xs
xsm
sm
md
lg

“แตงโม” หวนคืนบัลลังก์หวิว อยากเป็นตัวเอง เล่าความพีกในพีก ได้แฟนชื่อ “เบิร์ด” ไม่ต้องสักซ้ำ!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“แตงโม นิดา” เคลียร์ยื่นโนติสสื่อดัง เหตุพาดหัวแรง เบลอหน้า ลั่นไม่ได้ติดยา ฆ่าใครตาย หรือเป็นภัยสังคม จะเบลอหน้าทำไม ย้ำไม่อยากดำเนินคดี แต่วอนอย่าด้อยค่ากัน เผยขอกลับมาเป็นตัวเอง เดินทางสายแซ่บ พีกในพีกแฟนปัจจุบันชื่อเบิร์ด ไม่ต้องสักซ้ำ

หลังถูกสื่อดังพาดหัวข่าวตกอับขายเสื้อผ้า แถมคาดหน้าคาดตาจนทำให้แฟนๆ สงสัยว่าเป็นใคร พอคลิกไปอ่านในข่าวถึงรู้ว่าเป็นสาว “แตงโม นิดา พัชรวีระพงษ์”งานนี้ทำเอาสาวแตงโมทนไม่ไหว ฉะสื่อดัง พร้อมยื่นโนติสถึงการทำงานไปยังสื่อดัง วอนอย่าด้อยค่า สองมาตรฐานเกินไป

“ก็ในกรณีที่โมได้โพสต์ไอจีเกี่ยวกับเรื่องที่โมได้ให้พี่ทนายยื่นโนติสไปที่ทีวีพูลค่ะ เพราะว่าจริงๆ แล้วโมเองกับทีวีพูลมีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างรักกันก็เป็นมิตรภาพงามดีตั้งแต่สมัยโมแบบเข้าวงการใหม่ๆ ก็คือทีวีพูลหรือว่าพี่ติ๋ม (พันธุ์ทิพา ศกุณต์ไชย)กับพ่อโมเองก็ค่อนข้างสนิทกันมีความกันเองต่อกัน โมเองก็ค่อนข้างที่จะเรียกได้ว่าค่อนข้างสนิทกับพี่ติ๋มและรักใคร่กันพอสมควรเลยทีเดียวนะคะ
 
แล้วก็มันจะมีอยู่ช่วงนึงที่หลายปีมาแล้วมันจะมีข่าวโมอยู่ข่าวนึงซึ่งออกมาจากสำนักนี้ แต่ว่าพี่ติ๋มอาจจะไม่ได้ทราบว่าการทำงานขององค์กรอาจจะไม่ได้ตรวจทานทั้งหมดในการนำเสนอข่าวมันก็เลยมีข้อผิดพลาดที่มากระทบโมนิดนึงโมก็เลยยกหูหาพี่ติ๋มว่า พี่ติ๋มมันเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น แล้วโมรู้สึกว่ามันกระทบต่อตัวโมแล้วก็ครอบครัวโม โมเลยฝากให้พี่ติ๋มจัดระบบของการทำงานในองค์กรใหม่ พี่ติ๋มก็บอกว่าโอเคเดี๋ยวจะดูให้นะ

เวลาก็ผ่านไปหลายปีมากๆ แล้ว จนทุกวันนี้จากสำนักที่เป็นหนังสือหลายๆ ที่ก็เปลี่ยนตัวเองเป็นโซเชียลเน็ตเวิร์กต่างๆ พอมาเป็นโซเชียลเน็ตเวิร์กต่างๆ ทีวีพูลก็จะมีไอจีของทีวีพูลเฉพาะเหมือนกันเพื่อในการนำเสนอข่าวต่างๆ ของนักแสดง ศิลปิน

ทีนี้พอนำข่าวของโมไปเสนอโมรู้สึกว่าใช้มาตรฐานที่ไม่เท่ากันในการนำเสนอข่าวโม อย่างเช่นที่ยกตัวอย่างเห็นได้ง่ายๆ ก็คือเวลานำเสนอข่าวโม ใช้การพาดหัวข่าวที่รุนแรง ตรงนี้โมเจอมาค่อนข้างเยอะแล้วในชีวิตโมเลยมีภูมิต้านทานค่อนข้างสูง เวลาพาดหัวข่าวค่อนข้างแรงโมสามารถออกมาอธิบาย ออกมาพูดคุยมาเจรจาก็สามารถเคลียร์ข้อสงสัยได้ทุกอย่างอยู่แล้ว ถ้าสมมติว่าโมมีอะไรที่จะเคลียร์ แต่ในการที่พาดหัวข่าวเราแรงอย่างเดียวไม่พอ แต่มีการทำโมเสกที่ตาเราเหมือนกับทำให้ถูกสงสัยหรือมันเหมือนเป็นความข้องใจของคนอื่นที่เป็นผู้บริโภคหรือครอบครัวเราที่มาดูรู้สึกว่ามันเกินไปหรือเปล่า ที่เราเองไม่ได้ก่อคดีอาชญากรรม เราไม่ได้เป็นฆาตกร หรือว่าเราไม่ได้ไปฆ่าใครแต่ทำไมเลือกปฏิบัติกับเราเหมือนคนที่เปิดเผยหน้าได้อะไรแบบนี้

โมรู้สึกว่ามันเป็นสัญญาณที่ไม่ค่อยดีแล้ว โมก็โอเคมันเกิดมาครั้งนึงสำหรับโซเชียลของทีวีพูล โมก็ได้เตือนลงไปในไอจีของตนเองคือโพสต์เตือนแล้วว่าการทำแบบนี้บางครั้งอย่างกรณีแรกที่เคยเกิดขึ้นเป็นช่วงที่โมขายเสื้อผ้ามือสองแล้วได้พาดหัวข่าวไปทำนองที่ว่าตกอับจนโมไม่มีข้าวจะกินต้องใช้การขายเสื้อผ้ามือสองเพื่อแลกข้าวกิน อันนี้โอเคเราอธิบายได้แต่การพาดหน้าพาดตาเราเบลอเราไปทั้งตัวโมรู้สึกว่าถ้าพ่อแม่เรามาเห็นหรือลูกสาวเรามาเห็นในอนาคตโมไม่โอเค

โมเลยโพสต์ลงไปว่าทำแบบนี้นอกจากว่าความคิดเห็นมุมมองในการนำเสนอข่าวเกี่ยวกับเรื่องของแม่ค้ากลายเป็นการตกอับ โมมีความรู้สึกว่าสังคมค่อนข้างปกป้องตัวโมเองและก็ปกป้องอาชีพของเขาเองด้วยอยู่แล้วในระดับนึงนะคะ เพราะว่าพอหลายๆ คนได้มาเสพข่าวก็รู้สึกว่าทำไมการที่เป็นแม่ค้าหรือว่าการที่เราทำมาค้าขายหรือว่าการที่เราดิ้นรนหาช่องทางทำมาหากินเพิ่มเติมขึ้นกลายเป็นความตกอับ เพราะฉะนั้นตรงนี้โมรู้สึกว่าโอเคโมเตือน ที่เรามีความสัมพันธ์อันดีต่อกันมาก่อนโมก็ไม่อยากให้มันเป็นประเด็นมากมายไปกว่านี้ เพราะฉะนั้นโมก็ใช้มุมมองของตัวเองแล้วผู้เสพด้วยว่าการพาดหัวข่าวแบบนี้เป็นการบูลลี่กันหรือเปล่า อยากจะเตือนถึงสำนักข่าวหลายๆ ที่บางทีการพาดหัวข่าวอาจจะไปด้อยค่าสำหรับคนบางคนหรือสำหรับบางอาชีพอาจจะไปกระทบกระเทือนจิตใจ

ถัดมาเมื่อเร็วๆ นี้เหตุการณ์นี้ผ่านไปครั้งที่สองจากที่โมได้ลงเตือนไปแล้วก็กระทำซ้ำๆ แบบเดิมอีกก็คือมีการพาดหัวข่าวโมในเรื่องของการทำศัลยกรรมซึ่งเรื่องการทำศัลยกรรมโมตอบคำถามนี้มาตลอดไม่เคยปิดบังใครๆ ก็ตามพี่ๆ นักข่าวมาถามโมมักจะได้เนื้อข่าวกลับไปเสมอ โมไม่เคยหมกเม็ดหรือว่าจะแบบมีทริกมากมายที่จะมาเป็นความลับ เพราะฉะนั้นโมค่อนข้างจะแฟร์กับพี่ๆ นักข่าว ทำข่าวครั้งนี้ก็เหมือนเดิมอีกแล้วค่ะ พาดหัวไม่แรงเท่าไหร่แต่ยังพาดหน้าเบลอหน้าเราเหมือนเดิม เพราะฉะนั้นโมเลยรู้สึกว่าครั้งนี้เป็นครั้งที่สามแล้วโมเลยต้องปรึกษาทีมทนายว่าเราควรจะทำยังไงดีที่จะทำให้ความสัมพันธ์ของเรากับสำนักข่าวทีวีพูลไม่แย่ลงไปกว่านี้ โมเลยส่งหนังสือยื่นไป

หลักๆ แล้วโมไม่อยากจะให้ตัวเราเองกับสำนักข่าวเป็นความสัมพันธ์ที่แย่ลงก็เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้กับคนอื่น แล้วก็เรื่องที่สองคือไม่อยากให้การปฏิบัติมาตรฐานที่แตกต่างกันเหล่านี้กับดาราคนอื่น หรือศิลปินคนอื่น นักแสดงคนอื่น จะถูกปฏิบัติแบบเดียวกันกับโม โมรู้สึกว่ามันอาจจะก่อความไม่สบายใจให้กับศิลปินท่านอื่น

แต่ถ้าถามว่าโมอยากจะดำเนินคดีหรือว่าจะแจ้งความหรือว่าจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุดไหมอันนั้นก็ไม่ใช่จุดประสงค์หลักของโมสักเท่าไหร่ เพราะตัวโมเองไม่อยากมีศัตรูที่ไหน โมอยากจะอยู่กันแบบเป็นครอบครัวอยากจะอยู่เป็นพี่เป็นน้องกันพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันแบบนี้ตลอดไป เพราะฉะนั้นโมอยากจะให้พิจารณาถึงสไตล์แล้วก็จุดแข็งในการขายข่าวของแต่ละที่ แต่ว่าของที่นี่ที่มีประเด็นกับโม โมอยากจะให้พิจารณานิดนึงว่าบางครั้งการที่ทำแบบนี้อาจจะเป็นผลเสียต่อสำนักข่าวเอง หรือไม่ที่คนอื่นเขามีวิจารณญาณในการรับชมข่าวเขาก็สามารถที่จะสรุปในใจของเขาได้เองว่าอะไรเป็นอะไร”

เคยติดต่อไปแล้ว คาดหัวหน้าองค์กรงานยุ่ง ดูแลไม่ครอบคลุม
“เคยติดต่อไปเขาก็ให้เหตุผลว่าบางครั้งหัวหน้าองค์กรอาจจะมีงานที่ค่อนข้างยุ่งค่อนข้างเยอะจนไม่สามารถตรวจทานทุกๆ สิ่งทุกๆ อย่างได้อย่างครอบคลุม เข้าใจค่ะ โมเข้าใจว่าผู้บริหารจะไม่ค่อยได้ยุ่งเกี่ยวกับทุกๆ แผนกขนาดนั้น โมเข้าใจว่าแบบนี้นะคะ ก็จะมีทีมที่ทำโซเชียลทีมที่ทำข่าวทำคอนเทนต์ต่างๆ มันก็จะเป็นทีมๆ ไป”

หวังว่าจะพิจารณาตัวเองได้ว่าควรปรับปรุงตรงไหน
“โมไม่ได้แนะนำไปว่าจะต้องนำเสนอโมในแบบไหน โมแค่หวังว่าเอกสารที่โมยื่นไปจะทำให้เขาพิจารณาตัวเองได้ว่าควรที่จะปรับปรุงตรงไหนบ้าง โมแฟร์อยู่แล้วเพราะว่าอย่างที่บอกกับพี่ติ๋มค่อนข้างรักกัน เมื่อครั้งนึงในอดีตที่แบบโดนแบนพี่ติ๋มก็เป็นคนสั่งว่าไม่แบนโมเราจะไม่ทำอย่างนั้นกับคนที่รักกันเคยพูดประโยคนี้ทุกวันนี้เหมือนแบบหลายๆ อย่างค่อนข้างสวนทางเราอาจจะต้องมีการเตือนไปบ้าง”

หวังสะกิดเตือน ไม่ได้อยากดำเนินคดี
“ใช่ค่ะ แค่แบบว่าสะกิดนิดหน่อยแค่แบบเธอๆ มันเริ่มซ้ำๆ แล้วนะ ฉันรู้สึกนะไม่ใช่ฉันไม่รู้สึก อีกอย่างนึงก็คือเธอเองก็จะดูไม่ดีนะอะไรแบบนี้มากกว่า

ถามว่าโดนเข้าใจผิดอะไรบ้าง อย่างเช่นปกติแล้วเนี่ยข่าวพวกเนี่ยโมจะไม่ค่อยได้เห็นเองหรอก โมเองก็ไม่ได้ฟอลโลว์แต่ว่าส่วนใหญ่จะเป็นแบบ เฮ้ย พี่ ทำไมพี่โดนพาดตาแบบนี้ทำอะไรมา พอเราเห็นตัวเองก็ตกใจมากโมไม่ได้ขายยาเสพติดนะ โมงงมากว่าทำไมโมถึงตกอยู่ในสภาพที่ถูกคาดตาทั้งๆ ที่โมทำอาชีพสุจริตมาตลอดเวลา โมสู้ชีวิตมาตลอดเวลาเลยแต่ทำไมมันเป็นแบบนี้”

แล้วแต่จะวิจารณ์หากมองว่าไม่เห็นจะเป็นอะไร ลั่นไม่ต้องเบลอ ใช้ภาพตรงๆ ได้ หวั่น “อีสเตอร์” เข้าใจผิด คิดว่าเป็นภัยต่อสังคม
“วิพากษ์วิจารณ์ได้ค่ะ แต่ว่าในตามเนื้อข่าววิพากษ์วิจารณ์เราร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว แต่ว่าการใช้รูปภาพเปิด เผยภาพโมไปเลยค่ะ พอว่าคุณจะเบลอยังไงเนี่ย หรือจะใช้อักษรย่อยังไง ก็รู้ว่าเป็นโมอยู่แล้วเพราะฉะนั้นไม่จำเป็นต้องเบลอหน้าเลยค่ะ วันนึงในอนาคตถ้าอีสเตอร์โตมา เห็นภาพโมเบลอหน้าเบลอตา เอาโมเสกคาดตาบ่อยๆ แบบนี้ ลูกจะรู้สึกว่าเรา เป็นคนที่เป็นภัยต่อสังคมหรือเปล่าโมไม่อยากให้คนรู้สึกแบบนั้น โมไม่อยากให้คนรู้สึกว่า วันนึงถ้าค้นชื่อโมมา โมมีข่าวที่แบบคาดตาเหมือนคนที่ติดคดี โมคิดว่าโมดำเนินชีวิตโมมาหลงผิดไปในทางใดทางนึงแบบนั้น เพราะฉะนั้นวันนึงโมจะมาถูกกระทำแบบสองมาตรฐานโมก็คิดว่าเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้กับคนอื่นด้วย”

ลั่นไม่มีฟีดแบ็กกลับมา
“ไม่มีฟีดแบ็กกลับมาเลยค่ะตั้งแต่ส่งโนติสไปนะคะ แล้วก็ได้เช็กต้นสายปลายทางแล้ว และได้โนติสถึงทางต้นสังกัดแล้วแต่ว่าก็ยังไม่ฟีดแบ็กใดๆ กลับมา ส่วนอนาคตถ้าจะเกิดขึ้นอีกโมขอคิดดูก่อนแล้วกัน เพราะเราก็ยังไม่รู้ว่าเกิดขึ้นอีกจริงๆ จะออกมารูปแบบไหนหนักเบามากน้อยแค่ไหนก็ว่ากันไปตามเหตุผล แต่ตอนนี้มันยังไม่เกิดขึ้น งั้นควรเราให้โอกาสค่ะ”

กลับมาเป็นตัวเอง เดินทางสายแซ่บ หลังเคยประกาศจะเรียบร้อย เป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูก
“จริงๆ แล้วหลายคนเขาจะรู้สึกกับโมว่า โมเป็นตัวของตัวเองตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว และจะมีอยู่ช่วงหนึ่งที่โมมีลูกและประกาศว่าโมจะเรียบร้อยแล้วเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับลูกแต่ด้วยความที่ยุคสมัยก็ค่อนข้างเปิดกว้างแล้วก็ค่อนข้างเปลี่ยนไปบวกกับความเด็กสมัยนี้ค่อนข้างมีความเป็นตัวเองสูง โมก็ชั่งใจค่อนข้างหนักเหมือนกันว่าเราจะทำสิ่งที่ตัวเองรักออกมาได้เต็มที่หรือเราจะกดตัวเองไว้และเป็นคนที่ไม่มีความสุขอีกต่อไป โมก็เลยตัดปัญหาถามลูกเลยตรงๆว่าแบบหนึ่ง แบบ 2 ชอบแบบไหนมากกว่า

เอารูปไหนให้ดู ให้ลูกเลือกเลยค่ะว่าลูกชอบแบบไหน ปรากฏบอกว่ามี๊แบบนี้ก็โอเคนะ อีสเตอร์ชอบแบบนี้มี๊สวยดีมี๊ดูสวยกว่า เท่านั้นยังไม่พอ คุณผู้จัดการก็ค่อนข้างที่จะถูกใจ ผู้จัดการเขาก็เป็นสายแซ่บอยู่แล้ว นอกจากนั้นคุณแม่ก็ส่งข้อความมาว่าแม่ถูกใจมากเลยลูก เอาจริงๆ แล้วโมไม่อยากจะแนะนำให้มาทำตามโม จริงๆ แล้วเติบโตมาในวัฒนธรรมของคนไทยที่ค่อนข้างเรียบร้อยอยู่ในกรอบกะเกณฑ์ที่ดีอยู่แล้ว บ้านโมเป็นเคสพิเศษละกัน เพราะอินเนอร์ของเราทุกคนพาวเวอร์ของผู้หญิงบ้านนี้ค่อนข้างเยอะ พลังเยอะจริงๆ ไม่ว่าลูกสาวก็มีความเเข็งเเรงสูง ตัวผู้จัดการโมเอง คุณเเม่โมเอง เป็นผู้หญิงค่อนข้างแกร่งพอสมควรเพราะฉะนั้นอะไรดีก็จำไว้อันนี้ที่ไม่ดีก็ไม่ต้องเอาไปใช้ ไม่สมควรก็ขอพิจารณาด้วยค่ะ”

ถามว่าที่ผ่านมาไม่เป็นตัวเราหรือเปล่า มันก็ไม่เชิง เรามีบทบาทหน้าที่เป็นแม่ใช่ไหมค่ะในผลงานของเรา เราเล็งเห็นผลงานตรงนั้นมากกว่า ลูกเห็น ความที่เราไม่ได้เป็นตัวของตัวเอง เราก็ค่อนข้างตันเหมือนกัน แสดงศักยภาพไม่ได้เต็มที่เราก็ปรึกษาลูกเลยค่ะ มีความจริงไม่จริงในการใช้ชีวิต”

พีกในพีกได้แฟนชื่อเบิร์ด ไม่ต้องสักซ้ำ
“คนโฟกัสที่รอยสัก เพราะว่าอยู่ในความทรงจำหลายคน หรือว่าจะสะดุดกับมัน จะทักหรือคอมเมนต์อะไรเป็นเรื่องธรรมดามากๆ เลย เพราะว่ามันก็เป็นเรื่องราวในความทรงจำใช่ไหมคะของใครหลายๆ คน ก็เลยมาทัก แต่ด้วยความที่โมก็ว่าเป็นเรื่องบังเอิญอยู่นิดนึงเรื่องนี้ แต่ก็คงไม่บังเอิญหรอก คนที่คุยปัจจุบันนี้ชื่อเบิร์ด เบิร์ดก็เเปลว่านก เเฟนโมชื่อเบิร์ดนะพอดีเลยพีกในพีกนะเราไม่ต้องไปสักซ้ำ รอยสักยังอยู่กับเราจริงๆ เขารู้จักเรามานานมากกว่านั้นอีก โมว่ามันไม่มีความบังเอิญบนโลกใบนี้หรอกค่ะ คนทักเราก็ไม่ซีเรียส”











กำลังโหลดความคิดเห็น