“จุดเริ่มต้นของการโกหกมันเกิดมาจากความโลภ ไม่ใช่โลภเพราะเงินนะ แต่อยากดูร่ำรวย ดูเว่อร์ กูจะไม่เอาประเทศไทยแล้ว กูจะเอาระดับโลก…”
นี่คือประโยคคำพูดในการสัมภาษณ์ครั้งสุดท้ายของอดีตศิลปินหนุ่มที่เคยโด่งดังมากในยุค 90 “นาธาน โอร์มาน” หรือ “สุธัญ โอมานันท์” ผ่านรายการ คุยคุ้ยคน ในช่อง หนุ่ม คงกะพัน official ทางยูทิวบ์ ที่สัมภาษณ์ไว้เมื่อวันที่ 18 ม.ค. 2563 ซึ่งทางรายการได้นำเทปนี้กลับมาเผยแพร่อีกครั้งเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา หลังจากที่ นาธาน ได้เสียชีวิตไปจากภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด เมื่อวันที่ 4 ก.ค. 2563 จากจุดเริ่มต้นของการโกหก จนถึงจุดจบของคนที่คิดอยากจะเริ่มต้นใหม่ อยากจะขอโทษทุกคนที่มีบุญคุณ แต่ไม่มีโอกาสอีกแล้ว
“จุดเริ่มต้นของการโกหกมันเกิดมาจากความโลภ ไม่ใช่โลภเพราะเงินนะ เพราะตอนนั้นเราก็มีงาน แต่โลภเพราะอยากดูร่ำรวย ดูเว่อร์ กูจะไม่เอาประเทศไทยแล้ว กูจะเอาระดับโลก จริงๆ ก็ได้แรงบันดาลใจจากพี่ที่อยู่กับเราด้วย เขาบอกว่าไม่เป็นไรหรอก เขาโกหกกันทั้งนั้นแหละดาราน่ะ โกหกไปเรื่อยๆ เพราะเราคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่ เราไม่ได้ไปฆ่าใคร ท่องเอาไว้ เราไม่ได้ไปฆ่าใคร
จบปริญญาโท 4 ใบ มีด็อกเตอร์ 2 ใบแล้วนะ แต่ว่ายังไม่ได้บอกใคร ไม่เป็นไรหรอกเรื่องเล็ก เดี๋ยวก็เงียบไป ไม่มีใครเขาว่าอะไรหรอก ที่ไหนได้มันกลายเป็นจิตใต้สำนึกเรื่องดาร์กแล้ว ก็เริ่มคิดต่อไปเรื่อยๆ ดังดี สนุกดี ทีนี้ก็มาทำธุรกิจกับแฟนคลับ พาเขาไปเที่ยวโน่นนี่นั่น พอถึงเวลาจ่ายเงินไม่ทัน จริงๆ ธานไม่ได้มีปัญหาเรื่องเงินกับใครนะ แต่มันชักหน้าไม่ถึงหลัง เราก็บอกให้เขาออกไปก่อน เดี๋ยวจ่ายให้ แล้วมันก็เริ่มเยอะ แต่เราก็ยังไม่คิดอะไร เราไม่ได้โกง เดี๋ยวเราก็ใช้ คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่”
บอก “โดนัท-ปาล์มมี่” คือเพื่อนที่ดีที่สุด
“ตอนนั้นโดนัท (มนัสนันท์ พันเลิศวงศ์สกุล) ก็เคยเตือน เรายังไปตวาดเขาอีกว่า ถ้ามึงเป็นเพื่อนกันจริงก็ไม่ต้องพูด โดนัทเป็นเพื่อนที่ดีมากเลยนะ เป็นเพื่อนที่ดีที่สุด เป็นเพื่อนซี้มาก เราไปอีรุงตุงนังกันต่างประเทศ มีครั้งนึงไปเดินเจอผู้หญิงคนนึงที่สยาม เขาเดินมาบอกเราว่า เราอยากไปเนปาลกับเธอ เราศรัทธาเธอมากเลยนะ เธอเก่งมาก ผู้หญิงคนนั้นคือปาล์มมี่ (อีฟ ปานเจริญ) ธานก็เริ่มโกหกเพื่อน นี่บ้านของฉันนะ โน่นนี่นั่นนะ ฉันฝากผ้าเช็ดหน้าให้แม่เธอด้วยนะ เข็มมันก็เริ่มจิ้มอยู่ในอก แต่เราต้องไปต่อ เราต้องไม่ทำให้เพื่อนผิดหวัง พาปาล์มมี่ไปถึงภูเขาหิมาลัย นอนกับปาล์มมี่ทุกคืน พรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้นช่างหัวมัน เราต้องทำให้เพื่อนมีความสุขก่อน
พอคนเริ่มจับได้ว่าโกหก มันก็ต้องย้อนกลับไปว่ามันต้องโกงแน่ มันต้องเอาเงินคนโน่นนี่นั่น พอคนเริ่มไม่ชอบก็เริ่มจับผิด แม้แต่เรื่องศาสนา หาว่าตอแหล เป็นอิสลามเหรอ ไปละหมาดต่อหน้าต่อตาเขาก็ยังไม่เชื่อ บอกว่าเล่นเก่งนะมึง เหมือนจริง เพราะมันเริ่มจากการโกหกไง ใครจะเชื่อ การโกหกมันเป็นจุดเริ่มต้นของความไม่น่าเชื่อถือใดๆ ทั้งสิ้น ถึงแม้เราจะบอกว่าเราหยุดโกหกแล้ว แต่มันเหมือนน้ำท่วมอยู่กลางทะเล มันต้องใช้จิตวิทยามหาศาลมากในการที่จะกลับมาเป็นตัวเราเอง ตอนนั้นแค้น โมโห โกรธมาก รู้สึกว่าต้องมาว่าเราขนาดนี้เลยเหรอ แค่โกหก ไม่ได้ฆ่าใครตายสักหน่อย ตอนนั้นก็ยังไม่สำนึกนะ ก็เลยไม่แคร์ แต่ตอนนี้มันคืออุทาหรณ์ มันเป็นคำสอน ทุกๆ คำที่เขาว่าเรา ที่เขาคิดถึงการโกหก ขอให้เราได้บุญ ส่วนบุญต่างๆ ที่เราได้ทำกับใครไว้ ขอให้เลิกแล้วกันไป ถ้าเป็นพุทธก็คืออโหสิ ถ้าป็นอิสลามก็คือเราให้อภัยเขา อิสลามจะโกรธได้ไม่เกิน 3 วัน”
เสียดายคนดีๆ หายไปจากชีวิต ถ้ามีโอกาสสักวันอยากจะขอโทษทุกคน
“มีคนดีๆ เยอะที่หายสาปสูญไปจากชีวิตเรา เพราะเรามีความศรัทธาในเรื่องการโกหก เพราะเราเชื่อว่าการโกหกทำให้เรามีชีวิตที่รุ่งเรือง เพราะเชื่อว่าโลกมันคือมายา โลกก็คือละคร คิดมาก แต่เปล่าเลย เราคิดผิดทั้งหมด เพราะพ่อกับแม่ธานแยกทางกัน เราต้องย้อนกลับมาดูถึงสถาบันครอบครัว ธานยอมเปิดเผยเรื่องครอบครัวตัวเอง เมื่อก่อนยอมรับว่าอาย ในภาพที่ธานเขียนว่าคุณย่าเป็นคนรัสเซีย เลี้ยงมาพูดภาษาฝรั่งเศส อยู่ประเทศเนปาล แต่จริงๆ ไม่เคยมีข้อมูลเรื่องประเทศเนปาลเลย แต่ไปๆ มาๆ โกหกจนพูดได้ จิตใต้สำนึกมันฝังไว้ว่าต้องโกหกๆ พอคนเนปาลมาก็ดันพูดได้ พูดไม่ได้ 100% นะ แต่ว่าแก้ไขสถานการณ์ได้ คนก็มองว่าเราเก่งจังเลย พอคนมันชมเราเลยต้องไปต่อ เรามาถูกทางแล้ว ดีทำต่อไป คือมันเป็นปีศาจทั้งนั้นเลยนะที่อยู่กับเรา
ตอนนั้นธานอยู่คนเดียวไง พ่อแม่แยกทางกัน ธานมาผจญภัยที่กรุงเทพฯ คนเดียว แล้ว 1 ใน 60 ล้านคนยื่นโอกาสให้เรา เขาอยากให้เราเป็นอะไรเราก็ต้องเป็น เพราะสมัยก่อนมันไม่ได้มีดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งหรือไม่ได้มีโซเชียลเหมือนสมัยนี้ ก็ขโมยของที่บ้านเพื่อไปมอบให้เพื่อน แก้ว จาน ชาม กางเกงยีนส์ ขโมยแม่-หมดเลย กลับบ้านไปโดนยายตีบอกของหายไปไหนทั้งบ้าน (หัวเราะ) เพราะเราขนไปแจกเพื่อนทั้งห้อง คือมันต้องมีปมตอนนั้น มันมีเหตุผลทุกอย่าง พอเวลาผ่านไปเราก็เริ่มคิด แต่เราแก้ไขการโกหกของอีนาธานไม่ได้ อีนาธาน โอร์มานล้างไม่ได้
พอเริ่มมีข่าว ทุกคนที่เรามีปัญหาเราไม่ได้แก้ไข เราไม่ได้พูด ไม่ได้บอก หรือเราไม่ได้อธิบายว่ามันไม่ได้เป็นอย่างนั้นนะ เพราะเรากลัว ถ้าเรามีโอกาสได้คุยกัน มันจะไม่มีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น แต่ว่าตอนนี้มันเกิดไปแล้ว เราก็เลยรู้สึกว่าไม่เป็นไร เพื่อนคนนึงเสียไปหรือหลายๆ คนที่เสียไปก็ไม่เป็นไร สักวันนึงความเป็นเพื่อนมันต้องมี หรือแม้ 10-20 ปีผ่านไป วันนึงฉันจะบอก แล้วเราก็จะขอโทษเขา”
ชีวิตเปลี่ยนหลังจากติดคุก
“ถ้าธานไม่ติดคุกธานก็จะไม่หยุดนะ ธานจะต่อยอดไปเรื่อยๆ คิดนรกมาก แต่สิ่งสำคัญคือเราทำคนเดียวไม่ได้ เราทำเป็นมหากาพย์ตอนนั้น ดูสิไอ้สิ่งที่เราเคยทำดีๆ ไว้ ช่วยเหลือชาวมอร์แกน เราเป็นจุดเริ่มต้นนะ ทำโครงการทำทุกอย่าง จนมีพี่อ้น (สราวุธ มาตรทอง) มาช่วย ไปติดเกาะตอนสึนามิ เมื่อก่อนคนชมว่านาธานเธอเก่งมาก ไปสัมภาษณ์รายการ National Geographic เราเป็นคนแรก เป็นผู้รอดชีวิตอยู่ในนั้น ก็รู้สึกว่าอะไรที่กูทำดีๆ ตั้งเยอะแยะ แค่โกหกเองทำไมถึงด่ากูสาปแช่งขนาดนี้ ก็คิดนะ ทำดี 7 ครั้ง ทำชั่วครั้งเดียวมันลบหมดเลย มันเป็นคำสอนนะ
ทุกๆ คำที่ธานพูดเนี่ยก็อยากให้ทุกๆ คนหยุดด่าธานก่อน เราต้องให้ความสำคัญกับคนรอบข้าง ครอบครัว คนที่เราต้องการสื่อสาร ไม่ว่าจะลูก หลาน แฟนหรืออาจจะเป็นพ่อแม่พี่น้องปู่ย่าตายายอะไรก็แล้วแต่ อย่าโกหก พูดเรื่องจริง เพราะสังคมเปลี่ยนไปแล้ว ไม่ได้สนับสนุนให้ทุกคนไปติดคุกนะ หรือว่าพ่อแม่ส่งลูกไปติดคุกนะ แต่หมายถึงว่ามันเป็นจุดเปลี่ยนให้เราเป็นผู้ใหญ่ขึ้น เริ่มหยุด เริ่มนิ่งขึ้น คบคนพาล พาลพาไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล เราก็เริ่มคิด จะไปกราบพี่ดู๋ สัญญา จะไปกราบขอโทษคุณต้น ลาวัลย์ หรือว่ากับหลายๆ คน แต่ธานอาย แต่สักวันนึงอธิษฐานว่าถ้าเรามีบุญขอให้เราได้ไปกราบผู้มีพระคุณทุกๆ คน ทุกคนรักธานมาก แต่มันจะไปพูดอะไรได้ นาธานทำขนาดนี้”
การจะเริ่มต้นใหม่ต้องอดทนกว่าคนปกติถึง 4 เท่า
“การเริ่มต้นใหม่มันยากมาก เราต้องทำให้ได้ 4 เท่าของคนปกติ ไปซื้อของเชื่อไหมเขาคิดว่าจะไปขโมยของเขาหรือเปล่าอีนาธาน ตอนไปมินิมาร์ทเห็นคนอื่นซื้อก็มีพนักงานคนเดียว แต่พอธานไปซื้อมากัน 3 คน แล้วทุกคนก็มองโน่นนี่นั่น ก็คิดในใจนะว่ากูไม่ได้มาขโมยของ แต่เราก็ต้องอดทน ต้องอดทน 4 เท่ากว่ามนุษย์ปกติ แต่ก็ต้องทำ เพราะเราทำเ-ยไว้เยอะไง เราโกหกไว้เยอะ วิธีแก้ไขคือยอมรับความจริง อย่าไปอาย เขาบอกคนไทยล้มแล้วเหยียบ ธานว่าไม่จริงหรอก คนไทยเป็นคนยิ้มและเป็นคนขี้สงสาร เป็นคนให้อภัย ถือว่าเป็นประเทศเดียวในโลกที่ให้อภัยมากกว่า แต่ฝรั่งเขาจะพิสูจน์ เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แต่คุณเริ่มต้นจากการโกหกเขาก็ไม่เชื่อหรอก ยากสำหรับสังคมฝรั่ง แต่สังคมไทยให้อภัย ทะเลาะกันแล้วก็หายโกรธ
ก็อยากบอกว่าเราอย่าซ้ำเติมคนอื่น ใครก็แล้วแต่ที่ล้มแล้วก็อย่าไปเหยียบเขา เราต้องฝึกให้อภัยคน และอย่าเริ่มต้นด้วยการโกหก ธานเชื่อว่าการโกหกมันไม่เคยเป็นผลดีกับใครเลย ฉะนั้นถ้าคุณกำลังเริ่มจะโกหก หรือเริ่มเอาของคนอื่นที่ไม่ใช่ของตัวเอง ให้เราหยุด เพราะว่าความหายนะ แค่เราคิดว่าจะทำ นั่นคือบาป และมันเป็นจุดเริ่มต้นของความเลวร้ายที่สุด และมันไม่ได้เลวร้ายแต่เฉพาะตัวเราเอง แต่มันจะหมายถึงสังคมครอบครัว มันคือนรกบนดิน ถึงแม้ว่าทุกอย่างจะหายไปแล้ว แต่ประวัติศาสตร์ในสิ่งแย่ๆ มันยังอยู่ ทุกคนมีตราบาป แต่ทุกคนแก้ไขได้ เคสของนาธานเป็นตัวอย่าง ธานไม่ได้อายที่จะยอมพูดว่าตัวเองเป็นคนโกหก แค่อยากเตือนทุกๆ คนว่าลองมาเป็นนาธานสักนาทีนึงไหมหรือว่าสักวันนึง ทุกคนจะหายใจไม่ออกเลย มันเหนื่อยแสนสาหัสมาก”
เตือนหยุดความคิดที่จะเริ่มโกหกซะ เพราะมันคือหลุมมรณะ
“แต่ว่าเราทุกคนหยุดโกหกได้ สังคมมันเปลี่ยนไปแล้ว ทุกคนพูดเรื่องจริง อย่าอาย เราไม่มีเงินอย่าอาย เราพูดเรื่องจริง แล้วต่อไปโลกมันจะกลับกัน คนจะบริโภคสิ่งที่เป็นเรื่องจริง เฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ไม่ได้มีความสำคัญในชีวิต การมีเฟอร์นิเจอร์ไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นคนรวย เขามีเฟอร์นิเจอร์หรูเพราะเขาประสบความสำเร็จในชีวิต ไม่ได้หมายความว่าเราจะทำอย่างเขาไม่ได้ อย่ามองคนที่สูงกว่าเรา คนสูงกว่าเราเขาอาจจะมีปัญหาก็ได้ แต่เขาไม่ได้บอก คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตไม่ได้หมายความว่าเขามีความสุข
แต่เราต้องมองคนที่ต่ำกว่าเรา คนที่แย่กว่าเรา คนที่หาบของขายริมถนน หรือคนที่เป็นกรรมกรได้วันละ 240 บาท 350 บาท เขามีปัญหามากกว่าเรา เขายืนตากแดดทั้งวันได้ 300 เราทำงานแป๊บๆ ก็ได้เงิน ทุกคนพยายามจะตะเกียกตะกายให้ได้อาชีพที่หรูหราทำงานในสังคมที่ดี นี่เป็นสิ่งที่ดี แต่ต้องไม่เดือดร้อนคนอื่น เชื่อสิไม่เคยมีใครหนีการโกหกพ้น เพราะมันคือหลุมมรณะที่กำลังรอพวกคุณอยู่”
