั่นใหม่ของการรักษา น้องนอยด์ไหมเหรอ คนนอยด์คือผมมากกว่า (หัวเราะ) กลัวว่าลูกจะไม่เหมือนเดิม คือเราตั้งความหวัง ความรู้สึกเราคือคงจะต้องใช้ชีวิตอยู่กับสิ่งนี้แหละ แต่ว่าตามแผนน่าจะต้องอีก 3 ปีข้างหน้าถึงจะเล่นได้อย่างเต็มที่ น้องบอกว่าน้องรอได้ แต่สำหรับผมถ้าเล่นกระแทกๆ เหมือนเดิมอาจจะ 3 ปี แต่สำหรับผมปีหน้าอาจจะต้องให้ไปแข่งรถแล้ว ตอนนี้เราหาหมอกายภาพ หมอกายภาพบอกว่าได้ แต่ก็คงต้องรอ
ก็มีพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์บ้าง ถ้าสายมูจะเป็นผม สารพัดครับ ถ้ากลางคืนก็จะสวดมนต์ขอพร ให้มหาเถรทั้งหลายมาช่วยดูแลน้อง เราจะไม่ใช้บนแต่เราขอ เราก็จะสื่อสารกับทุกๆ สิ่งทุกอย่างที่เราทำได้ ก็เป็นที่พึ่งทางใจไปก่อนให้รู้สึกดีขึ้น แต่เรื่องดีขึ้นผมเชื่อนะ อย่างน้อยเราตั้งใจแล้วถ้าทุกอย่างมันกำหนดให้เป็นแบบนี้เราก็ต้องยอมรับมัน ถ้ามันจะต้องหายมันก็ต้องหาย และน้องยังมีไฟตลอดครับ พ่อแม่ก็ให้กำลังใจตลอดครับ ก็คือสู้อยู่แล้วครับ อย่างที่ผมบอกถ้ากลับมาเทิร์นโปรสเก็ตบอร์ดไม่ได้ปีหน้า ก็กลับไปแข่งรถเหมือนเดิม เพราะว่าการแข่งรถมันไม่ต้องกระแทก”
บอกทั้งลูกชาย ลูกสาวป่วยกันหมด
“ตอนนี้ลูกชายก็ป่วยลูกสาวก็ป่วย เดือดมากครับ เราคิดว่าน้องโตแล้วคงจะสบายขึ้น แต่ว่าความรู้สึกและภาระทางความรู้สึกมันก็จะเปลี่ยนไป ตอนนี้น้องเซย่าก็เข้าศิลปากรไปแล้วคนโตที่ไปอยู่เกาหลีมา แล้วก็มิย่าก็เพลงใหม่เสร็จแล้วรอถ่ายเอ็มวี แล้วน้องเตรียมตัวไปเป็นแฟชั่นดีไซเนอร์ เตรียมพอร์ตน่าจะส่งไปที่ฝรั่งเศสและอังกฤษ ส่วนน้องโรเตอร์ก็ออกจากโรงเรียนแล้วต้องมารักษาตัว อาทิตย์หนึ่งรักษาประมาณ 6 วัน ออกมาจากโรงเรียนตอนนี้ใช้โฮมสคูล
คิดว่าน้องจะเรียนตามเพื่อนทันไหมเหรอ ก็คงจะใช้วิธีของน้องเซย่า เพราะน้องเซย่าตอนกลับจากเกาหลี น้องก็สอบจีอีดี คือสอบเทียบได้วุฒิ ม.6 แล้วก็ยื่นพอร์ตเข้าไปจนศิลปากรเขารับ ที่บ้านก็คงจะใช้แพตเทิร์นนี้ในการเรียน เพราะว่าสิ่งต่างๆ ปัจจุบันและวิธีของครอบครัวเรามันน่าจะเหมาะกว่า เราใช้วิธีการเรียนทางเลือก
ส่วนลูกสาวคนโตอาการก็ยังไม่ดีครับ ยังเหมือนเดิม ต้องทานยา ก็ดีขึ้นนิดนึงแต่ว่ามันไม่หายขาด สิ่งที่พังคือระบบเผาผลาญ จากที่ศึกษากันไทรอยด์มันจะลิงก์ตรงมาจากระบบเผาผลาญ แล้วน้ำหนักยังค้างอยู่บนตัวน้อง มันขึ้นมา 14 กิโลแต่ลดลงไปบ้าง แต่ก็ยังค้างอยู่ แล้วก็ถ้าการที่เราตรวจเช็กมันก็จะมีเรื่องมูดสวิง แต่อาการที่ผมเคยร่วงจะไม่มีแล้ว ผมกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิม น้องก็สู้อยู่แล้ว ทุกคนก็สู้ในบทบาทของตัวเอง ก็สนุกมาก ให้กำลังใจภรรยายังไงบ้างเหรอ ผมก็ทำงานหลายอย่างด้วย ต้องไปภาคสนาม คุณเจ็งก็ดูแลน้องๆ สามคน วิ่งไปวิ่งมา ก็เดือดเหมือนกันถ้าโอกาสนี้คุณเจ็งดูอยู่ ก็ให้กำลังใจแล้วกัน รักนะจุ๊บๆ”