xs
xsm
sm
md
lg

“กิก ดนัย” สาหัส สู้โควิดทุกทางจนหมดแรง รายได้เหลือศูนย์ ต้องปรับทัศนคติตัวเอง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“กิก ดนัย” รับโควิดรอบ 4 แย่และหนัก รายได้เหลือศูนย์ ปรับทุกวิถีทางเรื่องธุรกิจร้านอาหารจนหมดแรง จนต้องปรับทัศนคติตัวเองมองในแง่บวก เรื่องลูกพัฒนาการตามวัย ไม่ให้ดร็อปเรียนแน่นอน

เป็นนักแสดงอีกคน ที่ได้รับผลกระทบจากพิษโควิด-19 เต็มเปา หลังจากไม่มีรายได้เข้ามาเลย สำหรับ “กิก ดนัย จารุจินดา” อีกทั้งธุรกิจร้านอาหารก็ต้องคอยประคอง ปรับทุกวิถีทาง แต่ก็ยังแย่อยู่ จนตอนนี้เริ่มกลับมาดีขึ้นเพราะคลายล็อกดาวน์ ซึ่งกิก ดนัยเปิดใจว่าโควิดรอบล่าสุดทำให้ได้ข้อคิด เรื่องความไม่แน่นอนของชีวิต

“ก็แย่เหมือนกับทุกคนครับ ทั้งเรื่องของงานในวงการบันเทิง แล้วก็ธุรกิจ คือผมเปิดร้านอาหารอยู่ พอมาเจอรอบ 4 อีก ก็แย่เหมือนกับทุกคนเลย ก็พยายามที่จะให้กำลังใจตัวเองครับ ก็ฝ่าฟันไปให้ได้ หนักจริงๆ รายได้เป็นศูนย์เลย ทั้งงานในวงการก็หยุด อีเวนต์ก็ไม่มี ร้านอาหารก็ต้องประคองลูกน้องด้วย

ได้ข้อคิดร้อยเปอร์เซ็นต์เลยนะ เพราะจริงๆ แล้ว เหตุแบบนี้ มันเป็นเหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดถึง เราก็ต้องเรียนรู้กับมัน ช่วงแรกๆ เครียดมาก แล้วก็หายวิธี ว่าจะทำยังไง ในรอบแรกเรื่องร้านอาหาร เราก็ปรับทุกกลยุทธ์ ไม่ว่าจะเป็นโปรโมชั่น เดลิเวอรี่ แจกแถมทุกอย่าง ซึ่งก็ผ่านมาได้ แต่พอเป็นรอบ 4 มันนานมาก แล้วก็หนักมาก ด้วยระยะเวลาเกือบ 2 เดือนในการประคับประคอง เราหมดแรง ก็ทำทุกวิถีทางแล้ว เรื่องของการเซฟค่าใช้จ่าย และดูแลพนักงาน

เราไม่มีการเอาพนักงานออก ร้านก็ยังเปิดอยู่ เปิดเป็นเดลิเวอรี่ ซึ่งจริงๆ การทำเดลิเวอรี่ มันก็ไม่ได้ตอบโจทย์ไปซะทุกร้านทุกธุรกิจ เพราะด้วยร้านผมเป็นร้านอาหารญี่ปุ่น แล้วรอบสุดท้าย มันเป็นเรื่องที่ทุกคน เริ่มเซฟค่าใช้จ่ายกันแล้ว คือทำกินกันเองที่บ้าน มันก็ไม่ได้เหมือนครั้งแรก ก็ทำเลี้ยงลูกน้องไป”

หวั่นต้องปิดตัว จนต้องปรับทัศนคติตัวเอง
“กลัวสิครับ เพราะจริงๆ มันก็เป็นธุรกิจหลักของเราด้วย เราก็ทำทุกวิถีทาง ปรับตัวแล้ว สุดท้ายแล้วมันไม่ดีเหมือนที่เราคิด เราก็ต้องมาปรับในเรื่องของทัศนคติแล้ว”

หลังคลายล็อกดาวน์ เริ่มกลับมาดีขึ้น
“ก็เริ่มโอเคขึ้น แต่จริงๆ แล้วตอนแรกเนี่ย เราปรับทุกอย่างแล้ว ปรับเรื่องของความคิดด้วย จากที่เราเครียด เราก็พยายามที่จะคิดบวกมากขึ้น อย่างน้อยธุรกิจเรามันแย่ลง ก็ไม่เหมือนงานในวงการบันเทิง ที่ต้องหยุดไป แล้วในด้านดี ผมมีลูกเล็ก กำลังจะ 2 ขวบแล้ว ก็เหมือนกับว่าเราได้อยู่กับเขา ได้ดูแลเขาตลอด 24 ชั่วโมง มันเป็นกำลังใจเล็กๆ ที่ทำให้เรามีความสุข ก็พยายามที่จะผลักความคิดของตัวเองไปในด้านที่มีความสุข”

ลูกพัฒนาตามวัย ประมาทไม่ได้พาลูกออกนอกบ้าน
“ตามวัยครับ แต่ในเรื่องของความรู้สึก นิสัยใจคอ มันเป็นตามที่เราหวังไว้ คืออยากให้เขาเป็นคนเฟรนด์ลี่ เป็นเด็กยิ้มแย้ม ไม่กลัวสิ่งแวดล้อม เราก็คือเลี้ยงง่ายๆ พาเขาไปผจญภัย ไปกางเต็นท์ ไปนอนแคมป์ 3 เดือนก็พาไปนอนเต็นท์แล้ว อยากให้เขาไปเปิดโลกภายนอก ได้ไปเห็นสัตว์ ไปฟังเสียงน้ำตก ไปเล่นน้ำ ให้เขาได้มีประสบการณ์ตรงนี้

ถามว่าเขาชอบออกนอกบ้านไหม โอ้โห…พอมีโควิดเนี่ย แทบจะเคาะประตูรถทุกวันเลย คืออยากจะให้พ่อพาไปข้างนอก อยากออก แต่ด้วยสถานการณ์โควิด เราก็ต้องจัดในบ้านเอา เพื่อให้เขามีความสุข แต่พอปลดล็อกแล้ว เราก็มีพาออกไปบ้าง แต่เลือกสถานที่ที่เซฟ ไปแล้วไม่เจอผู้คน ไปอยู่ในสวนในป่า ถึงเราและแฟนจะฉีดวัคซีนครบ 3 เข็ม แต่ก็ประมาทไม่ได้ เพราะเรายังมีลูกเล็ก แล้วยังไม่มีวัคซีนสำหรับเด็ก ก็ต้องป้องกันตัวเองอยู่ตลอด ต้องทำตามมาตรการของสาธารณสุขร้อยเปอร์เซ็นต์ ใส่มาสก์ ล้างแอลกอฮอล์ เว้นระยะห่าง ผมเตือนตัวเองตลอด เวลาไปถ่ายละคร กลับบ้านไปต้องอาบน้ำก่อน อย่าเพิ่งมากอดมาหอมลูก”

เริ่มวางแผนเรื่องเรียนลูก ไม่ให้ดร็อปเรียนแน่นอน
“คือเราก็เริ่มวางแผนตั้งแต่ปีนี้ เพราะพอ 2 ขวบ ปีหน้าเราก็ต้องทำการบ้าน เรื่องการศึกษาของลูกแล้ว ว่าจะเอายังไง เรื่องสถานที่เรามีในใจแล้ว แต่ไม่รู้ว่ารูปแบบมันเป็นยังไง เพราะไม่รู้ว่าโควิดปีหน้ามันจะกลับมาไหม หรือว่าเด็กอาจจะมีวัคซีนแล้ว เราก็ขอดูสถานการณ์ปีหน้าอีกที ถ้ายังมีรูปแบบเรียนออนไลน์ เราก็ทำใจแล้ว เตรียมใจ เตรียมร่างกาย เพื่อที่จะประกบ

สำหรับพ่อแม่บางคนก็ไม่อยากให้ลูกเรียนออนไลน์ อยากให้รอไปโรงเรียนเลยทีเดียว มันก็ขึ้นอยู่กับวิถีของแต่ละคน อย่างผมมีหลานด้วย ตอนช่วงกักตัวหลานก็มาอยู่ด้วย แล้วเราก็มีเวลาเต็มที่ เพราะเราไม่ได้ทำงาน เราก็นั่งประกบ เรียนไปด้วยเลย เพราะสิ่งสำคัญที่สุดในการเรียนของเด็กเล็ก คือสมาธิ เด็กสมัยนี้บางคนว่อกแว่กตลอด เราก็ต้องคอยดู คอยอธิบาย บางทีครูสอนไปถึงข้อ 10 แล้ว เพิ่งอยู่ข้อ 4 ก็ต้องปรับตัวกัน ทั้งเด็ก ทั้งครู ทั้งโรงเรียน ทั้งผู้ปกครอง

ถ้าลูกผมต้องเรียนออนไลน์ ก็น่าจะไม่ได้ดร็อป ก็ต้องเรียนไปพร้อมลูก ผมเตรียมเรื่องของการเลี้ยงลูกไว้แล้ว คือผมเลี้ยงกันเอง ไม่มีพี่เลี้ยง ปู่ย่าตายายก็ไม่ได้ช่วยเลี้ยง แฟนผมเขาสแตนบายร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว หยุดงานทุกอย่าง หน้าที่การทำงานนอกบ้าน ก็เป็นหน้าที่ของผม ดังนั้นเราก็สบายใจแล้ว ว่าเวลาเราออกไปทำงาน มีคุณแม่คอยดูแล เลยรู้สึกว่ามันยังเต็มที่ได้”





กำลังโหลดความคิดเห็น