กลายเป็นเรื่องอื้อฉาวเลยทีเดียว หลังจากอดีตแฟนสาวของนักแสดงหนุ่ม “ท็อป ณฐกร ไตรกิศยเวช” ยื่นฟ้องร้องดำเนินคดีกับฝ่ายชาย ในคดีทำร้ายร่างกายและกักขังหน่วงเหนี่ยว โดยความคืบหน้าวันนี้ (4 ต.ค.64) นี้ เวลา 13.30 น. ศาลแขวงพระนครเหนือ ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ ได้นัดทั้งสองฝ่ายมาไกล่เกลี่ยนัดแรก โดยฝ่ายหญิงเดินทางมาพร้อม “ทนายเจมส์ นิติธร แก้วโต” ทนายความส่วนตัว ในขณะที่ “ท็อป ณฐกร” ก็สู้ยิบตา ควงทนายมาตามนัด ศึกยกแรกใช้เวลานานกว่า 2 ชั่วโมงครึ่ง ผลปรากฏว่าไกล่เกลี่ยไม่ลงตัว แต่คดีมีแนวโน้มที่ดีขึ้นสำหรับทั้งสองฝ่าย
ทั้งนี้ หลังจากเสร็จขั้นตอนการไกล่เกลี่ย อดีตแฟนสาวของ “ท็อป ณฐกร” ได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนพร้อมด้วยทนายเจมส์ ซึ่งระหว่างนั้นเจ้าตัวถึงกับปล่อยโฮออกมา ด้านหนุ่มท็อปไม่สะดวกให้สัมภาษณ์ แต่ส่งคลิปสั้นๆ มาชี้แจงว่า ขอโทษที่ไม่ได้ให้สัมภาษณ์เนื่องจากตนต้องรีบไปทำธุระต่อ ซึ่งทาง ทนายเจมส์ ได้เปิดเผยว่า ยังไม่ขอเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับการเจรจา เพราะยังต้องนัดตกลงกันอีกในครั้งหน้า
“วันนี้เป็นนัดคุ้มครองสิทธินะครับ ซึ่งศาลท่านจะอธิบายให้ฟังว่าในสิทธิของผู้เสียหายมีอะไร สิทธิของจำเลยในคดีมีอะไรบ้าง แล้วแนวทางจะเป็นยังไงทั้งทางบวกและทางลบนะครับ และอาจจะไปเจรจาในส่วนของอะไรที่ทำให้ในส่วนของคดีจบลงด้วยดีทั้งสองฝ่าย นี่เป็นนัดแรกเลยที่ได้เจอกันครับ หลังจากที่เลื่อนมาเพราะโควิด วันนี้ทางฝั่งจำเลยก็มาครับ ศาลท่านก็เปิดโอกาสให้เจรจากัน ปรับความเข้าใจกัน แต่ยังไม่ลงตัวในบางเรื่องครับ แต่ผมขออนุญาตไม่เปิดเผยนะครับ เนื่องจากศาลท่านขอไว้ เป็นรายละเอียดที่ละเอียดอ่อนนิดนึงครับ
ก็อาจจะมีแนวทางที่อาจจะทำให้ทั้งสองฝ่ายสมประโยชน์กันทั้งคู่ และเดินคู่กันได้ในสังคมต่อไปครับ ก็คือมีอยู่หลายอย่าง แต่ยังตอบไม่ได้ตอนนี้ครับ ศาลจะนัดอีกทีเมื่อไหร่เดี๋ยวผมแจ้งอีกทีครับ เพราะศาลท่านกำชับมาว่ากลัวเรื่องของข่าวที่จะออกไปในทางผลเสียของทั้งสองฝ่าย แต่แนวโน้มค่อนข้างดีเลย เพราะอย่างนึงคือได้ปรับความเข้าใจกัน อันนี้เป็นหัวใจสำคัญครับ”
เผยวันนี้เป็นการเจอกันครั้งแรก ไม่มีการพูดคุยกันนอกรอบ
“ถามว่าเคลียร์กันลงตัวที่นัดนี้และจบได้เลยไหม ก็ยังครับ ต้องอีกนัดนึง นัดนี้อาจจะแค่เกริ่นๆ ไปก่อนว่าแนวทางจะเป็นยังไง และอาจจะต้องกลับไปตัดสินใจกันทั้งสองฝ่ายอีกทีนึงว่าจะเอายังไง จะเดินต่อหรือจะพอแค่นี้หรือจะยังไง แต่ถึงจะเคลียร์กันหลังไมค์ได้ เราก็ต้องมาขึ้นศาลครับ เพราะมันเป็นคดีอาญาแผ่นดินที่ยอมความไม่ได้
บรรยากาศวันนี้ก็ไม่มาคุนะ เพราะฝั่งทีมผมก็ต้องคุยกันไว้ก่อน คือเรามาศาล มาแสวงหาความยุติธรรม ไม่ได้มาแสวงหาความสะใจ ถ้าอยากได้ความสะใจต้องไปที่อื่น วันนี้เรามาเพื่อจบ ไม่ได้มาเพื่อมีเรื่อง อันนี้คือคุยกันตั้งแต่ตอนต้นเลยครับ และที่หายเข้าไปนานเกือบ 3 ชม.คือคดีนี้มันเป็นคดีอาญา พลาดไปนิดนึงก็ไม่ได้ มันคืออิสรภาพของทั้งสองฝ่ายนะ ไม่ใช่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เบื้องต้นคดีของจำเลยคือข้อหาทำร้ายร่างกาย-ทำอันตรายต่อกายและจิตใจ และ กักขังหน่วงเหนี่ยงครับ ทั้งหมด 2 ข้อหา”
ผู้เสียหาย : “วันนี้ได้เจอจริงๆ ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเลยค่ะ แต่ก็ไม่ได้คุยอะไรกัน เป็นหน้าที่ของกระบวนการยุติธรรมค่ะ เขาก็ไม่ได้มาพูดคุยอะไรค่ะ ถามว่ามีอะไรจะเคลียร์กับเขาส่วนตัวไหม ไม่มีค่ะ มันผ่านจุดตรงนั้นมาแล้ว เกือบปีแล้ว เดือนหน้าก็ครบปีแล้ว จริงๆ เหมือนเราอยู่กับบาดแผลตรงนี้มานาน มันก็เครียดมานาน โชคดีที่มีทนายที่เป็นคนที่มีความยุติธรรมด้วย และเป็นจิตอาสาที่ฟื้นฟู ให้กำลังใจเราด้วยค่ะ เราเครียดยังไงเขาก็ให้คำปรึกษาที่ดีมาก ถามว่ามีอะไรที่เรากังวลมากที่สุด ตอนนี้ก็อยู่ที่ขั้นตอนทางกฎหมายค่ะ อยากให้ผลออกมาเป็นยังไงเหรอ”
ทนายเจมส์ : “คงยังตอบไม่ได้ วันนี้น้องเขาก็คงกลับไปตัดสินใจอีกทีนึงนะครับ เพราะศาลท่านก็บอกแล้วว่าเดินทางซ้ายจะเป็นยังไง เดินทางขวาจะเป็นยังไง ตรงไปจะเป็นยังไง เพียงแต่วันนี้มันกะทันหันนิดนึง ยังตัดสินใจไม่ได้ เพราะฉะนั้นต้องกลับไปปรึกษาพ่อแม่พี่น้องก่อนครับว่าจะจบลงตรงไหนที่ทำให้น้องสบายใจมากที่สุดครับ สำหรับเรื่องตัวเลขค่าเสียหาย ผมขออนุญาตไม่เปิดเผยนะครับ เพราะอยู่ในส่วนนึงที่ศาลท่านกำชับว่าอย่าไปให้ข่าวนะ
ถามว่า 2 ข้อหาที่แจ้งไปเขายอมรับหรือปฏิเสธ ตรงนี้ยังไม่ได้ให้การครับ อันนี้ผมยังไม่ได้ยินว่าทางเขารับหรือปฏิเสธ เรายังไม่รู้ครับ พอดีคุยกันเฉพาะเรื่องนี้เฉยๆ ในส่วนที่เขาแจ้งข้อหากลับมาก็มีเรื่องของหมิ่นประมาท แต่ถ้าจบกันได้ก็คือจบหมดเลยครับ เขาก็แจ้งความไว้แล้วตั้งแต่เดือนก.พ. ทางอัยการท่านก็ขออนุญาตฟ้องอยู่ครับ แต่ถ้าเคลียร์กันได้เขาก็จะถอนแจ้งความ วันนี้ท่านผู้ประนอมท่านก็อยากให้เคลียร์กันให้จบ ไม่ต้องมีเรื่องกันต่อ”
วอนจะคอมเมนต์อะไรก็ขอให้นึกถึงใจเขาใจเราบ้าง
ทนายเจมส์ : “ถามว่ามันมีคอมเมนต์ที่พาดพิงฝั่งน้องผู้เสียหายเยอะเนี่ย คือพอเป็นข่าวดัง ประชาชนให้ความสนใจ เวลาวิพากษ์วิจารณ์ก็วิพากษ์วิจารณ์ได้ในของเขตนะ แต่ถ้าไปพูดอะไรที่มันเกินขอบเขต ถ้าน้องเขาติดใจก็สามารถดำเนินคดีได้ แต่ผมบอกน้องมาโดยตลอดเลยว่าสังคมนี้มันก็เป็นอย่างนี้แหละ มีทั้งบวกและลบ จะให้เขาเข้าใจเราทั้งหมดมันเป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นอะไรผ่านได้ก็ต้องผ่านครับ ผมก็ฝากผู้ที่จะคอมเมนต์ด้วยว่าการที่เราจะคอมเมนต์อะไรใคร มันเป็นบาดแผลลึกที่อยู่ในใจนะครับ บางแผลที่อยู่บนร่างกายยังหายได้นะ แต่บาดแผลในใจพอมันฝังแล้วมันฝังเลย คำพูดเราเจ็บยิ่งกว่าบาดแผลที่อยู่บนร่างกายอีกนะครับ จะคอมเมนต์ใครก็แล้วแต่นึกถึงใจเขาใจเราด้วยนะครับ ให้มีขอบเขต วิพากษ์วิจารณ์อย่างสร้างสรรค์ ไม่ใช่ไปด่าพ่อล่อแม่เขา”
ผู้เสียหาย : “(ร้องไห้) มันเหมือนฝันร้ายทุกวันค่ะ อย่างที่พี่เจมส์บอกเลย แผลข้างนอกมันหายหมดแล้ว เหลือแต่บาดแผลในใจเรา บาดแผลที่เรายังรักษาไม่ได้ มันยังฝันร้าย ยังกลัว ยังระแวง”
ทนายเจมส์ : “น้องเขายังต้องไปพบหมอทุกเดือนอยู่นะ เหมือนเป็นโรคหวาดผวาไปแล้ว”
ผู้เสียหาย : “ก็ไม่ถึงกับทานยาทุกวันค่ะ หมอเขาจะให้ยาคลายเครียด เหมือนค่อนข้างกลัวผู้ชายไปเลย ไม่กล้ามีเรื่องความสัมพันธ์ใหม่ กลัวไปเลย กลัวถ้าจะเริ่มต้นอีกมันจะเป็นยังไง จะเป็นอย่างนี้อีกหรือเปล่า มันก็ยังเป็นบาดแผลอยู่ จริงๆ อยากจะบอกว่าทุกคนเวลาจะเมนต์อะไรก็อย่างที่พี่เจมส์บอก ว่านึกถึงสภาพจิตใจของคนนั้นด้วย บางคนสนุก เมนต์หยาบๆ คายๆ เราไม่ได้ไปทำความเดือดร้อนให้พวกคุณเลย คุณดูกรณีเราเป็นกรณีศึกษา หรือเป็นอุทาหรณ์หรืออะไรก็ได้ที่เอาไปใช้กับชีวิตตัวเองก็ได้ เป็นข้อคิดหรืออะไรก็ได้ แต่คุณไม่ต้องมาด่าเรา เราไม่ได้ไปทำความเดือดร้อนอะไรให้พวกคุณ คุณด่าเราหยาบๆ คายๆ ด่าเราทำไม บางคนไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลยก็ด่า อยากให้สังคมมีทัศนคติที่บวกขึ้น ไม่ใช่ทัศนคติที่ลบ ต้องด่า ต้องอะไรตลอด”
เผยจนถึงตอนนี้ก็มีแค่ทนายกับทนายคุยกัน หาทางออกที่ดีที่สุด
ทนายเจมส์ : “ถามว่าทางเขาจะเยียวยายังไงบ้าง อันนี้เป็นเรื่องของอนาคตครับ ผมเชื่อว่าถ้ามีการคุยตกลงกันด้วยดีน่าจะทำให้ปมที่อยู่ในใจมันหายไปได้บางส่วนแหละ ผมขอระยะเวลานิดนึงครับ วันนี้ก็แค่ครั้งแรกที่เจอกัน นัดหน้าอาจจะมีอะไรที่ดีขึ้นก็ได้ แต่วันนี้ก็ยังไม่ได้คุยอะไรกันจริงจังมากมายครับ เพิ่งเจอกันครั้งแรก”
ผู้เสียหาย : “ถามว่าจริงๆ มีอะไรอยากจะคุยกับเขาไหม ไม่มีอะไรจะพูดกับเขาเลยจริงๆ มันผ่านช่วงเวลามาแล้ว”
ทนายเจมส์ : “ผมเองก็คุยกับทนายความของเขา ผมไม่ได้คุยกับคุณท็อป เราก็ไม่มีเบอร์กัน ผมก็เป็นทนายความเนอะ ต่างฝ่ายตามทำหน้าที่ ก็พยายามจะหาทางออกร่วมกันมากกว่า เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายสบายใจและจบด้วยดีทั้งสองฝ่าย อย่างว่ามันเป็นคดีอาญา ก็เลยค่อนข้างจะละเอียดนิดนึงในการที่จะจบในทางไหนที่จะเป็นประโยชน์ทั้งสองฝ่ายครับ”
ย้ำข่าวลือว่า “ทอยทอย ธนภัทร ชนะกุลพิศาล” ยังไม่ได้ออกจากคุกแน่นอน
“ยังไม่ได้ออกจากคุกครับ น่าจะมีคนไปปั่นกัน ผมไม่รู้ว่าใครเป็นคนไปปั่น ยังไม่ออกครับ คือออกจริงจากเรือนจำบำบัดพิเศษ ไปที่โรงพยาบาลรักษาโควิด แล้วพอหายก็ออกจากโรงพยาบาลไปเรือนจำพิเศษมีนบุรี ช่วงที่ออกไม่ได้ติดกำไลอีเอ็มครับ เพราะเขาใส่กุญแจมือ เป็นข่าวลือครับ ผมยังไม่ได้เตรียมเรื่องไปประกันตัวให้เขาเลย เพราะรอหลักฐานบางส่วน ตอนนี้ยื่นไปศาลก็ยกเหมือนเดิม เพราะยังไม่มีข้อเท็จจริงอะไรเปลี่ยนแปลง
ความคืบหน้าทางคดี คือผมได้มีโอกาสไปเจอเขาเมื่อวันที่ 6 ก.ย.ที่ผ่านมาครับ น้องเขาก็ยังคาใจเรื่องว่า 20 แผลจริงเหรอ ก็อาจจะต้องช่วยคลี่คลายข้อเท็จจริงตรงนี้ให้มันยุติ ให้น้องสบายใจว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง ถ้าน้องรู้ว่ามันเป็นเขาจริงๆ เขาก็ต้องรับสภาพ แต่ตอนนี้พอข้อเท็จจริงยังไม่ยุติ ในขณะที่น้องเองก็ยังตอบความชัดเจนไม่ได้ ผมเป็นทนายความก็จริง แต่ผมยุ่งอยู่ในส่วนของประกันตัว ผมไม่ได้ยุ่งเข้าไปในคดี เพราะฉะนั้นจะไปแนะนำเขาว่ารับเถอะ มันก็ไม่ได้ ถ้าเกิดรับเท่ากับว่าสิทธิของเขาหมดไปเลยนะ ฆ่าคนตายนะ ถ้าเกิดสมมติเขาไม่ได้มีเจตนาจะฆ่า แล้วไปบังคับให้เขาสารภาพข้อหาฆ่าคนตาย เท่ากับตัดอนาคต ตัดชีวิตเขาไปเลย อิสรภาพเขาตั้งกี่ปี ตรงนี้ก็ให้เขาตัดสินใจโดยที่พิจารณาเยอะๆ ปรึกษาหลายๆ คน ปรึกษาญาติครับ”
บอกตอนนี้รอแค่ผลทางนิติเวชเท่านั้น
“ผลทางนิติเวชก็ยังไม่ออกเลยครับ รออยู่ คือตอนแรกบอกว่า 45 วัน พอครบผมก็ไปถามเขา เขาบอก 45 วันทำการ มันก็เลยขยักๆ ไปอีก ถ้าผลออกก็น่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นครับ เราก็จะได้แนะนำแนวทางดำเนินคดีได้ถูกว่าจะเอายังไง น้องก็ต้องรอไปก่อน ต้องอดทนครับ สภาพจิตใจก็ยังมีสั่นๆ อยู่บ้างนะเวลาพูดถึงเหตุการณ์ตอนนั้น ไม่รู้ว่าน้องมันกลัวอะไรนะ ที่เขาคุยกับผมก็ยังมือสั่น ถามว่าเขาปรับตัวได้หรือยัง ก็น่าจะได้แล้วล่ะ แต่ตอนแรกก็ยังไม่ค่อยได้เท่าไหร่ เพราะไม่เคยกินข้าวแข็งๆ เจอข้าวแข็งก็รับไม่ค่อยได้เท่าไหร่ แต่ตอนนี้ก็น่าจะปรับตัวได้แล้วครับ
ถามว่าต้องขอให้มีแพทย์เข้าไปดูอาการไหมก็ไม่ได้ขออะไรขนาดนั้นครับ เพราะไม่ถึงกับจำไม่ได้เลย เป็นบ้าไปเลย ยังไม่ถึงขนาดนั้น คือน้องอาจจะตกใจชั่วขณะแล้วทำให้ความทรงจำในระยะเวลาตรงนั้นที่ตกใจสุดขีดมันหายไป ลืมไป และเวลาพอนึกถึงก็จะร้องไห้เป็นธรรมดาครับ ก็อาจจะต้องใช้เวลานิดนึงครับ”
