“ปุ้มปุ้ย” เปิดชีวิตที่เกือบเป็นปม ถูกพ่อเลี้ยงดูแบบไข่ในหิน ให้รักนวลสงวนตัว ดูหนังโป๊ครั้งแรกกลัวมากถึงขนาดไปบอกเลิกแฟนหวั่นถูกแทงจิ๊มิ๊ รับถูกเข้าใจผิดว่าผัวเยอะ แต่ขอบคุณที่พ่อทรมานในวันนั้น ไม่อย่างนั้นคงมีลูกไปแล้วตั้งแต่อายุ 14 เผยยอมถ่ายบิกินี่เพื่อหาเงินรักษาพ่อ
ไม่เคยมีใครได้รู้เรื่องราวชีวิตจริงลึกๆ ของ “ปุ้มปุ้ย พรรณทิพา อรุณวัฒนชัย” ภรรยาของ “กวินท์ ดูวาล” สักเท่าไหร่ ล่าสุด ในรายการ ซานิเบาได้เบา EP 17 ปุ้มปุ้ยก็ได้มาเปิดเผยชีวิตของตนเอง ว่าเห็นเป็นสาวแรงๆ แบบนี้ จริงๆ แล้วเธอถูกเลี้ยงดูมาแบบไข่ในหิน แบบสาวใสอินโนเซนต์
“วัยใส ตอนเป็นเด็กพ่อเลี้ยงแบบไข่ในหิน ไม่รู้โลก พ่อหวงค่อนข้างที่จะเผด็จการ ห้ามไปไหนกับเพื่อนหรือญาติพี่น้อง ไปกับพ่อแม่เท่านั้น เลิกเรียน 3 โมง 4 โมงไปรับกลับบ้านเสาร์อาทิตย์อยู่แต่กับบ้าน ไปได้แต่กับพ่อแม่เท่านั้น เพื่อนในหมู่บ้านไม่มี ดีที่เรามีพี่สาว ฟังเพลงที่เขาอยากให้ฟังเท่านั้น แต่ก่อนเด็กๆ จะฟังมอส ปฎิภาณ, หนุ่ม ศรราม มาจุ๊บทีนึง เราได้ฟังอีเกิลส์ คาร์เพนเตอร์ เพลงที่พ่อชอบ
การ์ตูนก็ห้ามดู ไม่มีสิทธิ์ ซินเดอเรลล่า เซเลอร์มูนดูไม่ได้ หนังจะไม่ให้ดูเลยก็ไม่ได้ เพราะพ่อชอบดูหนังที่ได้ดูคือชอแชง เราก็อยากดูเจ้าหญิงดิสนีย์ พ่อบอกพักก่อน แต่พ่อไม่อยากให้ดูเพราะโตมาแล้วรู้สึกว่าต้องหาผัวรวย พ่อบอกว่ามันไม่มีหรอกที่เขาจะเอาคนใช้มาเป็นเมีย มีแต่เป็นเมียเก็บ ไม่เอา ไม่ได้
เราไม่ได้ใช้ชีวิตเด็กน้อย ชีวิตวัยรุ่นเลย เราจะได้ไปใช้ชีวิตแบบเด็กเล่นๆ กันจริงๆ ตอนช่วงปิดเทอม แม่ส่งไปอยู่ต่างจังหวัดที่บ้านยาย สนุกมาก ได้ปีนต้นไม้ แหก ฉีกขา เปิดโลกมากๆ ลูกพี่ลูกน้องเยอะ ได้เล่นกับเด็กผู้ชาย เจอเพศตรงข้ามที่งานวัด”
ไม่รู้จักเรื่องเพศสัมพันธ์เลย
“เรื่องเพศสัมพันธ์ในตอนเด็กๆ 15-16 ไม่รู้ มารู้จักตอนมีผัว มีแฟนคนแรกถึงจะรู้ว่ามันคืออะไรครั้งแรกตกใจ เรารู้สึกเหมือนโดนคนโรคจิตคนซาดิสต์ทำอะไรอยู่ เพราะคิดมาตลอดว่าเรามีจิ๊มิ๊ไว้ฉี่ คือตอนนั้นเราไม่รู้ เพราะพ่อแม่สอนว่าเราเกิดมาได้เพราะพ่อเอาผ้าห่มคลุมแม่แล้วเราก็เอาแป้งโรย แล้วทั้งบ้านก็จะตะโกนว่ารักกันๆ แล้วก็บีบแป้ง งงเปล่า
แต่ด้วยความที่พี่สาวโตกว่าเรา เขาก็จะได้ออกไปเรียนมหาวิทยาลัย ได้ท่องยุทธภพก่อน พี่สาวก็กลับมาบอกว่าปุ้ยพี่รู้แล้วว่าเราเกิดมาได้ยังไง เพราะเราปิกนิกกัน ปิกนิกคืออะไร แล้วพี่ก็ทำให้ดู เขาก็ให้เรานอนตรงๆ เหยียดๆ แล้วมาคร่อมเรา แล้วพี่ก็ทำท่าวิดพื้นบนตัวเราแล้วบอกว่าเราเกิดมาเพราะอย่างนี้ เราก็เหม่อแป๊บนึง แล้วก็เชื่อ คือเพื่อนนางไปเปิดหนังโป๊ให้นางดู แล้วนางไปจำท่ามาผิดหรืออะไรก็ไม่รู้”
ดูหนังโป๊ครั้งแรกคือเรื่อง “เปรตเดินดินกินเนื้อคน” ทำให้จำฝังใจเอาไปเลิกกับแฟน
“คือเราก็ไม่เข้าใจว่าปฏิสนธิคืออะไร คือไม่รู้จริงๆ จนอายุ 18-19 ปี พ่อกับแม่เริ่มระหองระแหงกัน และปุ้ยได้อยู่กับแม่ แม่หัวสมัยใหม่ ก็ปล่อยให้ไปเรียนรู้ ไปใช้ชีวิตเองเลย ก็เปิดโลกเรามาก ได้ไปบ้านเพื่อนครั้งแรก เพื่อนเปิดหนังโป๊ให้ดู ตาแทบจะถลนออกมจากเบ้า
เปรตเดินดินกินเนื้อคนคือหนังโป๊เรื่องแรกที่ได้ดูในชีวิต เอาหินแทงเข้าไป เพื่อนบอกนี่คือหนังโป๊ เราก็ถามแล้วเอาหินแทงเข้าไปทำไม ไม่เข้าใจ จากตรงนั้นทำให้เข้าใจมาตลอดว่าการรักใครสักคนมันต้องอดทน เรารู้สึกว่ามันไม่ใช่ เรากลัว แล้วตอนนั้นมีแฟน แค่คุยกันกุ๊กกิ๊กแต่ไม่เคยมีอะไรกัน วันนั้นกลับบ้านไปก็เลิกกับแฟนเลย เพราะกลัว กลัวว่าฉันรักเธอแล้วฉันต้องโดนหินแทง jim ไม่เอาดีกว่า(หัวเราะ)”
พอโตพอจะเข้าใจความรัก ก็เขินผู้ชายเพราะพ่อไม่เคยเลี้ยงให้ไปเจอคนอื่น
“และพอตอนเข้ามหาวิทยาลัย ตอนนั้นไม่เข้าใจว่าการรักใครสักคนคืออะไร ตอนนั้นไม่พูดถึงเรื่องเอากัน แค่รัก มีความรู้สึกว่าฉันชอบเธอ เธอชอบฉัน ยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่พอมาเป็นแฟนกัน กว่าจะมีแฟนไปกินข้าวนัดเดต กินข้าว แคะฟัน เข้าใจไหมไม่เคยกินข้าวกับใคร พ่อเลี้ยงมาไม่ได้ให้เจอคนอื่น ก็เขิน ปวดฉี่ก็ต้องอั้น รู้สึกว่าจะคบกับใครทำไมมันลำบากอย่างนี้ ไม่กล้าบอกว่าเธอเราขอไปห้องน้ำได้ไหม พอเข้าใจตรงนั้นก็สะบะระหึ่มได้”
มีอะไรครั้งแรกกับผู้ชายรู้สึกไม่ประทับใจ รู้สึกว่าตัวเองไม่ดีเพราะถูกพ่อปลูกฝังมาให้รักนวลสงวนตัว
“ไม่ประทับใจ เรามีความกลัวอยู่ลึกๆ คือในใจตอนนั้นเพื่อนทุกคนในกลุ่มมีผัวกันหมดแล้ว แล้วเหลือเราอยู่คนเดียว แล้วด้วยบุคลิกเรามันเหมือนมีผัวมาแล้ว 10 คน ที่กล้าพูดทะลึ่งเพราะชอบจำคนอื่นมาพูด จนคนอื่นเข้าใจว่าเราต้องผ่านการมีผัว มีผัวเยอะมาก ทฤษฎีแน่น
ตอนนั้นเรารู้แค่ว่ามันเจ็บ ไม่สนุกเลย รู้สึกว่าตัวเองไม่ดีแล้ว เราถูกปลูกฝังมาให้รักนวลสงวนตัว พอไปเล่าให้พี่ฟัง พี่ร้องไห้ พอเห็นแบบนั้นเลยบอกล้อเล่น เลยไม่เล่า ต่อไปคงเล่าอะไรให้พี่ฟังไม่ได้แล้ว ความรู้สึกผิดมันมาจากสิ่งที่พ่อเลี้ยงมาด้วย รู้สึกผิดในแนวคิดและกรอบที่เขาตีมาให้ แล้วเราก็ยึดถือยึดมั่น นี่ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยกินเนื้อวัวเลยนะเพราะที่บ้านห้าม แล้วก็ไม่รู้เหตุผลว่าเพราะอะไร ถ้าเป็นเพื่อนคนอื่น อยู่บ้านเขาก็โดนห้าม แต่ออกมาโรงเรียนเขาก็กิน แต่เราไม่กินทั้งต่อหน้าและลับหลัง เราไม่เดินออกนอกกรอบเขาเลย พอโตมาออกหมด เพราะไม่มีพ่อแล้ว พ่อแม่เลิกกัน”
จากนั้น “ซานิ” ได้ถาม “ปุ้มปุ้ย” ต่อว่า แล้วมาถ่ายแบบเซ็กซี่แบบนี้พ่อไม่รู้เหรอ ปุ้มปุ้ย จึงเปิดใจเล่าให้ฟังเป็นครั้งแรกเกี่ยวกับการถ่ายแบบเซ็กซี่ของเธอว่า…
“พ่อไม่รู้ว่าปุ้ยถ่ายเซ็กซี่ คือหลังจากที่พ่อแม่เลิกกัน ไม่กี่ปีพ่อก็ป่วยเป็นอัมพฤกษ์อัมพาต แล้วมันกลายเป็นว่าเราคิดว่าเราต้องหาเงินจริงจัง เราก็คิดว่าอะไรที่จะได้เงินเป็นก้อน เยอะๆ ตอนนั้นไม่รู้จะทำอะไรก็เลยถ่ายเซ็กซี่ เพื่อเอาเงินมาจ่ายค่าซีทีสแกน คือมันต้องจ่ายเลยแล้วมันเป็นเงินก้อน พอไปถ่ายแล้วมันได้เงินก้อน ทำแล้วก็เอาเงินมาจ่ายให้พ่อ หลังจากนั้นพ่อก็กลายเป็นคนป่วย เขาเลยไม่ได้มารู้เรื่องตรงนี้
ตอนนั้นเมื่อ 11 ปีที่แล้วถ่ายใสๆ 2-3 พัน บิกินี่ได้เป็นหมื่น แล้วเราอยากได้เงินเป็นหมื่น เราเลยตัดสินใจถ่าย หลังจากนั้นถ่ายบิกินี่ทุกอาทิตย์ จนได้เงินมากพอที่จะรักษาพ่อในตอนนั้น คนที่เป็นโรคหลอดเลือดในสมองตีบมันจะต้องกินยาตลอดชีวิต ต้องมีพยาบาลคอยดูแล ตอนนั้นรู้สึกว่า โห กูแม่-โคตรเก่งเลยว่ะ พอถ่ายมาถึงจุดนึงที่มันครอบคลุมหมดแล้วเราก็หยุด กลับมาถ่ายปกติ ไปแคสโฆษณา ไปถ่ายแบบเสื้อผ้า
พ่อมีอิทธิพลกับชีวิตปุ้ย ไม่ใช่ว่าเขาสอนไม่ดี แต่ว่าเขาตึงเกินไป ทำให้ปุ้ยไม่สามารถรับมวลที่หนักขนาดนั้นได้ บางคนอาจจะกลายเป็นปมได้ แต่เราเป็นคนไม่ได้เก็บเอามาคิดมากไง ถ้าถามว่าตอนนั้นช่วงที่อยู่กับพ่อเป็นไงคือมันหนักและทรมานมาก แต่ก็รู้สึกขอบคุณพ่อนะ ถ้าพ่อไม่ดุก็คงมีน้องตั้งแต่อายุ 14 (หัวเราะ)”