พระราชทานเพลิงศพ “แม่ปรางทิพย์” กรณีพิเศษสมเกียรติ “ท็อป-ไทด์” เผยเรื่องขนลุก แม่มาหาเพราะยังเป็นห่วง เล่าความมหัศจรรย์เลข 15 ยันลอยอังคารเถ้ากระดูกทั้งหมดตามคำสั่งเสีย หวังแม่ไปสู่นิพพาน ไม่ต้องเกิดอีก
เมื่อเวลา 17.00 น. วันนี้ (30 ตุลาคม 2564) ได้มีพิธีพระราชทานเพลิงศพ “คุณแม่ปรางทิพย์ บรรลือฤทธิ์”มารดา “บิณฑ์ - เอกพันธ์ บรรลือฤทธิ์”เป็นกรณีพิเศษ หลังเสียชีวิตอย่างสงบด้วยโรคชราในวัย 85 ปี
ขณะที่บรรยากาศเต็มไปด้วยความโศกเศร้าท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาเป็นระยะ มีแขกเหรื่อของครอบครัว และคนที่บิณฑ์-เอกพันธ์เคยให้ความช่วยเหลือต่างเดินทางมาร่วมไว้อาลัยคับคั่ง รวมทั้งคนบันเทิง อาทิ พ่อรอง เค้ามูลคดี, สมบัติ เมทะนี, เล็ก ไอศูรย์, วินัย พันธุรักษ์, อธิวัฒน์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา, ชรินทร์ นันทนาคร, ถั่วแระ เชิญยิ้ม, ทับทิม อัญรินทร์ ธีราธนันพัฒน์, ยิ่งยง ยอดบัวงาม, จั๊กกะบุ๋ม เชิญยิ้ม, ตู่ นันทิดา แก้วบัวสาย, , นุ้ย เกศริน เอกธวัชกุล, น้อย โพธิ์งาม, ต๋อง ศิษย์ฉ่อย, บัวขาว บัญชาเมฆ เป็นต้น
โดยในเวลา 14.00 น. มีการแสดงโขนตอนพระรามข้ามสมุทร พร้อมยกรบ จากชมรมศูนย์ศิลปะวัฒนธรรม “ครูชูชีพ ขุนอาจ” ในกองงานพระราชดำริ ของสมเด็จพระเทพฯ และ การแสดงโขน เรื่องรามเกียร์ ตอน “พระรามตามกวาง” จาก วิทยาลัยนาฏศิลป สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์
ต่อมา "ชรินทร์ นันทนาคร” ศิลปินแห่งชาติ และ “โฉมฉาย อรุณฉาน” ได้มาขับร้องเพลงให้เพราะขณะที่คุณแม่ปรางทิพย์ มีชีวิตอยู่ได้มีโอกาสมาร้องเพลงให้ครอบครัวบรรลือฤทธิ์ฟังเป็นประจำ โดยก่อนจะเริ่มพิธีการ บิณฑ์และเอกพันธ์ ได้เปิดใจต่อสื่อมวลชน ระบุว่าตนและลูกหลานในครอบครัวซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงประทานกล่องเพลิงให้กับ “คุณแม่ปรางทิพย์” พร้อมเผยที่ผ่านมาคุณแม่ได้มาหาเพราะยังห่วงตนอยู่
บิณฑ์ : “ทั้งหมดทั้งมวลมันเหมือนกับเตรียมงานล่วงหน้า และเรารู้ทุกสิ่งทุกอย่างล่วงหน้าจริงๆ มันมาจากเซ้นส์ของเรา อันนี้ผมพูดจริงๆ เลยนะ ผมบอกว่าคุณแม่เสียชีวิตวันที่ 22 ต.ค. ตอนประมาณ 12.15 น. ตอนประมาณ 14.00 น. ฝนตกหนักมาก ผมก็บอกกับทุกๆ คนว่าคอยดูนะวันงานแม่ ตั้งแต่สวดคืนแรกจนถึงคืนสุดท้ายฝนจะไม่ตกแล้วจะมาตกวันสุดท้ายในวันฌาปนกิจ แล้วทุกคนก็มาพูดกับผมว่าเหมือนกับที่ผมพูดไว้จริงๆ เราก็บอกตรงนี้ว่าเราไม่ได้ขอพระราชทานเพลิงศพ เพราะเรารู้ว่าช่วงนี้เป็นช่วงกฐิน ก็ค่อนข้างจะลำบากกันนิดนึง”
เอกพันธ์ : “แต่ด้วยความที่เราสองคนได้ทำในสิ่งที่ดีๆ ให้กับสังคม ให้กับพี่น้องประชาชน ทุกคนก็พยายามขอให้แม่ ก็ได้คำแนะนำมาจากผู้ใหญ่คนนึง ก็คือ พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ บอกว่าไม่ได้ เราสองคนอยู่ในประเทศไทยและทำชื่อเสียงให้กับประเทศไทย คุณแม่ต้องได้รับเกียรติ ตระกูลเราต้องได้รับเกียรติ ท่านก็เลยจัดการให้หมดทุกอย่าง ก็ขอกราบขอบพระคุณมากครับ”
บิณฑ์ : “ก็ถือว่าวันนี้ก็สมเกียรติคุณแม่ท่านแล้ว เป็นเกียรติอย่างสูงสุดของตระกูลบรรลือฤทธิ์เลย ดีใจ รู้สึกว่าทุกอย่างเรียบร้อยหมด เมื่อวานนี้เอาร่างคุณแม่ออกมาจากโลงตั้งแต่วันแรกยังนอนหลับยังไง ผิวพรรณยังไง เหมือนเดิมทุกอย่าง ไม่มีอะไรบุบสลายหรือเปลี่ยนแปลงเลย”
เอกพันธ์ : “แล้วก็ต้องขอบพระทัยในความเมตตาจากสมเด็จพระสังฆราชที่ได้มอบไตรเอกให้คุณแม่เพื่อเอามาทอด แล้วก็หม่อมเจ้าอุทัยกัญญา ภาณุพันธุ์ ได้มอบไตรมาอีก 1 ไตร เพื่อพระราชทานเพลิงศพคุณแม่ปรางทิพย์ในครั้งนี้ กราบขอบพระทัยจริงๆ ครับ”
บิณฑ์ : “ก็บอกคุณแม่ว่าคุณแม่ได้พระราชทานเพลิงศพนะ ดีใจแทนแม่ด้วย แม่เองก็สมควรได้รับ แม่เลี้ยงเรามาเหนื่อยและคอยให้เราสองคนเป็นผู้ให้มาตลอด”
เอกพันธ์ : “แม่ไม่เคยบอกว่าให้นั่นให้นี่เรามา แม่ให้ผม 2 ล้าน ทีละ 5 แสน เพื่อช่วยเหลือ ผมก็เคยบอก ผมเคยบอกครั้งเดียวครั้งนั้นว่าคุณแม่มอบให้ 2 ล้าน ในวันเกิดคุณแม่ หลังจากนั้นแม่ก็มอบเงินให้เราแล้วเราก็เอาไปช่วยเหลือพี่น้องประชาชน”
บิณฑ์ : “เหมือนว่าทุกอย่างมีคนเห็น ฟ้าเห็น ทุกอย่างเลย”
เอกพันธ์ : “คือจะเข้ามาเองโดยที่เราไม่ได้ปรารถนา คุณแม่จากไปแล้วเราสองคนก็อยู่ในวงการบันเทิง จะต้องมีหน้ามีตา ไม่เลย เราสองคนอยากจะเรียบๆ ง่ายๆ แต่ทุกอย่างเหมือนเขาลิขิตมาแล้วให้คุณแม่”
เอกพันธ์ : “ทุกคนก็บอกว่าเป็นบุญบารมีที่เราสองคนได้ทำเอาไว้ เป็นกุศลของคุณแม่ แล้วคุณแม่ก็ทำให้เราสองคนมีวันนี้ขึ้นมา ทุกอย่างมันลงตัวมาก”
ร้องไห้ให้แม่เป็นครั้งสุดท้าย
เอกพันธ์ : “เมื่อคืนนี้ท็อปร้องไห้จะเป็นจะตายบอกกับแม่ สวดมนต์ให้แม่ครึ่งชั่วโมง”
บิณฑ์ : “ก็สวดมนต์ทุกอย่างที่คุณแม่ฟังแล้วคุณแม่จะไปพระนิพพาน ตอนแรกจะบอกว่าแม่ผมจะเกิดเป็นลูกแม่ทุกชาติไปนะ เรารู้สึกว่านี่อาจจะเป็นสิ่งที่คุณแม่เราไม่ต้องการ คุณแม่เราอาจจะไม่ต้องการมาเกิดใหม่อีกแล้ว ก็บอกว่าถ้าอย่างนั้นคุณแม่ก็ไปพระนิพพานเลย คือรู้แล้วว่าอะไรที่ทำให้ไปพระนิพพาน ก็คือการสวดมนต์ เมื่อคืนที่เราร้องไห้ เพราะเรารู้ว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราได้เห็นหน้าคุณแม่ วันนี้เราก็ไม่ได้เปิดโลง วันนี้เราจะไม่อะไรทั้งนั้น เราเห็นครั้งสุดท้ายแล้วเราก็ปิดนั่นคือความทรงจำที่จะอยู่ในสายตา อยู่ในสมอง เป็นภาพสวยงามมาก ภาพแม่ผ่องเหลือง เราสามารถลงไปหอมแก้มของร่างกายของคุณแม่ เราเข้าไปสัมผัส ไปหอม เรารู้สึกว่าขอร้องเป็นครั้งสุดท้าย ขอร้องให้เต็มที่”
เอกพันธ์ : “เดี๋ยววันนี้เราก็หักห้ามใจไม่ได้กันหรอก เราเคยเห็นร่างแม่ที่อยู่กับเรา แล้วแม่จะต้องโดนเผา นึกภาพออกเลยว่าจะเป็นยังไง”
บิณฑ์ : “ทุกคนก็ต้องเป็นอย่างนี้ไม่เว้นแม้แต่ใครก็ตาม ต้องเป็นไปตามสัจธรรม”
เอกพันธ์ : “เราคิดได้แต่พอมาถึงตรงนั้นจริงๆ มันก็เป็นความรู้สึกผูกพัน เสียดาย แต่ยังไงเราก็ต้องจากลงไปสู่ธุลีดินอยู่แล้ว เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นของธรรมดา”
ไม่ฉีดฟอร์มาลีน ตามคำสั่งเสียอย่าเอาอะไรเข้าสู่ร่างกาย บังเอิญกับเลข 15
บิณฑ์ : “ดีแล้วที่ไทด์ตัดสินใจว่าไม่ฉีด เพราะคุณแม่เขาบอกอย่าเอาอะไรเข้าร่าง คุณแม่เขาไม่ชอบ ให้เป็นไปตามธรรมชาติ จริงๆ คุณแม่สั่งไว้ด้วยว่า 3 วันแล้วจบ แต่เรารู้สึกว่าไม่ได้เพราะมีญาติผู้ใหญ่หลายคนที่จะต้องมางานคุณแม่ ก็ขอ7 วัน ตอนแรกมีคนแนะนำ 9 วัน แต่เราว่ายาวไปเพราะเดี๋ยวเสร็จงานวันนี้เราสองคนก็ต้องไปกฐินพระราชทานต่อ”
เอกพันธ์ : “กลับมาวันอังคารก็มาลอยอังคารคุณแม่ หลายคนถามทำไมโลงศพของคุณแม่ถึงเป็นเลข 15 เพราะอะไร”
บิณฑ์ : “เลข 15 จริงๆ แล้วเราไม่ได้อะไรนะ ตอนเรามาที่วัด เขาก็บอกว่าพอดีมีศาลา15 ว่าง ผมก็เอา บ้านเลขที่ที่แม่อยู่ก็มีเลข 15 คุณแม่เสียชีวิต 12.15 น. เมื่อคืนนี้เอาคุณแม่ออกจากโลงเย็นประมาณ 21.15 น. เอาเข้า 21.25 น. เมื่อเช้ายกมานี่ก็ 13.05 น. มันเป็นความบังเอิญที่เราไม่ได้ตั้งใจเลย”
ลอยอังคารอัฐิทั้งหมดไม่เก็บกระดูกเอาไว้
เอกพันธ์ : “วันที่ 2 ครับ เดี๋ยวพี่ชายกับน้องสาวจะคอยเก็บอัฐิของคุณแม่แล้วก็รอเราสองคนกลับมา ในวันที่ 2 พ.ย. นำไปลอยอังคาร”
บิณฑ์ : “เราตั้งใจจะลอยหมดเลยไม่แบ่งเก็บไว้เพราะคุณแม่บอกไว้ว่าอย่าแยก ขอไปทั้งตัวเต็มๆ บางครั้งถ้าเราจะมาเก็บกระดูกคุณแม่แล้วถ้าเราตายไปลูกหลานไม่รู้จะมาดูแลไหมกลายเป็นเดี๋ยวหายไปไหน กลายเป็นบรรพบุรุษไม่มีความสุข เราก็ไม่เอาดีกว่า ก็ให้คุณแม่ไปทั้งหมดเลยดีกว่า ผมเคยเห็นตามเจดีย์ที่โดนทุบ เกลื่อน ไม่มีใครมาดูแล ก็รู้สึกว่าอย่างนี้ดีกว่า”
บิณฑ์เผยแม่มาหาหลังจากครบ 3 วันและ 7 วันที่จากไป
บิณฑ์ : “7 วันที่ผ่านมาเราเห็นแม่ทุกวัน พอมาถึงเราจะเข้าไปส่องดูหน้าคุณแม่ มากราบคุณแม่ว่าผมมาแล้วนะ ตอนกลับผมก็ไปส่องดู บอกว่าผมกลับบ้านแล้วนะ อย่างนี้ทุกวัน แต่วันนี้เรารู้ว่าจะไม่มีอีกแล้ว การกลับบ้านของผมที่ผ่านมามันมีจุดมุ่งหมายในการกลับบ้าน คือกลับบ้านมาหาแม่ ได้เห็นแม่ แล้วเราก็ไปทำงานต่อ ก็ยังดีที่เราได้เห็นหน้าได้สัมผัส แต่หลังจากนี้เราไม่รู้ว่าเราจะกลับบ้านมาเพื่ออะไร กลับมาทำไมไทด์เขาก็มีครอบครัวแล้ว น้องสาวกลับไปอยู่กับลูกแล้ว ทุกคนมีครอบครัวกันหมด แต่ผมอยู่คนเดียว”
เอกพันธ์ : “อยู่กับหมาไง มีหมาอยู่ 2 ตัว มันก็เป็นอย่างนี้แหละ ไปตามวิถีชีวิต เดี๋ยวอีกหน่อยเดี๋ยวมันก็เข้ารูปเข้าทาง”
บิณฑ์ : “ตอนที่คุณแม่มาหาผมในวันที่ 3 หมา 10 กว่าตัวมาหน้าบ้าน ซึ่งไม่เคยรวมตัวกันมาก่อน มาอออยู่หน้าบ้านแล้วเห่าหอนกันนานมาก แล้วผมก็นึกขึ้นได้ว่านี่ 3 วันแล้วที่คุณแม่เสีย ผมก็ยกมือไหว้เจ้าที่เจ้าทาง ผีบ้านผีเรือนขอคุณแม่เข้าบ้าน ไม่น่าเชื่อว่าหมาทุกตัวที่เห่าหอนทั้งในบ้านนอกบ้านพร้อมใจกันหยุดเงียบกันหมด แล้วเมื่อวานวันที่ 7 เวลาใกล้เคียงกันเลย หมาหอนผมก็รีบออกไปข้างนอก ผมรู้ว่านี่คือวันที่ 7 เป็นวันโกน ก็ไหว้เจ้าที่เจ้าทาง บอกว่าขอคุณแม่ปรางทิพย์เข้าบ้านด้วยนะครับ หมาหยุดหมดเลยเหมือนครั้งแรก
ผมนึกยังไงก็ไม่รู้เดินไปเปิดประตูเล็ก แล้วพูดว่าคุณแม่ปรางทิพย์ คุณแม่เข้าบ้านนะครับ แล้วผมก็ปิดประตูเบาๆ ไม่รู้ลมมาจากไหนปะทะหน้าผมมาวูบนึง แล้วขนลุกซู่เลยโดยอัตโนมัติ แล้วผมก็รีบวิ่งไปที่ประตูในบ้านออกบานนึงแล้วก็เปิดประตูบ้านให้แม่ คนในบ้านก็งงว่าผมเปิดประตูบ้านให้ใคร แล้วผมก็ปิด แต่ผมไม่ได้เข้าไปข้างในบ้าน ผมยังอยู่ข้างนอก นี่คือสิ่งนึงที่ผมรู้สึกว่า ณ ตอนนี้คุณแม่ยังไม่โดนเผา คุณแม่ยังอยู่บริเวณเดียวกับผม กับเรา แต่หลังจากวันนี้ไปคุณแม่ก็ไปตามอายุขัย แล้วคงไม่มาอีกแล้ว ผมเชื่อว่าจะไม่มีอีกแล้วที่จะมาปรากฎอย่างนี้อีก”
จากนี้ไม่มีแม่อีกแล้ว แต่จะอยู่ในใจเสมอ
บิณฑ์ : “ที่ผ่านมาผมไปไหน แม่ก็ตามไปด้วย แม่ตามผมไปทำบุญแทบทุกที่ เพราะแม่ชอบทำบุญมาก ต่างประเทศเราก็พากันไปตลอด แต่พอท่านป่วยก็ไม่ได้พาท่านไป เพราะแม่ไปไม่ไหว ตอนที่สังขารแกไม่ไหว แกก็จะมานั่งหน้าบ้านดูผมวิ่ง แล้วก็โบกมือให้ทุกครั้ง นี่คือภาพที่ติดตาผมอีกภาพนึง ต่อจากนี้ไม่มีอีกแล้ว วันนี้คือสุดท้ายของคุณแม่ปรางทิพย์แล้วจริงๆ แต่ความรู้สึกของเราคุณแม่ก็อยู่ในใจของเราตลอด เรารู้ว่าต่อจากนี้คุณแม่ก็ต้องมาคุ้มครองเรา”
ฝากบอกแม่ไม่ต้องห่วงอีก ไม่ต้องเกิดใหม่ อยากให้นิพพาน
บิณฑ์ : “ผมบอกตลอดว่าแม่ไม่ต้องเป็นห่วงพวกหนูนะ 4 คนรับรองจะดูแลกันอย่างดี แล้วจะทำสิ่งที่คุณแม่สอนมา บอกทุกอย่างเพื่อให้คุณแม่สบายใจ ไม่ต้องเป็นห่วงเลย ไม่ต้องอะไรเลย แม่ไปพระนิพพาน ไม่ต้องมาเกิดใหม่ได้เลย”
เอกพันธ์ : “สิ่งนึงที่อยากจะทำทุกวันให้คือความดี แม่จะภาคภูมิใจมากที่เราช่วยเหลือประชาชน ทำคุณงามความดี ให้กับสังคม ให้กับประเทศชาติ แม่ดูข่าว แม่อ่านหนังสือพิมพ์เห็นรูปเราลงทำความดี เขาจะยิ้มเขาจะปลื้มมาก เขามีแต่อวยพรให้เราสองคนปลอดภัย ไม่ว่าจะทำอะไรก็แล้วแต่ ไม่มีห้ามว่าอย่าไป อันตราย เห็นมีคนตาย มีไฟไหม้ เราไปกันคุณแม่ก็จะอวยพรให้เราปลอดภัย เขาสนับสนุนเต็มที่ให้เราทำความดี”
บิณฑ์ : “ไม่ว่าทำอะไรก็ตามแต่ คุณแม่จะอยู่หรือไม่อยู่ในสิ่งนึงที่เราตั้งใจก็คือการทำความดี คุณแม่อยู่เราก็ทำความดี คุณแม่ไม่อยู่เราก็ทำความดี ไม่ใช่คุณแม่ไม่อยู่แล้วเราจะไม่ทำ ไม่ใช่เลย เราก็ยังจะทำความกันต่อไปเพื่อคุณพ่อและคุณแม่ ตระกูลครอบครัวของเราบรรลือฤทธิ์”