“เป้ ไฮร็อค” เผยโควิดฯ ทำงานเกือบ 30 งานหายไปกับตา ตัดใจไลฟ์ขายของสะสมทั้งที่เป็นคนพูดไม่เก่ง ก่อนทวนกระแสเปิดบ้านทำร้านขายสเต็ก ดึงญาติพี่น้องมาช่วย สุดปลื้มผลตอบรับดีเกินคาด บอกตอนนี้ได้ทำในสิ่งที่ชอบแล้ว และไม่หวังจะกลับไปร้องเพลงกลางคืน
เป็นอีกคนที่โดนผลกระทบจากโควิด-19 แบบเต็มๆ สำหรับร็อคเกอร์รุ่นใหญ่อย่าง “เป้ ไฮร็อค” หรือ “อนุวรรตน์ ทับวัง” ที่เจ้าตัวเปิดใจกับทีมข่าวบันเทิง MGR ว่าตนเองโดนผลกระทบวิกฤตินี้หนักมาก โดยตั้งแต่ก่อนปีใหม่ตนมีงาน 20-30 งานแต่ถูกยกเลิกหมด ทำให้ไม่มีรายได้กระทั่งต้องตัดสินใจนำของสะสมมาประมูลขาย
“ของที่ผมเอามาไลฟ์สดขายก็เป็นพวกของสะสมของผมนี่แหละ พวกนาฬิกา กีต้าร์ที่ผมเก็บสะสม กีต้าร์ก็เป็นร้อยๆ ตัว นาฬิกาก็เกือบพันเรือน แต่ก่อนมีตังค์ก็ซื้อเก็บไว้จนมันเต็มบ้าน หันไปหันมางานก็ไม่มีอะไรก็ไม่มี เก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์ ปลวกกิน ของมันก็เสื่อมโทรมไปเพราะมันไม่ได้ใช้ ผมก็เลยเอาออกมาประมูล"
"มันก็โอเค คนที่รักเราก็ประมูลสู้กันไป ถามว่าเสียดายมั้ย ผมว่าวิกฤติมันทำให้ผมไม่เสียดายนะ แต่มีบางตัวที่ผมต้องเก็บไว้ ตัวที่ใช้เล่นอัดเสียงผมก็จะเก็บไว้อยู่หลายตัวเหมือนกัน แต่จริงๆ อาทิตย์นึงผมประมูลไป 2-3 ชิ้นเอง เพราะเวลาที่ประมูลตั้งแต่ 1 ทุ่ม - 5 ทุ่ม ผมจะร้องเพลงซะเยอะมากกว่า ไม่ค่อยได้ประมูลหรอก"
เผยกิจกรรมหลักในชีวิตตอนนี้คือไลฟ์สดร้องเพลง ประมูลของของทุกวันเสาร์ เวลาประมาณทุ่มนึงในเฟซบุ๊ค และอีกอย่างก็คือธุรกิจ ร้านสเต็กชื่อ "เป้ ไฮร็อค คาเฟ่" ที่เปิดมาได้ร่วมเดือนแล้วพร้อมกับเสียงตอบรับที่ดีมาก
"ของผมก็เลยยังเหลืออีกเยอะมาก แต่ผมเชื่อว่าของมันก็มีเวลาของมัน ผมก็เลยเลือกที่จะเปิดร้าน มันเป็นอะไรที่ยั่งยืนและมั่นคงมากกว่า ก็ทำควบคู่กันไป แต่ถ้ามันไม่เกิดวิกฤติแบบนี้ผมก็ไม่เอาออกมาประมูลหรอก เพราะเล่นดนตรีมันก็เลี้ยงชีวิตผมได้ไปตลอดอยู่แล้ว"
"แต่ผมมองดูแล้วโควิดไม่รู้จะมีระลอกใหม่อีกหรือเปล่า แล้วระลอกนี้คนหายก็ยังไม่เยอะเลย ยังติดกันเป็นหมื่นอยู่เลย พอเห็นแบบนี้ผมเลยรู้สึกว่าคนอยากจะหาอะไรกินที่ไม่ต้องออกไปสุ่มเสี่ยงเชื้อโควิด ผมก็ส่งตามบ้านเลย ไม่เกิน 20 กิโลผมก็ให้หลานไปส่ง มันสะดวก"
"ร้านเปิดได้เดือนกว่าๆ แล้ว ก็รู้สึกว่ามันโอเคครับ ลูกค้าก็เยอะนะครับ ผมว่าเท่าที่เปิดมาเดือนนึงกับรายได้ที่เข้ามา ผมว่ามันโอเค หายเหนื่อย ที่เราคิดว่ามันจะดีหรือเปล่านะ คนจะเข้ามากินหรือเปล่านะ แต่มันก็เกินคาดของเราครับ หลายคนอาจจะไม่กล้าลงทุนช่วงนี้ แต่ผมเองก็ไม่ได้เปิดอะไรใหญ่โต"
"ไม่ได้ลงทุนเป็นล้าน ไปเช่าริมถนนเสียค่าเช่าแพงๆ พนักงานเป็นสิบๆ คนขนาดนั้น แต่ของผมมีพนักงาน 4-5 คน เป็นหลาน เป็นพี่ชาย เป็นพี่สาวผม ทุกคนเป็นคนในครอบครัว แล้วก็เปิดในบ้าน ไม่ต้องไปเสียค่าเช่า แล้วผมใช้ทุนสร้างแค่ 1-2 แสนบาทเท่านั้นเอง ซึ่งมันคุ้มค่ากับจุดที่เราได้มา"
"เราไม่ต้องไปเสียค่าเช่า ไปต้องไปจ่ายค่าพนักงานมากมายเป็นหมื่น คือมีเท่าไหร่ก็ให้เท่านั้น เพราะว่าเป็นพี่น้อง เป็นญาติ เป็นหลาน ทุกคนก็พร้อมใจที่จะช่วย เพราะทุกคนก็ไม่มีงานทำเหมือนกันช่วงนี้ ทุกคนก็ตกงาน แต่มาอยู่กับเรา พี่ชายผมก็ได้เล่นดนตรี ได้ร้องเพลงในร้านผม เขาก็แฮปปี้แล้ว"
"เหมือนพี่ช่วยน้อง น้องช่วยพี่ มันก็มีความสุข แล้วปัญหาเรื่องลูกจ้างนายจ้างมันไม่มี เพราะเป็นญาติออกมาจากท้องเดียวกันหมด”
บอกเป็นคนชอบทำอาหารอยู่แล้ว และลงมือทำให้ลูกค้าเองทุกจาน..."ที่เลือกเปิดร้านสเต็กก็เพราะผมเป็นคนชอบทำอาหารฝรั่ง ชอบทำข้าวผัดอเมริกัน ชอบกินสเต็ก อาหารที่ผมทำคือสิ่งที่ผมชอบทาน ผัดกระเพรา สปาเก็ตตี้ พอเราได้ทำสิ่งที่เราชอบก็มีความสุข"
"ทุกเมนูผมลงมือทำเองทุกอย่างครับ บางทีเด็กเสิร์ฟไม่พอผมก็เดินเสิร์ฟเอง ทุกคนที่มาร้านผมเขาแฮปปี้มาก บางทีผมไปเสิร์ฟเขายกมือไหว้ผมเลยบอกพี่เป้ไม่ต้อง ผมก็บอกไม่เป็นไร"
แนะทางออกต้องยอมเปลี่ยนวิถีชีวิตมองวิกฤติให้เป็นโอกาส...“ถามว่าคลายล็อคแล้วจะได้ไปเล่นคอนเสิร์ตข้างนอกมั้ย ผมว่ายังอีกนานนะครับ ผมว่าผู้ประกอบการเองก็แย่ เจ้าของผับเองก็ปิดไปหลายเจ้าเลยที่เคยไปเล่น เขาก็ไม่ไหว จะให้พวกเรารอคอยไปเล่นคอนเสิร์ตอย่างเดียว ทำงานเดินสายเดียวผมว่าน่าจะลำบาก"
"ผมก็เปลี่ยนชีวิตตัวเอง ผมไม่เคยประมูลของ ไม่เคยแหกปาก ไม่เคยมาพูดอะไรแบบนี้ เป็นคนพูดไม่เก่ง แต่สุดท้ายผมก็ต้องทำมันให้ได้ แล้วผมก็ทำได้ พอประมูลของ มีเงินสักก้อนก็เปิดร้านดีกว่า ขีวิตมันจะได้อยู่รอด ไม่ใช่ว่ารอคอยจะไปเล่นคอนเสิร์ตอย่างเดียว"
"มันต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตครับ ไม่ใช่จะมารอคอยเมื่อไหร่ผับจะเปิด อยากเล่นดนตรี ผมว่าอีก 3-4 ปีจะได้เล่นหรือเปล่า แต่โอกาสที่เห็นได้ชัดคือเราได้เปิดร้าน ได้ทำธุรกิจ ได้ทำธุรกิจในครอบครัว แล้วเงินทองมันจะไปไหน ดีกว่าเราเอาเงินจ้างคนอื่นใครก็ไม่รู้ ก็ให้พี่น้องเราดีกว่า เขาจะได้มีกินมีใช้"
"ผมว่าทุกคนต้องกินต้องใช้ และคนในหมู่บ้านผมมีประมาณ 5 พันกว่าหลังคาเรือน เขาก็ไม่ต้องออกไปกินนอกบ้าน เขาสั่งมาแล้วผมก็เอามอเตอร์ไซค์ไปส่ง มันก็สะดวก ได้ตรงนี้เยอะมาก บางคนอยากมาที่ร้านก็ได้ฟังเพลง ผมเองบางวันก็ขึ้นร้องเพลงด้วย"
"วันไหนอารมณ์ดี ลูกค้าไม่เยอะมาก คนสั่งอาหารน้อย ผมก็มานั่งร้อง คนที่เข้ามาก็เหมือนพี่น้องเรา เราก็ดูแลเช็ดโต๊ะ เช็ดจาน เช็ดช้อนให้ แทบป้อนเลยก็ได้ เพราะผมคิดว่าเราเป็นเพื่อนกัน เป็นพี่น้องกัน บางคนบอกว่ามีแต่คนปิดร้าน ทำไมเป้มาเปิดร้าน ผมไม่ได้ลงทุนเป็นหลักล้าน ผมลงแค่หลักแสน แต่สิ่งที่ได้กลับมามันคุ้มมาก"
"ไม่ต้องไปจ้างพนักงานคนละเป็นหมื่น แล้วเครื่องชงกาแฟหลานผมก็มีพร้อมหมด มันเหมือนพระเจ้าทรงโปรดผมด้วย ทุกอย่างมันพร้อมไปหมด พี่สาวก็ทำกับข้าวเก่ง ทำได้สารพัดอาหาร จังหวะมันพอเหมาะทุกอย่าง แล้วคนที่มาเขาก็อยากมาเจอผม มาถ่ายรูป ทุกคนมาแล้วก็มารอบ 2-3"
เผยทำกับข้าวก็เหมือนทำงานเพลง แต่รับตอนนี้ตนไม่ได้คิดเรื่องทำงานเพลงเลย
"ถ้าร้านผมขายดีขึ้น วันนึงผมก็เคยคิดว่าเบื่อที่จะออกเพลงเหมือนกัน แต่เพลงใหม่ก็มีนะ ทำเสร็จหมดแล้ว แต่ว่ายังไม่มีเวลาทำเลยตอนนี้ แขกเข้าร้าน ทำกับข้าว มันสนุกไงครับตอนนี้ มันเลยไม่ได้คิดเรื่องเพลง เรื่องทำอัลบั้มเลย เวลาผมผัดข้าวแล้วเห็นลูกค้าทานหมด ผมโคตรแฮปปี้มาก"
"ผมดีใจมาก เขาบอกอร่อยมาก เหมือนเวลาที่เราไปร้องเพลง แล้วคนบอกว่าชอบมากเพลงนี้ อารมณ์มันเหมือนกันเลย มันกลายเป็นเราต้องมาผัดข้าว มาปรุงแต่งให้รสชาติมันดี ใส่โน่นนิดนี่หน่อย เหมือนการเขียนเพลงสมัยก่อน หรือผมหลงเข้ามาแล้วก็ไม่รู้”
"ร้านผมอยู่บางบัวทองนะครับ หลังไทวัสดุ อยู่หมู่บ้านบัวทองธานีพาร์ค ซอย 5/16 ครับ ชื่อร้าน เป้ไฮร็อค คาร์เฟ่ ครับ ถ้ามาไม่ถูกก็กดกูเกิ้ลชื่อร้านมันก็จะขึ้นมาเลย ขื่อเพจร้านก็ชื่อเดียวกันเลยครับ ผมจะอัพเดททุกวัน ส่วนเฟซบุ๊คของผมก็คือ suruhs tupwang ติดตามกันได้ครับ”