xs
xsm
sm
md
lg

THE TOMORROW WAR ความลงตัวระหว่างไซไฟกับดรามา

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: หนังเร่



ด้วยเหตุผลร่วมกันของชาวโลกอย่างวิกฤติโควิค -19 จึงส่งผลให้หนังลงทุน 200 ล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา THE TOMORROW WAR ไม่มีโอกาสฉายในโรงภาพยนตร์ กระทั่งทางต้นสังกัด คือพาราเมาท์ต้องหาทางออกด้วยการส่งไปเผยแพร่ผ่านสตรีมมิง เมื่อช่วงต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา

ผู้อำนวยการสร้างของ THE TOMORROW WAR ไม่ใช่ใครไหนอื่น หากแต่เป็น คริส แพรตต์ ผู้รับบท ‘แดน ฟอร์เรสเตอร์’ ดารานำหรือพระเอกของหนังเรื่องนี้นั่นเอง

ว่ากันตามรสนิยม พักหลังๆ หรืออธิบายง่ายๆ ว่าน่าจะเกินสิบปีมาแล้วที่ผู้เขียนค่อนข้างเอือมๆ เอียนๆ กับหนังสัตว์ประหลาดบุกโลก ขยายความต่อไปได้อีกว่าความรู้สึกตื่นเต้น ตื่นตะลึงพรึงเพริดเหมือนตอนดูหนังแนวนี้เมื่อสักยี่สิบ – สามสิบปีก่อนได้มลายหายไปสิ้น

ต่อแต่เมื่อใช้เวลาสองชั่วโมงเศษไปให้กับ THE TOMORROW WAR เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาก่อนลงมือเขียนบทความชิ้นนี้

ผู้เขียนจึงบังเกิดความรู้สึกอันค่อนข้างจะคุ้มค่ากับการจับจ้องสายตาพร้อมๆ จินตนาการไปตามภาพที่ปรากฏ

สิ่งหนึ่งซึ่งนำมาเติมเต็มให้หนังไซไฟเรื่องนี้กลายเป็นหนังดีเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องราวความรัก ความผูกพันของครอบครัวของคนสามรุ่น

เอาจริง ๆ ก็หาใช่เรื่องแปลกใหม่อะไรเลย แต่แซค ดีน ผู้เขียนบท ซึ่งไม่ได้ถือว่ามีผลงานมากมายอะไรนัก กลับบันดาลดรามาให้การดำเนินเรื่องของหนังอย่าง THE TOMORROW WAR มีความพอดิบพอดี ประมาณว่าไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป

ที่สำคัญคือขับเคลื่อนเรื่องราวของหนังให้รู้สึกซาบซึ้งตรึงใจได้โขทีเดียว ทั้งๆ ที่จริงแล้ว แก่นแกนของ THE TOMORROW WAR ชัดเจนว่าเน้นสัตว์ประหลาดบุกโลก โดยมีมนุษยชาติเป็นผู้รับมือและแก้ไขปัญหา

ทว่าเอาไปเอามาดันถูก แดน ฟอร์เรสเตอร์ กับ ‘มูริ’ รวมถึง ‘ แดน’ ผู้ลูก กับ ‘เจมส์’ ผู้เพ่อ ขโมยซีนไปเสียดื้อๆ

อีกประเด็นหนึ่งซึ่งผู้เขียนยกนิ้วน้อยๆ ให้ ได้แก่ที่มาของ ‘ไวต์สไปก์’ เจ้าสัตว์ประหลาดนอกโลกที่สร้างอารมณ์ระทึกขวัญด้วยหน้าตา ท่วงท่า แล้วก็สุ้มเสียงที่หลอนเร้าเหลือเกินในทุกฉากที่ตะบึงตะโบมโจมจู่มา

แม้โลกยังหาทางสยบไวรัสโควิค -19 ไม่ได้ในตอนนี้ แต่ดู THE TOMORROW WAR จบ กลับรู้สึกว่าท้ายที่สุดมนุษยชาติย่อมมีหนทาง



กำลังโหลดความคิดเห็น