ในปี 1992 หนังฮ่องกงยังอยู่ในช่วงรุ่งเรืองสุดขีด หนังที่ทำเงินสุงสุดในปีคือ คนเล็กสะท้านยุทธจักร หนังตลกของ โจวซิงฉือ ที่กวาดเงินไปในนั้นไป 49 ล้านเหรียญฮ่องกง
23 ปีต่อมา หนังทำเงินแห่งปีในปี 2015 ของฮ่องกงคือ "ยิปมัน" ภาคสามที่กวาดไป 60 ล้านเหรียญฯ ซึ่งหากดูแค่รายได้เฉพาะเรื่องแล้วแม้จะมีตัวเลขที่เพิ่มขึ้นมานิดหน่อย แต่ที่น่าตกใจก็คือ รายได้รวมของหนังฮ่องกงทุกเรื่องในปีนั้น ทำไป 384 ล้านเหรียญฮ่องกง ซึ่งเทียบไม่ได้เลยกับในปี 1992 ที่หนังทุกเรื่องกวาดเงินรวมกันถึง 1,200 ล้านเหรียญฮ่องกง
ความตกต่ำของหนังฮ่องกงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อีกต่อไป แต่เป็นประเด็นที่คนพูดถึงกันมานานหลายสิบปีแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังฮ่องกงส่งมอบการปกครองคืนสู่จีนแผ่นดินใหญ่
ในปี 1997 ที่ฮ่องกงกลายเป็นส่วนหนึ่งของจีนแผ่นดินใหญ่เต็มตัว ทุกอย่างยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงนัก แม้วงการหนังฮ่องกง จะดูซบเซาลงไปแต่หนังก็ยังทำเงินได้ดี
แต่เครื่องบ่งชี้ที่แสดงให้เห็นว่าหนังฮ่องกงกำลังจะเริ่มมีปัญหาก็คือรายได้ขณะที่ตัวหนังฮ่องกงเองยังทำเงินอยู่ในระดับเรื่องละไม่เกินสี่สิบห้าสิบล้านเหรียญฯ แต่หนังฮอลลีวูดกลับเข้ามากวาดเงินอย่างถล่มทลายโดยเฉพาะอย่างยิ่งหนังทำเงินสูงสุดของโลกในปีนั้นอย่าง Titanic ที่ทำเงินในฮ่องกงสูงถึง 120 ล้านเหรียญฯ
จนถึงปัจจุบัน หนังทำเงินอันดับหนึ่งตลอดกาลในฮ่องกงก็คือ Avengers : Endgame ที่กวาดเงินไปอย่างมหาศาลถึง 220 ล้าน เหรียญฮ่องกง แต่ที่น่าตกใจก็คือปัจจุบันหนังทำเงินในฮ่องกง 20 อันดับแรกตลอดกาล คือหนังฮอลลีวูดทั้งหมด ไม่มีหนังท้องถิ่นสอดแทรกมาได้แม้แต่เรื่องเดียว
ส่วนหนังฮ่องกงด้วยทำเงินสูงสุดตลอดกาลปัจจุบันก็คือหนังตำรวจ Cold War 2 ที่ทำเงินไปได้ 66 ล้านเหรียญฮ่องกงเทียบไม่ได้กับหนังฮอลลีวู้ด ที่เข้ามาโกยเงิน กันได้ระดับเกินหนึ่งร้อยล้านเรียนเลยพูดได้ว่า ปัจจุบันคนดูหนัง ชาวฮ่องกงแทบจะเหมือนหนังท้องถิ่นโดยสิ้นเชิง
โดยหนังทำเงินสูงสุด ตลอดกาลในฮ่องกงอันดับต้นๆ ส่วนใหญ่ก็ยังคงเป็นหนังเก่า ที่เข้าฉายในยุค. 90 อย่าง หนังของเฉินหลงเรื่อง "ใหญ่ฟัดโลก" ก็ยังครองตำแหน่งหนังฮ่องกงที่ทำเงินสูงสุดอันดับ 5 อยู่เลย
แน่นอนว่า นานๆ ครั้งก็อาจจะมีหนังฮ่องกงที่สร้างความฮือฮาทำเงินเกินคาดอยู่ได้บ้างแต่ก็เกิดขึ้น ไม่บ่อยนัก เรียกว่า ต้องรอกันหลายปีกว่าจะมีหนังฮ่องกงที่ทำเงิน สูงสุดเป็นสถิติใหม่อย่าง Unbeatable
สาเหตุ
เหตุผลก็คือปัจจุบันคนทำหนังฮ่องกงจำนวนมาก เน้นทำหนังป้อนตลาดจีนแผ่นดินใหญ่เป็นหลัก ส่วนใหญ่พูดภาษาจีนกลาง เล่าเรื่องของชาวจีนและใช้ดาราชาวจีนผสมกันดาราฮ่องกง แม้แต่ผู้กำกับที่ ครั้งหนึ่งในชื่อว่าเป็นเครื่องหมายการค้าของฮ่องกง อย่างฉีเคอะ หนังเรื่องล่าสุดของเขาก็ยังเป็นหนังสงครามอิงประวัติศาสตร์จีน ที่ในยุคนี้คนฮ่องกงใหม่ดูหนังแบบนี้อย่างแน่นอน
ตอนนี้ไม่ใช่แค่ตัวหนังเท่านั้นที่ทำออกมาไม่ถูกใจคนฮ่องกงดาราหลายคนก็กลายเป็นที่เหม็นหน้าในหมู่ชาวฮ่องกงเหมือนกัน
อย่างเฉินหลงที่เมื่อก่อนเป็นขวัญใจอันดับหนึ่งของเกาะฮ่องกง จุดยืนการเมืองที่ค่อนข้าง โน้มเอียงไปทางฝั่งจีนแผ่นดินใหญ่ทำให้ปัจจุบันเฉินหลงกลายเป็นคนฮ่องกงด้วยกันเกลียดมาก เมื่อก่อนทำอะไรออกมาก็ได้เงินแต่ปัจจุบันหนังคงชนลงแทบไม่ได้เงินคนฮ่องกงอีกแล้วและก็ไม่ใช่แค่เฉินหลงเท่านั้น
ขณะที่เมื่อก่อนทำหนังให้ออกมาชาวฮ่องกงแห่กันไปดูอย่าง โจวซิงฉือ ก็ไม่สามารถทำหนังให้ถูกใจคนฮ่องกงได้แล้วเช่นเดียวกัน
มีอะไรให้ดู?
แล้วปัจจุบันเหลือหนังฮ่องกงประเภทไหนที่คนฮ่องกงดูอยู่? คำตอบก็คือ หนังตลก ภาษากวางตุ้งที่เน้นมุกตลกสไตล์ฮ่องกงแท้ แน่นอนว่านอกจากคนฮ่องกงแล้วหนังประเภทนี้ไม่มีใครเข้าถึงอย่างเต็มที่ และหนังก็เน้นทำเงินที่บ้านเกิดเป็นหลักไม่ได้เน้นขายต่างประเทศ
ที่สำคัญส่วนใหญ่หนังฮ่องกงยุคปัจจุบันแค่เก็บเงินให้ได้เกิน 30 ล้านเหรียญฮ่องกงก็หรูแล้ว
สถานการณ์ของวงการหนังฮ่องกง ดูตกต่ำถึงที่สุดแล้ว แต่ไม่ต้องห่วง สถานการณ์ยังเลวร้ายกว่านี้ได้อีกเยอะ ล่าสุดรัฐบาลฮ่องกง จริงๆ แล้วก็เป็นตัวแทนของทั้งจีนแผ่นดินใหญ่ก็เพิ่งจะออกกฎหมายเซ็นเซอร์ฉบับใหม่ หนังแต่ละเรื่องจะต้องถูกตรวจอย่างละเอียดมากขึ้น
โดยมีข่าวว่ามีหนังที่เนื้อหาการเมืองของผู้กำกับหน้าใหม่คนหนึ่งต้องส่งไปตรวจเอากลับมาแก้ใหม่ถึง 16 รอบเลยทีเดียวกว่าจะผ่านระบบเซนเซอร์มาได้
ที่สำคัญดูเหมือนว่าหนังอาชญากรรมหนังมาเฟียหนังตำรวจซึ่งเคยเป็นจุดขายของฮ่องกงพอๆ กับหนังกำลังภายในถึงตอนนี้ก็
ไม่ได้รับอนุญาตให้สร้างกันได้อย่างอิสระอีกต่อไปแล้ว นอกจากนี้แม้จะไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการ แต่ก็มีข่าวว่าหนังที่เน้นตัวเองให้เป็นกลุ่มคนนอกกฏหมาย หนังที่ทำให้มาเฟียกลายเป็นพระเอก และหนังผี ตลอดจนสร้างภาพพจน์ไม่ดีให้กับเท้าหน้าที่ของรัฐรวมถึงตำรวจจะไม่ได้รับการอนุญาตให้สร้างอีกด้วย
ปัจจุบันหนังตำรวจฮ่องกงที่เน้นไปที่การทำหนังว่าด้วยการทำงานของเจ้าหน้าที่เล่าเรื่องการปราบคอร์รัปชัน อย่าง “สองคนสองคม” ซึ่งจริงๆ แล้วก็สร้างในยุคฮ่องกงภายใต้การปกครองของจีน แต่ก็อาจจะเกิดขึ้นได้ยากแล้วในยุคนี้
ถึงตรงนี้ก็ต้องบอกว่าวงการหนังฮ่องกงเองดูน่าเป็นห่วงจริงๆ และถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงก็คงจะอยู่ในยุคมืดแบบนี้ไปอีกนานหลายปี