จากเจ้าพ่อซีรีส์วายที่ยึดหัวหาดกวาดเอาใจสาววายไปครองได้ไม่น้อย สำหรับ “มีน พีรวิชญ์ อรรถชิตสถาพร” ที่แม้ตอนนี้จะประกาศว่าต่อจากนี้จะไม่รับเล่นซีรีส์วายอีกแล้ว แต่ล่าสุดก็ขอใช้ยุทธวิชาที่ตนเองเคยประสบมา งัดมาใช้กำกับในซีรีส์วายเรื่อง “หนังสือรุ่น” ที่บอกเลยว่างานนี้เจ้าตัวขอแหกทุกสูตรสำเร็จของซีรีส์แนวนี้เลยก็ว่าได้
โดยเจ้าตัวได้เล่าให้ MGR Online ฟังว่าตอนนี้ก็ได้นั่งแท่นเป็น Exclusive Producer ให้คำปรึกษากับ 2 นักแสดงหน้าใหม่อย่าง “ลิตไตเติ้ล เตชินทร์ อนุศาสนนันท์”และ “แมน ศุภกฤต จรูญเมธา”เด็กปั้นเบอร์ล่าสุดของ Ultimate Troop ในฐานะที่ตนเองเคยมีประสบการณ์มาก่อน แต่ไปๆ มาๆ ก็เลื่อนขั้นมาเป็นผู้กำกับ 2 เน้นงานภาพ ซีนอารมณ์เพราะตนเองเรียนจบมาด้านนี้โดยตรง พร้อมยังบอกว่าไม่กดดันถ้าทุกคนจะจับตามองว่าเอาชื่อเสียงมาเสี่ยงไหม แต่มองกลับกันถือว่าเป็นการหาประสบการณ์งานเบื้องหลัง ผมยืนยันว่าซีรีส์เรื่องนี้แหกทุกกฎสูตรสำเร็จของความเป็นวาย แถมยังบอกอีกว่าซีรีส์เรื่องนี้ลงทุนไม่ถึงล้านอีกด้วย
“จุดเริ่มต้นของผมชอบการโปรดักชั่นอยู่แล้วตั้งแต่เข้าวงการแรกๆ ชอบไปอยู่งานเบื้องหลังเพราะเรียนจบฟิล์มมาด้วย และด้วยหนังสือรุ่น เป็นพล็อตของผู้จัดการผม เขาเขียนบทไว้นานแล้วด้วย อาจจะมาจากสิ่งที่เขาเจอมาก็ได้ (ยิ้ม) และมีโอกาสมีจังหวะทำได้พอดี จากตอนแรกผมรับหน้าที่เป็นเอ็กซ์คูลซีพโปรดิวเซอร์ มาร่วมแชร์ มาดูภาพรวม สอนแอ็กติ้งเล็กๆ น้อยๆ กับน้องๆ แต่อยู่ไปอยู่มาก็อยู่ในหลายหน้าที่ จนได้ดันมาเป็นผู้กำกับร่วมในซีรีส์เรื่องนี้
ซึ่งถามว่ากดดันไหม มันก็จะดีกว่าที่เราไปกำกับเรื่องอื่น (ยิ้ม) กำกับเรื่องนี้ไม่ได้กดดันมากเท่าไหร่ ซึ่งความยากมันอยู่ตรงที่คนบอกว่าเราสำเร็จในซีรีส์วายมาใช้กับซีรีส์เรื่องนี้ซึ่งสิ่งที่เราทำมาแล้วคนบอกว่าสำเร็จ ซึ่งถ้าเราเอาตรงนั้นมาใช้กับตรงนี้ บางทีมันอาจจะไม่ใช่สูตรสำเร็จก็เป็นได้ และอีกอย่างคนก็มักจะถามว่าทำไมเราไม่เล่นเอง ผมว่าให้โอกาสน้องๆ เขาเล่นบ้างเถอะ เราก็โตเกินไปที่จะใส่ชุดนักเรียนแล้ว (หัวเราะ) ให้เด็กๆ เขาทำบ้าง
แต่เราก็เล่นนะ แต่ต้องติดตามว่าเป็นตัวละครไหน ซึ่งการที่เราเล่นเอง เพราะว่าเราโอเคกับจุดสำเร็จของซีรีส์วายมาแล้ว และเราไม่รู้ว่าถ้าเรากลับมาเล่นเรื่องนี้ เราจะทำได้มากแค่ไหน ซึ่งเราก็ได้เห็นความสามารถของน้องๆ เขาแล้ว มันโอเคมากๆ น้องสองคนนี้สามารถพาซีรีส์เรื่องนี้ไปได้ดีกว่าเราด้วยซ้ำ ซึ่งถ้าเราไปแคสบทนี้ เราอาจจะไปไม่ถึงจุดนั้นเหมือนน้องๆ สองคนนี้ด้วยซ้ำ มันไม่เกี่ยวว่าเราประสบความสำเร็จมาก่อน แต่ด้วยบทมันตรงกับคาแร็กเตอร์ของน้องสองคนนี้มากกว่า
คนอาจจะมองว่าเราเป็นเจ้าพ่อซีรีส์วายที่ประสบความสำเร็จมาแล้ว แต่ผมก็ไม่ซีเรียสเลย เพราะในฐานะนักแสดงเราประสบความสำเร็จมาในระดับนึง แต่ในฐานะคนทำเบื้องหลัง เราทำ เราไม่มีเสีย เรามีแต่ได้นะ อย่างน้อยๆ ก็ได้ประสบการณ์ เราไม่ได้ซีเรียสว่าถ้าทำแล้วมันแย่ ชื่อเสียงเราจะหายไปเลยหรือเปล่า ซึ่งก็ไม่เป็นไร เพราะสุดท้ายอาชีพเราคือนักแสดง แต่นี่คือโอกาสของเรามากกว่า และสุดท้ายจะเป็นยังไงก็แล้วแต่”
ไม่อยากทำตามสูตรสำเร็จของซีรีส์ยวาย ไม่เสิร์ฟจิ้น ระยะกับงบประมาณถือว่าแจ๋ว งบไม่ถึงล้าน
“ตอนที่เราคุยว่าจะทำเรื่องนี้ เราไม่อยากทำตามสูตรสำเร็จของซีรีส์วาย เรารู้สึกว่าสูตรสำเร็จถ้าเราทำสำเร็จ มันคือเท่าตัว แต่ถ้าเราทำแล้วไม่สำเร็จล่ะ เราเสีย เราว่ามันไม่มันส์ เราว่ามันไม่เสี่ยง เราอยากให้ทุกคนเอ็นจอยกับมัน อาจจะด้วยงบประมาณและระยะเวลาในการถ่ายทำที่มันค่อนข้างน้อย จำกัดทุกทาง เราจึงอยากลองว่าถ้าเราทำแบบนี้ มันจะสำเร็จมากแค่ไหน และด้วยความที่ต้นเรื่องมันเริ่มมาจากความดรามา แต่ก็ยังมีมุมที่น่ารักอยู่ แต่อาจจะไม่เสิร์ฟจิ้นให้กับแฟนๆ เหมือนเรื่องอื่นๆ ความต่างมันคือความจริงในสถานการณ์ในยุคสองพัน คนในยุคสองพันจะเป็นประมาณนี้ เพราะผู้ชายในสมัยนั้นเขาไม่น่าจะมาจีบกันแบบออกหน้าออกตาขนาดนี้ มันมีความเป็นหนังอยู่
ซึ่งพอมันออนแอร์ไปแล้ว ถามว่ากดดันไหม ก็กดดันในเรื่องของคำวิจารณ์มากกว่า แต่ยอดคนดูเราก็อยากได้ประมาณนึง ซึ่งถ้าทำแล้วมันออกมาดี ผมรู้สึกโอเคนะ และพอดูแล้วลายเซ็นของเรามันอยู่ในเรื่องแล้วมันชัด มันก็โอเคนะ เพราะด้วยระยะเวลาและงบประมาณกับสิ่งที่ออกมา ถือว่าแจ๋วเลยนะ เพราะถ้าบอกงบไป เดี๋ยวทุกคนตกใจแน่ๆ เพราะปกติต้องตอนละล้านในยุคสมัยนี้ถ้าทำซีรีส์วายนะ อันนี้ตอนแรกวางแพลนไว้ 6 ตอนแต่งบไม่ถึงล้านนะ ซึ่งต้องใช้เงินแบบเบาไม้เบามือเลยทีเดียว (ยิ้ม)”
