“ท็อป จรณ” รับออกจากเซฟโซน ไม่ต่อสัญญาช่อง 3 แม้จะกังวลหวั่นงานไม่ต่อเนื่อง แต่อยากพัฒนาตัวเอง อยากรับบทที่ท้าทาย ที่ผ่านมาก็ไม่ได้บอกใครว่าหมดสัญญาแล้วเพราะยังอยากร่วมงานกับช่อง 3 อยู่ พร้อมเปิดรับทุกที่ทุกค่าย เผยหัวใจยังโสด รู้ตัวไม่ใช่สเปกสาวๆ ในตอนนี้ มีแต่ LGBT ทักเข้ามา
หลังจากไม่ต่อสัญญาช่อง 3 ก็หันมารับงานภาพยนตร์ซีรีส์เรื่อง ด้ายดิบ งานนี้หนุ่ม “ท็อป จรณ โสรัตน์” ได้เปิดใจหลังมีพิธีบวงสรวงภาพยนตร์เสร็จสิ้นว่าหมดสัญญากับช่อง 3 สักพักแล้ว แต่ไม่ได้บอกใคร เพราะยังอยากทำงานกับช่อง 3 อยู่ แต่ก็พร้อมเปิดรับโอกาสใหม่ๆ
“หมดได้สักพักหนึ่งแล้วครับ ไม่นาน ตัดสินใจไม่ต่อสัญญา เพราะเราอยากจะหาประสบการณ์เพิ่มเติม เหมือนเราอยู่ช่อง 3 มา 10 ปีแล้ว ก็อยากจะเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ หาประสบการณ์เพิ่มเติมให้กับตัวเอง คือผมรู้สึกว่าผมยังอยากที่จะพัฒนาทางด้านการแสดง แล้วก็ประสบการณ์อื่นๆ อีก อย่างเช่นซีรีส์เรื่องนี้ ด้ายดิบ ก็อยากจะกลับมาฟิตอีกครั้งหนึ่ง พอมันต้องเป็นแอ็กชั่นหนักขนาดนี้ ก็เหมือนว่าเราได้พัฒนาในอีกด้านหนึ่ง ได้เรียกรู้ศิลปะมวย 4 แขนง ซึ่งเราเคยเรียนมวยไชยามา แต่อีก 3 สายนี่เราไม่เคยเรียนเลย ก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจ ที่มันจะพัฒนากับตัวเองไปเรื่อยๆ
ตอนใกล้หมดสัญญาก็มีปรึกษาทางผู้ใหญ่ครับ เขาก็คุยครับ แต่เราก็คุยกันแบบเข้าใจนะครับ หมายถึงว่าตอนนั้นมันเป็นช่วงโควิดพอดี ก็เลยไม่ได้เข้าไปคุย แต่ก็มีการพูดคุยทางออนไลน์ครับ”
หมดสัญญาแต่ไม่ได้บอกใคร ยังอยากทำงานกับช่อง 3
“คือผมไม่ได้บอกใครนะครับ ว่าตัวเองหมด เพราะว่าผมรู้สึกว่าเราเองก็ยังทำงานให้กับช่อง 3 อยู่ ยังมีละครอยู่ ยังถ่ายเรื่องปมเสน่หาอยู่ ยังมีละครออนอยู่ ผมไม่ได้ว่าเราต้องไปบอกคนอื่นว่าเราหมดแล้วนะ คือจริงๆ ผมมองว่าการเป็นอิสระ ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ได้ไปร่วมงานกับช่อง 3 คือผมเองยังอยากทำงานกับช่องอยู่นะ แต่ก็อยากจะเปิดโอกาสให้ตัวเอง สมมติว่ามีเรื่องอื่น หรือเป็นซีรีส์ออนไลน์ หรือว่าช่องอื่นๆ เสนองานมาให้ผม ผมก็ยินดีที่จะพิจารณารับเล่น”
ปัดข่าวผู้ใหญ่นัดกินข้าวแบบส่วนตัว พร้อมอัปเงินค่าตัวให้
“ยังไม่ได้นัดกินข้าว ยังไม่ได้คุยกับใครเลยครับ ถ้ามีก็มีที่นี่ครับ ที่ได้คุยกัน แล้วก็ได้มองเห็น ถึงวิสัยทัศน์ของคุณเอ็ม แล้วก็ความตั้งใจ ที่อยากจะสร้างซีรีส์แอ็กชั่น แล้วก็ดึงเอาศิลปะการต่อสู้ ให้เป็นสิ่งที่อยากจะบอกเล่าให้กับทั้งโลก ทีมเขามีวิสัยทัศน์ที่ดี แล้วก็ความตั้งใจที่ดี แล้วอีกอย่างก็คือเราได้ร่วมงานกับทีมที่ทำแอ็กชั่นระดับฮอลลีวู้ด ทีมกำกับคิวบู๊ และทีมถ่ายแอ็กชั่น เป็นระดับที่ฮอลลีวู้ดก็ต้องมาจ้าง เราเลยรู้สึกว่า สิ่งเหล่านี้มันทำให้ผมเองพัฒนาทางด้านการแสดงขึ้นไปอีก ผมมองว่ามันเป็นการท้าทายสำหรับตัวเรา เราจะทำได้ดีแค่ไหน
ส่วนเรื่องค่าตัวเนี่ย ผมเรียนอย่างนี้ว่า มันเป็นเรื่องของดีเทลในการทำงาน บางงานอาจจะไม่เท่ากัน ก็ขึ้นอยู่กับว่าทางผู้ใหญ่เมตตาเราแค่ไหน เห็นว่ามันเหมาะสมไหม คือผมเป็นเด็ก เราก็มีเกณฑ์ มีมาตรฐานของเราในการรับงานอยู่แล้ว เมตตามากผมก็ยินดีนะครับ(หัวเราะ)”
รับมีหลายเรื่องติดต่อเข้ามา
“มีครับ ก็มีอีกหลายเรื่องครับ ช่องอื่นๆ ก็มี แต่เรื่องนี้ ด้วยความที่ผมชอบเล่นแอ็กชั่นด้วย แล้วเรามองว่าคุณเอ็มก็เหมือนผู้จัด ที่วางว่าเรื่องนี้มันน่าจะไปสู่ระดับโลกได้ หรือระดับเอเชียก็แล้วแต่ ผมมองตรงนี้มากกว่า ว่าพี่เขาใจ พี่เขามีวิสัยทัศน์ที่กล้าลงทุนสร้างขึ้นมา เพื่อที่จะนำศิลปะการต่อสู้ไทยไปเผยแพร่ คือผมมองตรงนี้มากกว่า แล้วเขาก็จริงจัง เอาครูมวยแต่ละสายมาเลย มาฝึกให้กับเรา เพราะฉะนั้นเขาก็เต็มที่ เราก็อยากจะเต็มที่กับเขาด้วย”
ตื่นเต้นเหมือนได้เริ่มต้นอะไรใหม่ๆ
“ก็ตื่นเต้นมากครับ ในการร่วมงานกับทีมงานใหม่ๆ เราก็เชื่อว่าจากประสบการณ์การร่วมงานกับทีมงานที่เราเคยทำมา เป็นเหมือนพื้นฐานที่จะทำให้เราสร้างสรรค์ผลงานออกมา ได้อย่างดีที่สุด เท่าที่ผมทำได้ อีกอย่างหนึ่งก็คือ พอเรามาเป็นอิสระแล้ว มันต้องผลักดันตัวเองมากขึ้น ต้องขยัน ต้องพัฒนามากขึ้นครับ
ช่องอื่นทาบก็สนใจครับ ผมบอกตรงนี้เลย คือผมยินดีเต็มที่เลยครับ ที่จะร่วมงานกับทุกๆ ค่าย (ถ้าเขาชวนเซ็นสัญญา เราเอาไหม?) ก็ต้องมาคุยกันกันอีกทีหนึ่ง ในแง่ของรายละเอียด การคุยกันเรื่องการทำงาน”
กังวลออกจากเซฟโซนช่อง 3 หวั่นงานไม่ต่อเนื่อง
“ก็กังวลนะ ตอนแรกก็ค่อยข้างคิดหนักมากเหมือนกัน เพราะว่าเราอยู่ช่องมานานมาก แล้วเราก็รู้สึกว่ามันเหมือนเซฟโซนของเรา แต่ว่าในเมื่อเรารู้สึกว่าเราอยากจะพัฒนาตัวเอง คือผมรู้สึกว่า เรามีทางเลือกเยอะแยะเต็มไปหมด ในการเสพคอนเทนต์ ณ ปัจจุบัน เราเองก็เป็นคนหนึ่ง ที่เราอยากจะพัฒนาตัวเอง ในรูปแบบของบทบาทก็ตาม ฝีมือก็ตาม หรือการเล่นแอ็กชั่น ผมก็อยากทำอะไรใหม่ๆ ครับ”
คดีความอยู่ในชั้นอัยการ ปล่อยวางแล้ว
“ตอนนี้อยู่ในชั้นอัยการอยู่ครับ ทางทนายเขาก็ยังดำเนินการอยู่ ความคืบหน้าผมก็พยายามสอบถามอยู่ คือทางทนายเขาก็ให้เหตุผลกับผมว่า ช่วงโควิดที่ผ่านมา มันค่อนข้างจะเซนซิทีฟในการทำงาน การจะเข้าไปในสน. หรือว่าการติดต่อโน่นนี่นั่น เรื่องก็ยังอยู่ในชั้นอัยการอยู่ครับ
ถามว่าอยากให้ไปในทิศทางไหน คือตัวผมปล่อยวาง (หัวเราะ) ก็เฉยๆ มันผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่ได้อะไรขนาดนั้น ผมก็เฉยๆ ก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามกระบวนการ แต่มันจะถึงไหนก็แล้วแต่ ผมไม่ได้อะไร เพราะทุกวันนี้แค่โควิดก็เครียดแล้ว ไม่รู้จะต้องมาเครียดเรื่องอื่นแล้ว ไม่เป็นโควิดเราก็ดีใจแล้ว พอแล้วครับ”
สถานะหัวใจโสด แต่ถ้ามีความรักจะคลั่งรัก
“โสดครับ (ยังไม่พร้อมมีความรักใหม่?) ไม่เกี่ยวหรอกครับ คือมีเรื่องให้ต้องโฟกัสมากกว่า เรามีความสุขกับการที่จะต้องมาทำงานใหม่ๆ แล้วตอนนี้ผมแฮปปี้ดี ไม่ได้คิดอะไรๆ ตอนเรามีความรัก เราเป็นคนคลั่งรักครับ (หัวเราะ) แซวซะเขินเลย ก็จะพูดว่าไงดี มันก็ไม่ได้คิดมาก ว่าจะต้องมีหรือจะต้องไม่มี เพียงแต่ว่า ณ วันนี้เราก็ผ่านอะไรต่างๆ มาเยอะประมาณหนึ่ง แล้วก็มองเห็นสิ่งที่เราควรจะทำมาขึ้น เพราะก็โตขึ้นในระดับหนึ่ง มันก็เลยทำให้ชีวิตเดินไปเรื่อยๆ ไม่ต้องมากังวลกับเรื่องนี้”
เราไม่อยากหาที่ปรึกษาเป็นที่พักใจ สวดมนต์ คุยกับพระก็สบายใจ
“ผมสวดมนต์ นั่งสมาธิครับ เครียดก็สวดมนต์ ก็สบายใจดี คุยกับพระ พระก็ไม่ตอบ ก็บ่นกับพระไปไม่เป็นไร”
รู้ตัวไม่ใช่สเปกสาวๆ สมัยนี้ มีแต่ LGBT เข้ามาทัก
“คือผมว่า ผมไม่ใช่สเปกสาวๆ สมัยนี้ ผมรู้สึกว่าอย่างงั้นนะ ส่วนใหญ่จะมีแต่ LGBT มาทักๆ บ้าง อาจจะด้วยความที่ผมอาจจะดูนิ่งๆ หรือเปล่า แล้วก็ไม่ได้เป็นสายแฟชั่นจ๋า เดี๋ยวนี้เขาจะต้องเกาหลี ผมก็ไม่รู้ ตอบไม่ได้ แต่ในความเป็นจริงมันไม่มี ถามว่าเราปิดกั้นไหม มันอยู่ที่จังหวะเวลาและคนที่เข้ามา ก็พยายามไม่ขวนขวาย (แสดงว่าก็อยากมี?) มันก็มี แหมคนเรา มันก็ต้องมีเป็นช่วงเวลา เป็นบางเวลา
เพื่อนๆ ก็มีกันหมดครับ ทั้งนอกและในวงการ เขาก็มีของเขา เราก็อาศัยไปเกาะเขาเอา ก็รู้สึกดี ไปไหนเดี๋ยวไปด้วยนะ แต่สุดท้ายแล้วเราก็ทำงานเยอะไง คือในช่วงเวลานี้เราก็ต้องทุ่มเท เพราะแอ็กชั่นหนัก เราก็ทั้งซ้อมมวย ทั้งเตรียมร่างกายตัวเอง อีกเรื่องหนึ่งก็ยังถ่ายอยู่ครับ ก็รู้สึกว่า แค่นี้มันก็เหนื่อยแล้ว”