xs
xsm
sm
md
lg

“ไทด์” เข่าทรุด ร่วมส่งร่าง “แสงสุรีย์” ภรรยาสุดช็อก เชื้อไวรัสลงปอดรุนแรงเสียชีวิตกะทันหัน ลั่นไม่รู้ว่าติดโควิดจากไหน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เผาศพ “แสงสุรีย์” แล้ว “ไทด์” เข่าทรุดนาทีจากไป นับถือเหมือนพี่ชาย อย่างน้อยช่วยให้บั้นปลายชีวิตมีความสุขสบาย ด้านภรรยาเปิดใจสุดช็อก สูญเสียคู่ชีวิตที่อยู่ด้วยกันมา 13 ปี ไม่รู้ติดโควิดจากไหน เพราะในครอบครัวไม่มีใครติดสักคน เผยหัวใจหยุดเต้นกะทันหัน เหตุเชื้อไวรัสลงปอดรุนแรง เตรียมสานต่อเจตนารมณ์ที่สามีอยากไปทำบุญที่โคราช

“ไทด์ เอกพันธ์ บรรลือฤทธิ์” พร้อมครอบครัว “แสงสุรีย์ รุ่งโรจน์” ได้นำร่างอันไร้วิญญาณของนักร้องลูกทุ่งชื่อดัง เคลื่อนออกจากโรงพยาบาลสมุทรสาคร เดินทางมาถึงยังเมรุวัดบางพลีใหญ่กลาง จ.สมุทรปราการในเวลา 10.30 โดยมีลูกชายและลูกสาว “โอ๊ต-อาท-รัตน์-แอม” มารอรับร่างของบิดา ส่วนลูกชายอีก 2 คน คนหนึ่งต้องกักตัว เพราะอุ้มพ่อออกมาในวันที่ติดเชื้อโควิด-19 ส่วนอีกคนกำลังเตรียมงานสวดอภิธรรมศพอยู่ที่วัดยางสุทธารามหลังทำพิธีฌาปนกิจศพเสร็จจากวัดบางพลีใหญ่กลาง โดยทางญาติจะนำอัฐิไปสวดพระอภิธรรมเป็นเวลา 3 คืนที่วัดดังกล่าว ตามคำสั่งเสียของนักร้องลูกทุ่งชื่อดังที่เคยบอกว่าตนเองได้ไปฝากฝังกับหลวงพ่อของวัดยางฯ เอาไว้ว่าถ้าตายไป ขอให้นำกระดูกมาไว้ที่นี่

ซึ่ง ไทด์ ได้เปิดใจถึงการสูญเสียครั้งนี้ว่า ตนเองก็ไม่อยากจะเชื่อ เพราะเพิ่งทราบว่าอาการเริ่มดีขึ้นเอง

“ก็บอกคุณอาว่าขอให้คุณอาอย่าห่วงอะไรเลยนะ ขอให้คุณอาไปสบายไปสู่สังขยภพที่ดี ไปสู่แดนสุขาวดี เพราะคุณอาไม่เคยไปเบียดเบียนใคร ไม่เคยทำร้ายใคร ก็ส่งคุณอาไปสู่สรวงสวรรค์ บอกคุณอาว่าไม่ต้องห่วงอะไรทั้งสิ้นนะ เดี๋ยวจะดูแลเอง ก็ให้สัญญาไว้ว่าเราจะไม่ทอดทิ้ง เราจะดูแลเอง บ้านที่สร้างให้ก็จะเป็นคุณแอนจะต้องอยู่ไปคนเดียว

วันนี้เราก็ดูแลจัดงานให้ เพราะคุณอาบอกกับภรรยาว่าทุกสิ่งทุกอย่างถ้าเกิดเขาเป็นอะไรขึ้นมา เขาไม่ห่วงแล้ว เพราะมีเจ้านายสองคน ก็คือคุณบิณฑ์ บรรลือฤทธิ์กับผม เขาเรียกเราว่าเจ้านาย สองคนนี้จะทำทุกอย่างให้เขา ไม่ว่าจะอะไรก็แล้วแต่ แกบอกภรรยาไว้ตอนที่ยังไม่ป่วย เขาก็ดูข่าวว่าเห็นนักร้อง เห็นดาราคนนั้นคนนี้เสียชีวิตจากโควิด เขาก็คิดว่าตัวเขาจะรอดหรือเปล่า เขาก็เลยหันมาคุยกับภรรยาว่าถ้าเกิดเขาเป็นอะไรไปเขาไม่ห่วงหรอก เพราะมีเจ้านายสองคนคอยจัดการโน่นนี่ให้เขาอยู่แล้ว

เหมือนพูดเป็นลางไหมเราก็ไม่รู้ แต่ทุกวันนี้ก็ยังคิดว่าน่าจะเป็นข่าวลือมากกว่า คือวันก่อนที่แกจะเสียวันนึงยังให้สัมภาษณ์อยู่เลยว่าอาการดีมาก ผมดีใจจริงๆ เลย นี่ยังคิดอยู่เลยว่าวันนึงฝันเอาไว้ว่าจะต้องมีภาพที่เราไปรับคุณอาออกจากโรงพยาบาล ใส่ชุดให้แกหล่อๆ แล้วพามาส่งที่บ้าน แล้วก็ว่าจะซื้อโน่นนี่ในบ้านให้แกไว้ เผื่อแกจะได้พักฟื้นร่างกาย มีนั่นนี่กินเพื่อเป็นประโยชน์กับร่างกาย ก็ยังคิดเลยว่าจะดูแลจนกว่าที่แกจะไปเลย แต่ไม่คิดเลยว่ามันจะเป็นอะไรที่เร็วมาก เข่าทรุดเลย”

ดีใจได้ช่วยให้บั้นปลายชีวิตมีความสุขสบาย
“แต่ยังไม่มีโอกาสได้คุยกับคุณหมอเลย เพราะศพโควิดนี่พอไปถึงปุ๊บเขาก็ให้ออกเลย เพราะยังมีนอนอยู่ในห้องที่เขารอญาติมารับอีกประมาณ 5-6 ราย เป็นโควิดประมาณ 4 ราย เขาเลยต้องรีบเอาออกมา แต่ก่อนวันที่จะเสียก็มีโอกาสได้คุยบ้าง ว่าระบบการหายใจของคุณอามีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องปอด ซึ่งเอายาฆ่าเชื้อลงไปแล้วเหมือนมันต่อต้าน และไม่รับยา แต่วันแรกๆ ที่ผ่านมารับยาได้ดีมาก หรือมันเป็นมากไปหรือทุกอย่างไม่รู้นะ ปอดเขาก็เหมือนกับหายใจเข้า-ออกไม่สม่ำเสมอ ก็เลยมีอาการดิ้นทุรนทุรายเหมือนจะขาดใจ หมอเขาก็ช่วยกันขึ้นมาสุดความสามารถ แต่คุณอาก็ไม่ไหว แต่ผมบอกกับทางคุณแอนภรรยาแล้วว่าถ้าเกิดคุณอาจะจากไป อย่าใช้ไฟฟ้าช็อต ยาใช้ซีพีอาร์ เพราะกระดูกแกเปราะบาง เดี๋ยวจะหักได้ อีกอย่างอยากให้คุณอาแกไปสบาย อย่าฝืนขึ้นมา คุณแอนเขาก็โอเค ก็บอกคุณหมอไป

ถามว่าผูกพันกับคุณอาขนาดไหน คือตั้งแต่ 2 ปีที่แล้วที่ดูแลกันมา แล้วคุณอาก็นิสัยดีด้วย เป็นคนที่น่ารักมาก เราก็รักแกเหมือนพี่ชายคนนึง พยายามหางาน หาเงินให้แก เมื่อก่อนพาไปเกือบทุกวัน อย่างน้อยแกมีเงินเข้าบ้านวันละหมื่นบาท บางทีสัปดาห์ละ 4-5 วัน แรกๆ นั่งรถเมล์ แต่พักหลังมีเพื่อนแกที่ขับแท็กซี่ ก็เลยจ้างประจำคอยรับส่งแกตลอด ชีวิตแกตอนนั้นคือสุขสบายมาก แกยังบอกเลยว่าชีวิตผมตั้งแต่มาเจอเจ้านาย ผมมีความสุข และมันไม่ลำบากเหมือนเมื่อก่อนเลย ได้บ้านหลังใหม่ที่คุณบิณฑ์ บรรลือฤทธิ์สร้างให้ ติดแอร์ให้ด้วย ทุกสิ่งทุกอย่างทำให้ใหม่หมด แต่เป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ ที่แกอยู่ แกอยู่สุขสบายให้ยืดยาวกว่านี้มันก็ไม่ได้ เพราะเขาสร้างมาให้แกอยู่ได้แค่นี้

ก็เสียดายครับ แกเป็นคนน่ารัก เป็นคนดีมาก ก็ผูกพันกันด้วยความดีของแก ทำไมเราถึงได้ทุ่มเท ทำไมเราถึงได้รักแก เพราะแกเป็นคนที่น่ารัก เป็นคนที่ไม่เป็นพิษ เป็นภัยกับใคร ไม่เคยว่าใคร ไม่เคยอะไรกับใครทั้งสิ้น อะไรก็ได้ มีก็เอา ไม่มีก็ไม่เป็นไร ไม่ได้เที่ยวเสาะแสวงหา ไม่ได้ว่าเป็นนักร้องดังกูต้องมีรถ ต้องมีบ้านหลังใหญ่ ขอให้ไม่มีหนี้สินเท่านั้นก็พอแล้ว ถ้าไม่มีหนี้แกจะนอนตายตาหลับ ลูกหลานไม่เป็นภาระ ไม่ต้องมาใช้หนี้ให้แก นี่คือสิ่งที่แกคิด

ถามว่าบ้านซอมซ่อนี่อยู่มากี่ปี 20 กว่าปีที่แกอยู่มา ไม่มีหนี้ ไม่มีสินเพราะไม่อยากกู้มา แกก็อยู่ไปอย่างสมถะ นี่คือสิ่งที่เพียงพอสำหรับชีวิต 2 ปีที่เราดูแลกันมาบั้นปลายชีวิตแกไม่ต้องลำบาก ทั้งภรรยาด้วย แต่อย่างว่าบุญใครทำมาขนาดไหนก็ต้องไป ทุกคนเกิดมาก็ต้องจาก เร็วหรือช้าเท่านั้นเอง แต่เขายังโชคดีว่าช่วงชีวิตนึงเขามีความสุข เขามีเพลงของตัวเอง ได้มาอัดเพลงของตัวเองอีกหนึ่งเพลง ขื่อ ชีวิตแสงสุรีย์ ลองไปเปิดฟังในยูทิวบ์ได้ นั่นคือชีวิตของแกที่แกแต่งออกมาจากใจจริงของแกเลย”

ด้านภรรยา “แอน วราภรณ์” ได้เปิดใจว่าไม่คาดคิดว่าสามีจะจากไปไวขนาดนี้ เนื่องจากก่อนวันอาการทรุด ยังสามารถกินอาหารอ่อนๆ ได้ เผยสายสุดท้ายคือหมอโทรตอน 11.00 น. โทรมาแจ้งทำให้ตนเองช็อก ซึ่งตอนนี้ก็ยังช็อกอยู่ ขอบคุณทุกอย่างในชีวิตที่ดูแลกันและกันมาตลอด 13 ปี

“ก็ช็อกเหมือนกันค่ะ 6 วันที่แล้วคุณอาถอดเครื่องช่วยหายใจออก และคุณหมอเริ่มให้ทานอาหารอ่อน เริ่มทานโจ๊กได้แล้ว มีแค่ออกซิเจนที่เกาะจมูก คือสามารถที่จะหายใจเองได้พร้อมสายออกซิเจน ก็คิดว่าดีขึ้นตามลำดับ แต่เมื่อวันก่อนตอนกลางคืนคุณอามีภาวะหายใจ คือแกดิ้นส่ายไปส่ายมา แล้วทำให้เหนื่อย หายใจด้วยตัวเองไม่ได้ พอเช้าก็ระดมทีมแพทย์มาช่วยเอาเครื่องใส่ใหม่ แต่คุณอาก็หัวใจหยุดเต้นกะทันหันค่ะ

คุณหมอก็บอกว่าเกิดจากเชื้อไวรัสลงปอดอย่างรุนแรงค่ะ ก่อนหน้านี้คุณหมอก็ให้ยาต้านเรื่อยๆ คือปอดด้านนึงได้ยาต้านแล้ว แต่อีกข้างนึงเหมือนจะลามไป คือยายังไม่ถึง ก็เกิดภาวะเหนื่อย หายใจเองไม่ได้ แต่เมื่อ 6 วันที่แล้วเหมือนจะดีเลย เหมือนมีแพลนที่จะย้ายออกจากห้องไอซียูด้วยค่ะ แต่ทีนี้คืนวันที่ 9 ที่ระบบหายใจแย่ ก็ช็อกมากค่ะ ทุกคนช็อกหมด ไม่ได้เตรียมใจอะไรเลย ถามว่ามีลางสังหรณ์ไหม ไม่มีค่ะ เห็นหน้าแกครั้งสุดท้ายวันที่ 30 ได้เข้าไปพร้อมกับพี่ไทด์ จากนั้นเขาก็ไม่ให้เยี่ยม แล้วก็ไม่ได้เห็นหน้าแกอีกเลย ไม่ได้คุยโทรศัพท์เลยค่ะ คุณหมอไม่อนุญาต คือถ้ามีอาการอะไร คุณพยาบาลเขาจะโทร.มาแจ้งว่าคุณอาเป็นแบบนี้ๆ นะ เราจะขอเข้าเยี่ยม เขาก็งด เยี่ยมไม่ได้ค่ะ

ตอนที่คุณอาเสีย ทางโรงพยาบาลก็โทร.มาแจ้งค่ะ น่าจะประมาณ 11 โมง คือคุณหมอ คุณพยาบาลเริ่มโทร.มาตั้งแต่เข้าแล้ว โทร.มาเป็นระยะๆ ว่าอย่างนี้ๆ นะ คุณอาหายใจช้าลง ชีพจรเต้นช้าลง ก็จะรายงานทุกระยะค่ะ พอประมาณ 11 โมงคุณหมอก็โทร.มาแจ้งว่า หมอขอแสดงความเสียใจด้วยนะคะ คุณอาได้จากไปแล้ว หมอช่วยเต็มที่ค่ะ เราก็ช็อกเลย ไม่สามารถจะคุยกับใครได้ จุกเลย เพราะเราใช้ชีวิตอยู่กันมา 13 ปี”

บอกไม่รู้จริงๆ ว่าติดโควิดจากไหน เพราะตนและลูกๆ ไม่มีใครติดเลย
“ไม่ทราบเลยค่ะว่าคุณอาติดโควิดมาจากไหน เพราะเราเองก็ตรวจ 3 ครั้งแล้ว ก็ไม่ติด ไม่เป็น แม้กระทั่งลูกชายที่วันนั้นมาอุ้มพ่อขึ้นรถ ก็ไม่มีใครติดเลยค่ะ ตรวจกันหลายครั้งแล้วค่ะ ถามว่าอาจจะติดมาจากโรงพยาบาลไหม ก็ไม่ทราบเหมือนกัน แต่ที่แน่ๆ ที่บ้านไม่มีใครติด มีแต่คุณอาที่ติดคนเดียว จริงๆ วันที่ 28 คุณอาเข้าโรงพยาบาลแห่งหนึ่งที่จังหวัดสมุทรปราการ ผลออกวันที่ 29 ก็คือผลเป็นลบ คุณอาไม่ได้ติดโควิด พอเย็นวันที่ 29 คุณอาย้ายไปที่โรงพยาบาลสมุทรสาคร เช้าวันที่ 30 คุณหมอตรวจ พอบ่ายผลออกว่าคุณอาติดโควิดลงปอดอย่างรุนแรง คือวันที่ 28 แกมีอาการไข้ หนาวสั่น แต่ไม่มีไอ ไม่มีน้ำมูกอะไรเลย พอประมาณสักเที่ยงคืนทางโรงพยาบาลแห่งหนึ่งจังหวัดสมุทรปราการแจ้งมาว่าคุณอาความดันตก น้ำตาลต่ำมาก แต่ไม่ได้แจ้งผลโควิด พอเช้าก็ไม่มีโควิด จนมาตรวจซ้ำวันที่ 30 ถึงรู้ว่าคุณอาเป็นโควิดลงปอดอย่างรุนแรงค่ะ”

เตรียมสานต่อเจตนารมณ์ของสามีที่อยากไปทำบุญที่โคราชให้สำเร็จ
“แต่ตอนแรกที่ไปหาหมอคือแกมีโรคประจำตัวอยู่แล้ว คือเบาหวานกับโรคหอบค่ะ ที่ไปก็เพราะแกมีอาการจากโรคประจำตัว แต่พอวันที่ตรวจรู้ว่าแกติดโควิด แกก็ยังสื่อสารได้ค่ะ พอ 3 วันต่อมาก็ถอดเครื่องช่วยหายใจออก ทานโจ๊กได้ รู้เรื่องดี จำชื่อตัวเองได้ พูดคุยได้ แต่จะมาทรุดหนักคืนวันที่ 9 หายใจด้วยตัวเองไม่ได้ วันสุดท้ายที่ได้คุยกับคุณอาก่อนจะเข้าห้องไอซียู ก็บอกแกว่าอย่าเพิ่งเป็นอะไรนะ ต้องหาย ต้องสู้ พี่ต้องหายนะ เขาก็พยักหน้าค่ะ เขาจำได้ จำพี่ไทด์ได้ ก็ไม่ได้สั่งเสียกันเลย ถามว่าแกมีห่วงอะไรไหม ก็คงห่วงความเป็นอยู่ การได้ออกไปร้องเพลง เพราะแกไม่ได้ร้องเพลงเลย 2 ปีตั้งแต่มีโควิดมา สิ่งที่แกอยากทำก็คือร้องเพลงและการได้ไปทำบุญ เพราะแกจะไปถวายกฐินองค์พระประธานที่วัดที่โคราช แกตั้งใจไว้ค่ะ แต่ในเมื่อแกไม่อยู่แล้ว แอนก็ต้องสานต่อไปทำให้แกจนสำเร็จค่ะ

ก็อยากจะขอบคุณที่คุณอาดูแลซึ่งกันและกันเป็นอย่างดีค่ะ คอยเป็นห่วงเป็นใยกันตลอด ก็คือขอบคุณทุกอย่าง คุณอาเป็นคนดีค่ะ ดูแลดีค่ะ ดูแลซึ่งกันและกันค่ะ เวลาเขาดีๆ เขาก็ไปร้องเพลง เราก็ไปด้วย เวลาเขาเจ็บไข้ได้ป่วยเราก็ดูแลเขา ก็ร่วมทุกข์ ร่วมสุขกันมา ถ้าตอนทุกข์ก็ถึงขั้นไม่มีเลยค่ะช่วงโควิด ก็ได้พี่บิณฑ์ พี่ไทด์ไปช่วย ทำให้แกก็ฟื้นขึ้นมา ได้เดินสายร้องเพลง แต่ก็ไม่ได้นาน แป๊บเดียวก็มาติดโควิด

ก็เสียใจ มันแน่น พูดไม่ออกเลย ช็อกมากค่ะ นี่ก็ยังคิดว่าแกนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล แกยังไม่ได้จากไป ส่วนลูกๆ คือแกมีกับภรรยาเก่าค่ะ ลูกทั้งหมด 6 คนค่ะ หญิง 2 ชาย 4 แล้วแกก็มีเพลง สาวงามเมืองตาก ที่แกร้องไว้ล่าสุด แล้วก็เพลงตอนพี่บิณฑ์กับพี่ไทด์ช่วยตอนแรกคือ ขีวิตแสงสุรีย์ ค่ะ”























กำลังโหลดความคิดเห็น