จากกรณีที่ “สิตางศุ์ บัวทอง” เน็ตไอดอลคนดัง ถูกแม่แท้ๆ ของลูกบุญธรรมที่ตนรับไว้อุปการะ แจ้งความ หมิ่นประมาท เนื่องจากก่อนหน้านี้มีข้อพิพาทว่า ฝ่ายแม่แท้ๆ จะขอลูกคืนจากแม่สิตางศุ์ แต่เจ้าตัวยืนยันว่าไม่ให้คืน ยินดีจ่ายเงินให้ แต่เรียกร้องเยอะเกินไป พร้อมกล่าวอ้างถึงวีรกรรมของแม่แท้ๆ ก่อนที่ลูกบุญธรรมจะมาอยู่ในความดูแลของตัวเอง จนกลายเป็นต้นเหตุสู่การแจ้งความในครั้งนี้นั้น
ฝั่งนาง “วรรณา แซ่โง้ว” แม่แท้ๆ ของ “ตี๋น้อย” ลูกบุญธรรมของ “สิตางศุ์ บัวทอง” ได้เปิดใจให้สัมภาษณ์ ในรายการ “ถกไม่เถียง” ทางช่อง 7HD ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นว่า….
“ที่ร้องเข้ามาทางรายการถกไม่เถียง ต้องการได้ลูกคืน เพราะคนที่อ้างว่าเป็นแม่บุญธรรม ออกข่าวโจมตี ว่าร้ายตนเอง ไปให้ข่าวต่างๆ นานา จนคนในตลาดมาถามตนว่าทำไมปล่อยลูกไปอยู่กับเขาแบบนั้น เริ่มต้นคือตี๋น้อยหายไปตั้งแต่เดือนเมษายน ลูกกลับมาหาแค่ 2 ครั้ง แล้วหายไปเลย ลูกมาบอกว่าอยากเป็นดารา เราก็บอกว่าเป็นไม่ได้หรอก แต่ลูกก็ไม่ฟัง
หลังจากนั้นก็หายไปเลย แล้วก็เริ่มติดต่อลูกไม่ได้ สักพักหนึ่ง ก็มีข่าวว่าคุณสิตางศุ์รับลูกเป็นลูกบุญธรรม แถมมีการพาไปเปลี่ยนนามสกุลด้วย และจะพาไปบวชให้เขาอีก ถามพ่อถามแม่เขาหรือยัง แถมยังมีการมาด่าอีกว่าเป็นแก๊งขอทาน
ถึงแม้ลูกชายจะอายุ 23 ปีแล้วก็จริง แต่ลูกป่วยพิการทางสมอง มีบัตรคนพิการด้วย ทั้งหมดเป็นการตัดสินใจเพราะเขาป่วย หลังจากนั้นฉันจะไปที่สมาคมคนพิการ อยากให้เขาเช็กให้หน่อยว่าลูกไปเปลี่ยนนามสกุลรึยัง แล้วมีคนบอกว่ารับลูกฉันเป็นลูกบุญธรรม อย่างนี้มันทำได้ด้วยหรือเขาก็เช็กให้ พบว่าลูกยังไม่ได้เปลี่ยนนามสกุล ที่แม่คัดค้านไม่อยากให้ลูกบวช เพราะเราเชื่อตามคนโบราณว่าถ้าบวชแล้วสึกกลางพรรษาคนๆ นั้นจะกลายเป็นบ้า ตอนหลังเริ่มติดต่อลูกไม่ได้ มารู้อีกทีคือลูกไปบวชที่เขาวงกต ส่วนแม่สิตางศุ์ก็ออกสื่อบอกว่าเขาเป็นลูกไม่มีแม่”
สาบานให้รถชนตาย ไม่เคยทำร้ายร่างกายลูกตัวเอง ร้องขอความเป็นธรรม “สิตางศุ์” เอาลูกไปทำคอนเทนต์ด่าแม่ตัวเอง
“สำหรับเรื่องที่ตี๋น้อยออกมาบอกว่าโดนทำร้าย เอาน้ำกรอกปาก แม่สิตางศุ์ดูแลดีเหมือนแม่แท้ๆ นั้น เป็นเรื่องไม่จริง แม่ไม่เคยทำร้ายลูก ให้รถชนตายเลย ไม่เคยเอาน้ำกรอกปากลูกเลย ที่ลูกพูดไปเพราะเขาป่วย ถามว่าทุกวันนี้โกรธลูกไหม บอกเลยไม่โกรธ เพราะลูกป่วย ฉันพาลูกไปรักษาจิตเวชมาตั้งแต่เด็ก ตี๋น้อยหนีแม่ไปหาคนที่เพิ่งเจอกันไม่กี่เดือน
ฉันอยากร้องขอความเป็นธรรมบ้าง เอาลูกไปทำคอนเทนต์ด่าแม่อย่างนั้นอย่างนี้ ขอบคุณมากที่รายการได้ลงพื้นที่ ไปถามหาความจริง กับชาวบ้านที่อยู่ละแวกบ้านจะได้รู้ความจริงจากฝั่งแม่ด้วย ว่าแม่เลี้ยงลูกยังไง ฉันยอมไปศิริราช พาลูกไปรักษาจิตเวชที่ศิริราชจนถึงช่วงวัยรุ่น ทีนี้หมอบอกให้ย้ายไปรักษาที่แผนกวัยรุ่น แต่ตั้งแต่วัยรุ่นก็ไม่ได้มีการรักษาต่อเนื่อง”
ด้าน “สิตางศุ์ บัวทอง” เน็ตไอดอลคนดัง แม่บุญธรรมของตี๋น้อย เล่าอีกมุมว่า….
“ฉันบอกว่าฉันรับเด็กขอทานไว้คนนึง วันนั้นเขาโทร.มาทะเลาะกับลูกฉันลั่นบ้าน ระยะหลังมานี้เขาโทร.มาป่วนบ้านฉันทุกวัน ถามว่าทำไมตี๋น้อยไม่รับโทรศัพท์ เราเลยบอกตี๋น้อยว่าแม่เธอน่าจะป่วยนะ เพราะตี๋น้อยเองก็บอกว่าแม่ป่วย ต้องไปรับยาจิตเวชที่โรงพยาบาล และยังโดนสามีตบตีด้วย
ที่ฉันรับเด็กคนนี้เข้าบ้าน ฉันปรึกษาน้องชายกับสามี เพราะเด็กบอกว่าโดนครอบครัวทำร้าย เราก็เอ็นดูน้อง เรื่องพาเด็กเข้าวงการนั้น ตี๋น้อยปากเบี้ยว พูดไม่ชัด เราก็บอกแม่เขานะว่าลูกเธอทำงานไม่ได้หรอก ส่วนเรื่องที่ตี๋น้อยมีบัตรผู้พิการนั้น ฉันก็เพิ่งจะรู้ เขาบอกว่าเขาตามลูกไม่ได้ทั้งๆ ที่เขาโทร.มาด่าลูกทุกวัน
ฉันเต็มใจที่จะรับตี๋น้อยเป็นลูกบุญธรรม แต่ว่ายังไม่ได้เซ็นเอกสารกัน เพราะทนายเตือนว่าแม่เขายังไม่ได้ยอมรับเลย ก็เลยยังไม่ได้เซ็น ทีนี้ก็เลยคุยกันว่าเราจะให้เงินแม่แท้ๆ เขาเป็นรายเดือน แต่ไม่ได้บอกว่าจะให้กรณีไหน เพราะลูกเธอทำอะไรไม่เป็น ตี๋น้อยเป็นเด็กดีนะ แต่ครอบครัวเขาเลี้ยงไม่ดี”
เชื่อ “ตี๋น้อย” ลูกบุญธรรมพูดความจริง หากแม่แท้ๆ อยากจะพาตี๋น้อยกลับไปเลี้ยงดูเองตนก็ไม่ห้าม
“ฉันเชื่อว่าตี๋น้อยพูดเรื่องจริง เขาเล่าว่าโดนบูลลี่ที่โรงเรียน เพราะเขาสมองช้า ตอนนั้นฉันยังไม่ได้คิดประเด็นเรื่องผู้พิการนะ ฉันเพิ่งมารู้เรื่องตอนสมาคมผู้พิการโทร.มา ตอนแรกตี๋น้อยมาสมัครแคสงาน พูดไม่ค่อยได้ ปากเบี้ยว จับไม้กวาดยังจับไม่ค่อยได้เลย ฉันเลยช่วยเขาฝึกออกกำลังกายให้ ให้เขาใช้มือได้ปกติ จนเขาเริ่มดีขึ้น
ถ้าแม่เขาอยากจะเอาลูกกลับไป ฉันก็ไม่ห้าม อยากได้ก็เอาไป เด็กมีสิทธิใช้ชีวิตนะ ฉันขอใช้เวลาตรวจสอบก่อนว่าแม่เขาพูดจริงไหม แล้วฉันจะพาตี๋น้อยไปให้คุณหมอประเมินอาการก่อนว่าแค่สมองช้า หรือออทิสติก ฉันเคยไล่ให้ตี๋น้อยกลับไปบ้าน ตั้งแต่ครั้งแรกที่แม่เขาโทร.มาแล้ว คุณไม่มีสิทธิมาปรักปรำใช้คำหยาบคายกับฉัน”
ขณะที่ “พญ.วิมลรัตน์ วันเพ็ญ” ผู้อำนวยการศูนย์สุขภาพจิตที่ 13 กรมสุขภาพจิต พูดถึงอาการของตี๋น้อย โดยระบุว่า…
“เท่าที่ฟังจากที่คุณแม่เล่าว่าลูกมีปัญหาเรื่องการเรียน การควบคุมอารมณ์ และมีบัตรคนพิการประเภท 6 จริงๆ เป็นเรื่องภาวะบกพร่องทางการเรียน เหมือนเขาเชื่อมโยงตัวหนังสือไม่ได้ อ่านช้า เขียนช้า บกพร่องมากจนถึงขั้นเรียนได้ไม่ดี ซึ่งถ้าเป็นแค่อาการนี้อาการเดียว ไม่มีโรคอื่นร่วมด้วย ก็จะเหมือนคนปกติ เพียงแต่จะเรียนหนังสือไม่เก่ง
และจากที่ฟัง หมอเดาอยู่ 2-3 โรค น่าจะมีปัญหาเรื่องการควบคุมอารมณ์ และพฤติกรรม ถ้าตอนเด็กๆ ไม่กินยา อาจทำให้ไม่สามารถนั่งเรียนกับเพื่อนๆ ได้ และก็อาจทำให้ไม่สามารถที่จะเรียนรู้เรื่องการควบคุมอารมณ์ ถ้าจะให้ชัด น้องต้องไปตรวจเพิ่ม ถ้าวินิจฉัยตามบัตรผู้พิการ เขายังรับรู้เรื่องทุกอย่างได้ แต่ต้องประเมินกันอีกที มีโอกาสที่โรคจะพัฒนาไปมากขึ้นก็ได้ หรืออาจจะป่วยน้อยลงก็ได้
กรณีนี้หมอแนะนำให้พาน้องไปพบแพทย์อีกทีค่ะ ยิ่งที่เขามีประวัติอยู่แล้วยิ่งดีมาก เพราะจะได้วิเคราะห์อาการได้ถูกต้อง ทางที่ดีต้องไปพบคุณหมอให้หมดทั้งฝั่งคุณแม่ พี่ชาย และฝั่งแม่สิตางค์เพื่อให้คุณหมอวินิจฉัย หาที่มาที่ไป และทางออกที่เหมาะสมค่ะ”
ส่วนเรื่องคดีความนั้น “ดร.มนต์ชัย จงไกรรัตนกุล” หรือ “ทนายแก้ว” รองประธานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อม สภาทนายความ ในพระบรมราชูปถัมภ์ เผยว่า…
“สิทธิการเป็นพ่อแม่ลูกมันเลิกไม่ได้ มันจะต้องเป็นไปตลอดชีวิต เหมือนกัน บัตรผู้พิการเมื่อระบุให้คุณแม่วรรณาเป็นผู้ดูแล คุณแม่วรรณาก็ต้องมีสิทธิ์ในการปกครองลูก เบื้องต้นในการติดตามลูกคืน แม่สามารถไปติดตามลูกคืนมาได้
ส่วนเรื่องที่คุณสิตางศุ์จะยกเลิกบัตรผู้พิการนั้น ยังไม่สามารถทำได้ ต้องให้แพทย์เป็นผู้ประเมินก่อน และต้องมีการยินยอมจากผู้ดูแล ตามสิทธิ แม่วรรณาควรจะพาลูกไปหาหมอ เพราะสิทธินี้ควรจะเป็นผู้ปกครอง แต่ถ้าประเมินแล้วเด็กปกติ เด็กมีสิทธิที่จะเลือกได้ว่าจะใช้ชีวิตอยู่กับใคร”